พุธ 22 ก.ย.--NEWS & EVENTS :
ที่มา : บล.เกียรตินาคิน

ประเด็นข่าวที่น่าสนใจ
     DOW JONES ตลาดหุ้นสหรัฐปิดทรงตัวจนถึงลดลงในการซื้อขายที่ผันผวนในวันอังคาร หลังธนาคารกลางสหรัฐแสดงความพร้อมที่จะดำเนินมาตรการต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 7.41  จุด หรือ 0.07% สู่ 10,761.03 โดยมีปริมาณการซื้อขายประมาณ 8.03 พันล้านหุ้น
(ที่มา:รอยเตอร์ วันที่ 21 กันยายน  2553)
     ASIMAR บมจ.เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ เผย แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2553 มีโอกาสออกมาในทิศทางที่ดีกว่าไตรมาส 2/2553 ที่ขาดทุน 4.87 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาขาดทุน 30.17 ล้านบาท เพราะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้จำนวนเรือที่เข้ามาใช้บริการต่อและซ่อมเรือที่อู่ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น จากปกติแล้วที่สามารถรับได้เต็มกำลังอยู่ที่ประมาณ 8 -10 ลำ ฉะนั้นทั้งปีนี้จึงคาดว่ามีโอกาสพลิกเป็นกำไรจากขาดทุน 72.11 ในปี 2552
(ที่มา:ข่าวหุ้น วันที่ 22  กันยายน  2553)
     ACAP บมจ.เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่  เผย ผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา จะพลิกเป็นขาดทุน 126.05 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 35.26 ล้านบาท แต่ยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะออกมาดี ตามภาพรวมของเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันมีพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท และในช่วงที่เหลือบริษัทฯ เตรียมซื้อเพิ่มอีก แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยมูลค่าได้ ขณะเดียวกัน ยังคาดว่าผลประกอบการโดยรวมทั้งปีนี้ยังมีโอกาสไม่ขาดทุน ส่วนรายได้ปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 1,031.84 ล้านบาท 
(ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22  กันยายน  2553)
     DELTA บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) เผย ที่ประชุมคณะกรรมการ มีมติให้บริษัทจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นในประเทศไทยคือ บริษัทเดลต้า กรีน อินดัสเตรียล(ประเทศไทย) ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาทและมีทุนชำระแล้ว 60 ล้านบาท โดย  ทางDELTAจะถือหุ้น 99.99%ซึ่งการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาทำธุรกิจเพิ่มนั้นเพื่อขยายตลาดและเสริมสร้างธุรกิจให้แก่บริษัท ทั้งนี้บริษัทย่อยที่ตั้งขึ้นมาจะประกอบธุรกิจผลิตหลอดไป LED ไฟตามถนนและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบแสงอาทิตย์ เพาเวอร์ซิสเต็มส์ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นต้น  อย่างไรก็ตามในส่วนของเงินลงทุนที่นำมาใช้ในการจัดตั้งบริษัทใหม่นั้นจะมาจากกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานของบริษัท
(ที่มา:โพสต์ทูเดย์ วันที่ 22  กันยายน  2553)
     HTECH บมจ.แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ เผย  แนวโน้มธุรกิจว่ามีทิศทางการเติบโตอย่างชัดเจน ตามอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ HARD DISK DRIVE (HDD) และยานยนต์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อนุมัติให้ บริษัท โตชิบา สตอเรจ ดีไวส์(ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิต HDD รายใหญ่ของโลกขยายการลงทุนในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 10,252.4 ล้านบาท เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจผลิต Cutting Tools ของ บมจ.แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโตชิบา สตอเรจ ดีไวส์ เป็นหนึ่งในลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้คำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เพิ่มขึ้น และส่งผลบวกต่อรายได้ในอนาคต โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่ายอดขายของบริษัทฯ ยังขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากลูกค้าทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วน HARD DISK DRIVE และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์มีการขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 4/2553 ถือเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด เพราะเป็นช่วงฤดูกาลขายและมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นจึงเชื่อว่าน่าจะผลักดันให้ยอดขายในปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 350 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 245.33 ล้านบาท ส่วนของอัตรากำไรสุทธิน่าจะยังคงเติบโตตามเป้าที่ได้ตั้งไว้คือไม่ต่ำกว่า 26%
(ที่มา:ทันหุ้น วันที่ 22  กันยายน  2553)
     N-PARK บมจ.แนเชอรัล พาร์ค เผย เหตุผลการยกเลิกโครงการโรงละครสยามโอเปร่าของบริษัท พาร์ค โอเปร่า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ N-PARK ว่า บริษัทพาร์ค โอเปร่า จำกัด ได้เข้าลงทุนและพัฒนาพื้นที่บริเวณชั้น 7 ของอาคารศูนย์การค้าสยามพารากอนตามสัญญาจองสิทธิการเช่าลงวันที่ 11 กันยายน 2546 กับบริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งในช่วงปี 2546 บริษัทได้เข้าลงทุนพัฒนาโครงการหลายโครงการ ได้แก่ โรงละครสยามโอเปร่า มูลค่า 960 ล้านบาท และโรงแรมสยามเคมปินสกี้ มูลค่า 5,000 ล้านบาทแต่ต่อมาบริษัทได้ประสบภาวะวิกฤตความเชื่อมั่น ซึ่งเกิดมาจากคดีล้มละลายในอดีต ทำให้บริษัทมีปัญหาด้านการจัดหาแหล่งเงินทุนและงบประมาณในการพัฒนาโครงการต่างๆ มีจำกัด บริษัทจึงจัดลำดับความสำคัญของโครงการโดยพิจารณาจากผลตอบแทนโครงการเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการจัดการเงินลงทุนภายหลังจากพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบภายใต้ข้อจำกัด บริษัทจึงตัดสินใจเลือกลงทุนในโครงการโรงแรมสยามเคมปินสกี้ ที่มีนักลงทุนจากประเทศบาห์เรนและกลุ่มสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นพันธมิตรร่วมทุน
(ที่มา:ข่าวหุ้น วันที่ 22  กันยายน  2553)
     PLE  บมจ. เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง เผย ช่วงเดือนตุลาคม 2553 จะเซ็นสัญญาก่อสร้างคอนโดมิเนียม Viva Bahriya Plot 20 & 21 ที่ประเทศกาตาร์ มูลค่าประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยจะเดินทางไปเจรจารอบสุดท้ายในสัปดาห์หน้า ขณะที่เชื่อว่าจะมีโอกาสจะได้งานหากการเจรจาบรรลุข้อตกลงกันได้ทั้งนี้ การรับงานดังกล่าวยอมรับว่าล่าช้าไปครึ่งปี โดยหากเซ็นสัญญาในขณะนี้ก็คาดว่าจะส่งผลต่อการรับรู้รายได้อย่างเต็มที่ในปี 2554 หลังจากจะเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนตั้งแต่ไตรมาส 4/53 ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าบริษัทสามารถเข้าไปดำเนินงานได้ช้าหรือเร็วส่วนผลประกอบการในปี 2553 บริษัทจะมีกำไรดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน แม้ว่ามูลค่างานในปีนี้จะน้อยลง แต่เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ต้นทุนในการบริหารงานลดลง
(ที่มา:ข่าวหุ้น วันที่ 22  กันยายน  2553)