พุธ 22 ก.ย.--eFinanceThai.com :
ดัชนีทุบสถิติ14ปี-เตือนพันจุดเกินพื้นฐาน

          ดัชนีหุ้นไทยทุบสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี!! แตะ 948.02 จุด โบรกเกอร์-ผู้จัดการกองทุน-นักลงทุนรายใหญ่ ประสานเสียงได้เห็น 1000 จุดแน่ ภายในสิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า เหตุฝรั่งยังขนเงินซื้อสุทธิต่อเนื่องอย่างน้อยอีก 1-2 สัปดาห์ ด้านนักวิเคราะห์แนะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการไตรมาส3/53 แจ่ม กลุ่มธนาคารเด่นสุด ส่วน "เสี่ยปู่"เตือนราคาหุ้นเกินพื้นฐานแล้ว ไล่ซื้อระวังติดยอดดอย
          อานิสงส์เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องช่วยดันดัชนีหุ้นไทยทำสถิติใหม่อีกครั้ง โดยวันนี้(22 ก.ย.53)ดัชนีพุ่งขึ้นแตะ 948.02 จุด สูงสุดในรอบ 14 ปี นับตั้งแต่ปี 39 ก่อนที่จะย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 945.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.79 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 42,363.19 ล้านบาท
          ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนรายใหญ่ ต่างมองเหมือนกันว่าดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะ 1000 จุด ค่อนข้างแน่ โดยอาจจะเห็นเร็วกว่าที่คาดไว้คือช่วงสิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า เนื่องจาก Fund Flow ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง หลังจากซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยบางแห่งระบุว่าฝรั่งจะยังซื้อสุทธิต่ออีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ก่อนที่จะทยอยขายออกในช่วงเดือนตุลาคม
          ส่วนกลยุทธ์การลงทุนมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป โดยผู้จัดการกองทุนเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ"Bull Market"แล้ว ดังนั้นจึงยังสมารถเข้าซื้อหุ้นพื้นฐานดีได้อยู่ ขณะที่นักลงทุยรายใหญ่เตือนว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมามาก ราคาหุ้นบางตัวเกินพื้นฐานแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ส่วนนักวิเคราะห์แนะซื้อหุ้นที่กำลังจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/53 อย่างธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงานที่ได้รับความสนใจจากต่างชาติ
*****กิมเอ็งมั่นใจได้เห็น1000จุด สิ้นเดือนนี้-ต้นเดือนหน้า       
          นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง กล่าวว่า มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 1000 จุดในสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้มาลงทุนอย่างต่อเนื่ง และจะเพิ่มมากขึ้นหลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ดังนั้น เม็ดเงินต่างชาติจะไหลมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียแน่นอน เพราะนักลงทุนยังไม่มั่นใจที่จะนำเงินลงทุนในยุโรปและสหรัฐ หลังยังกังวลภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของทั้ง 2 ประเทศ
          ทั้งนี้ บริษัทจะไม่มีการปรับคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยใหม่ เพราะเดิมได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะปรับขึ้นไปถึง 1000 จุดในปีนี้ และในช่วงนี้หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ บริษัทให้น้ำหนักกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ซึ่งเมื่อเทียบ YOY และ QOQ กลุ่มแบงก์น่าจะโดดเด่นที่สุด ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ แนะนำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KTB และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ส่วนกลุ่มพลังงาน แนะนำ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แต่คงไม่สามารถให้ราคาเป้าหมายได้ เพราะช่วงนี้ราคาขึ้นเคลื่อนไหวตามแรงซื้อของต่างชาติ
          ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นดัชนีที่ 1000 จุดอย่างแน่นอนหากเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะตามประมาณการเดิมของบริษัทก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว และคงไม่ต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายดัชนีใหม่ สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนในช่วงนี้ น่าจะเป็นกลุ่มแบงก์และพลังงาน โดยกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ควรถือไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย เพราะในช่วงนี้เงินไหลเข้าออกของต่างชาติคาดการณ์ได้ยาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจะเทขายทำกำไรเป็นบางส่วนด้วยหากดัชนีปรับเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อรอจังหวะที่ดัชนีปรับลดลงจะได้มีเงินเข้าไปซื้อได้
***** บลจ.อยุธยาคอนเฟิร์มหุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ"Bull Market"
          นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)อยุธยา จำกัด กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นการยืนยันว่า หุ้นไทยเข้าสู่ภาวะ "Bull Market" โดยเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง และยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง แม้จะเกิดการปรับฐานบ้างเป็นระยะก็ตาม อย่างไรก็ตามคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปีนี้จะขึ้นไปแตะระดับ 1,000-1,050 จุดได้ เพราะมีปัจจัยบวกจากกระแสเงินลงทุนที่ยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้ามาในเอเชีย รวมถึงไทย ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ 15-20% และค่าพี/อี ที่เฉลี่ยแล้ว ยังต่ำกว่าภูมิภาค
          นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้แรงหนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี ความมั่นใจใน ภาคธุรกิจต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความคืบหน้าของโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูง ที่จะเป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดการก่อสร้างทางรถไฟทั่วประเทศ และทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามมา และการมีรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้น จะทำให้การท่องเที่ยว การค้าขาย และ การเชื่อมต่อระหว่างไทยกับเอเชีย มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ยังมีหุ้นที่สามารถเห็นการเติบโตของกำไรได้ในระดับ 20-30% ต่อปี ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าลงทุน
***** "เสี่ยปู่"เชื่อได้เห็นพันจุด แต่เตือนราคาหุ้นแพงแล้ว
          นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือเสี่ยปู่ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า หลังจากที่ SET Index ปรับขึ้นแรงเกือบแตะ 1,000 จุด โดยส่วนตัวต้องการเตือนให้นักลงทุนระวังระมัด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง เพราะราคาหุ้นในกระดานสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเข้าไปลงทุน โดยส่วนตัวในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาจึงลดพอร์ตการลงทุนมูลค่าหลายพันล้านบาทลง
          "ราคาหุ้นแพงเกินไปแล้ว ผมจึงลดพอร์ตการลงทุน โดยที่ผ่านมาขายหุ้น CPF แต่หุ้นที่ยังถูก พื้นฐานดีผมยังถือไว้ ส่วนหุ้นที่ขายออกมาแล้วถ้าราคาถูกลงคงกลับเข้าไปซื้อเพิ่ม สำหรับดัชนีฯ ในปีนี้มีโอกาสถึง 1,000 จุด ไหม ส่วนตัวคาดว่าน่าจะมีโอกาสถึง เพราะเหลือไม่กี่จุด ต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนในไทย เพราะมองว่าหุ้นในภูมิภาคนี้ยังถูก ได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยน ดีกว่าการลงทุนในยุโรปและอเมริกา' นายสมพงษ์ กล่าว
          ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลังจากดัชนีฯ ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไปแล้วประมาณ 30-40% โดยหุ้นที่เลือกลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นปัจจัยพื้นฐานที่ดี จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งราคาไม่สูงมากเกินไป
***** ASPคาดฝรั่งขนเงินซื้ออีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
          บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส(ASP) ระบุว่า Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยรอบแรกของปีนี้เข้ามาแล้วเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในรอบนี้นับจากวันที่ 23 ก.ค. 53 เป็นต้นมา มียอดซื้อสุทธิเข้ามาแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้เป็นไปในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซียเกือบทุกแห่ง ด้วยมูลค่าราว 290 ล้านเหรียญฯ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
          ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเซียตั้งแต่ต้นสัปดาห์ถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยราว 0.37% ขณะที่ค่าเงินบาทยังคงทรงตัวใกล้ระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี ที่ 30.74 บาทต่อเหรียญฯ เนื่องจาก Fund Flow ยังคงไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้อีก 3.7 พันล้านบาททำให้ยอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ จากต้นปีจนปัจจุบันสูงราว 1.74 แสนล้านบาท ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้นฝ่ายวิจัยจึงคาดหมายว่าFund Flow น่าจะยังคงไหลเข้าต่ออีกอย่างน้อยราว 1-2 สัปดาห์ และเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้ SET ผ่านแนวต้าน 944 จุด และสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบปีนี้ได้อีกครั้ง ก่อนที่ Fund Flow จะเริ่มไหลออกในช่วงเดือน ต.ค. ตามผลของฤดูกาล
***** KGIชี้บาทแข็งค่าต่อเนื่องหนุนทุนไหลเข้า
          บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(KGI) ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยมีแรงหนุนจากความชัดเจนที่มากขึ้นใน 2 ประเด็นหลักๆ เรื่องแรกคือมาตรการคุมเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตร หลังจากผู้ว่า ธปท. ชี้ว่าทุนต่างชาติที่เข้าตลาดพันธบัตรเป็นเรื่องปกติในระดับภูมิภาค และจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในระยะนี้ ซึ่งเรามองว่าจนกว่าดร. ธาริษาจะเกษียณอายุในสิ้นเดือน ก.ย. คงยังไม่มีอะไรน่ากลัวประกาศออกมา เรื่องที่สองคือการประชุม ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด)ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% แต่เตือนถึงการว่างงานสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงและที่สำคัญกว่านั้นและเป็นการเตือนครั้งแรกคือความเสี่ยงของเงินฝืด (Deflation) เราจึงมองว่ามีโอกาสสูงที่เฟดจะมีมาตรการเพิ่มสภาพคล่องในระบบอีกในอนาคตอันใกล้
          จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา KGI คาดว่าค่าเงินเอเชียและเงินบาทจะแข็งค่าต่อ เนื่องจากสัญญาณอ่อนแรงของสหรัฐฯ ผนวกกับมาตรการที่อาจออกเพิ่มในอนาคต น่าจะกลับมากดดันสกุลเงินดอลล่าร์ฯ อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในเอเซียต่อเนื่อง