ศุกร์ 24 ก.ย.--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
     ตลาดยังขาดปัจจัยใหม่หนุน ยกเว้น Fund Flow แต่อย่างไรก็ตามให้ติดตามค่าเงินบาท และค่าเงินเอเซีย นับจากนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะธนาคารกลางในเอเซีย เริ่มเข้ามาแทรกแซง จึงแนะนำให้ถือหุ้นเพียง 30% ของพอร์ตเช่นเดิม โดยให้มีการปรับพอร์ตสมผสานพอร์ตระหว่างหุ้น Domestic Plays (BLA, CK, ITD BTS, SPALI, AP, LPN, TCAP, BBL, SCB) และ Global Plays BANPU, PTTCH, PTTAR
ประเทศไทยคงต้อง.....กับการใช้ 2G ไปก่อน....3G นะต้องรอไปถึงปี 2555 คงไม่สายเกินไปนะครับ
     วานนี้ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งให้ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง กล่าวคือให้ระงับการประมูล 3G ออกไปก่อน และให้รอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลให้การประมูล 3.9G เป็นอันต้องยุติลง ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยคาดว่าผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะออกมาใกล้เคียงกับช่วงเวลาของการพิจารณาผ่าน พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่คาดว่าจะเสร็จราวสิ้นปี 2553 และหลังจากนั้นจึงจะสามารถทำการสรรหาคณะกรรมกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. เพื่อดำเนินการออกใบอนุญาต 3G แทนหน่วยงาน กทช. ขบวนการต่าง ๆ เหล่านี้น่าจะเสร็จสิ้น พร้อมกับสามารถเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ได้ราวต้นปี 2555 หรือต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมุติฐานว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ แต่หากปัญหาการเมืองสะดุด ทำให้การพิจารณา พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ดังกล่าวต้องเลื่อนไป ขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงการเปิดประมูล 3G ก็อาจต้องเลื่อนไปด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ธุรกิจสื่อสารของไทย ยังต้องพึ่งพิงเฉพาะธุรกิจ 2G ซึ่งการเติบโตจะยากลำบากมาก เพราะนอกจากฐานสมาชิกอิ่มตัวแล้ว การให้บริการส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการโทรเข้า-โทรออก (Voice) เป็นหลัก ซึ่งทำให้รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (APRU) มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง การขยับไปสู่ธุรกิจ 3G เป็นช่วงทางในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการเพิ่มการให้บริการต่อยอดจากธุรกิจเดิม โดยมุ่งในการให้บริการที่เร็วขึ้น (Non-Voice) เช่น การให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และการส่งภาพ เป็นต้น หุ้นสื่อสารจึงไม่น่าสนใจในระยะสั้น โดยหากนักลงทุนต้องการจะมีหุ้นสื่อสารไว้ในพอร์ตจริงๆ แนะนำ ADVANC(FV@B104) เพราะเป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดสูงที่สุด และพร้อมจะจ่ายเงินปันผลพิเศษต่อไปอีก 1 ปี ตราบที่ 3G ยังเกิดขึ้น ทั้งนี้ในปี 2553 คาดว่า ADVANC จะจ่ายเงินปันผลราว 6.30 บาทต่อหุ้น (Dividend Yield ราว 7% ต่อปี) โดยยังไม่นับรวมเงินปันผลพิเศษที่อาจเกิดขึ้นอีกราวหุ้นละ 5 บาท ทั้งนี้ ADVANC ได้จ่ายเงินปันผลในงวด 6M53 แล้ว 3 บาทต่อหุ้น ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปี 2553 จะจ่ายอีกราว 8.30 บาทต่อหุ้น
เงินบาทแข็งค่า ยังหนุน SET แต่นับจากนี้ต้องจับตาดูค่าเงินบาทจะ U-Turn หรือไม่ 
     วานนี้นับเป็นวันที่ 4 ที่นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยในปริมาณที่สูงต่อเนื่อง โดยทำให้ยอดซื้อสะสมจากต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 2.9 หมื่นลานบาท (แต่หากนับจากวันที่ 23 ก.ค. เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการเข้ามาซื้อหนักในรอบนี้ พบว่ามียอดซื้อสุทธิเข้ามาแล้ว 4.74 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ ที่พบว่านักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง แต่ยอดซื้อสะสมจากต้นปีจนถึงวานนี้สูงมากถึง 1.78 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 85% ของเงินทุนไหลเข้าประเทศไทย โดยทั้ง 2 ตลาดรวมราว 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ ใกล้เคียงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพันที่สูงราว 2.1 แสนล้านบาทในช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เงินทุนที่ไหลเข้าเฉพาะในตลาดการเงินกว่า 2 แสนล้านบาทข้างต้น ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนับจากนี้ เพราะหากพิจารณาเงินทุนไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้จำนวนเกือบ 1.8 แสนล้านบาทดังกล่าว พบว่าราว 48% เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมีอายุไม่เกิน 1 ปี  รองลงมาราว 23% เป็นตราสารหนี้ที่มีอยู่ 1-3 ปี  10.5% เป็นตราสารหนี้อายุ 3-5 ปี  15% เป็นตราสารหนี้อายุ 5-10 ปี และอีก 4% เป็นตราสารหนี้ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี หรือกล่าวโดยสรุป ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุในช่วง 1-3 ปี มีสัดส่วนสูงถึง 60% ของเงินทุนไหลเข้าในตลาดตราหนี้ ดังนั้นหาก ธปท.  ต้องการสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นในตลาดตราสารหนี้ น่าจะเริ่มจากตราสารหนี้ที่มีอายุ 1-3 ปี มากที่สุด  หลังจากนี้ ต้องติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพราะค่าเงินบาท และค่าเงินเอเซีย ที่ผ่านมาแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องมายาวนาน การดำเนินการใด ๆ ของธนาคารกลางในเอเซีย เพื่อแทรกแซง อาจจะกดดันให้ค่าเงินบาท และค่าเงินเอเซีย เริ่มทรงตัวหรือกลับมาอ่อนตัวครั้ง ซึ่งอาจจะถือเป็นการกลับตัวของตลาดการเงินรอบสำคัญ