พฤหัสฯ 23 ก.ย.--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
     ตลาดยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆ แต่ Fund Flow ยังทำหน้าที่เป็นแรงหนุนที่สำคัญต่อเนื่อง โดยหากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาอีก 5 พันล้านบาท จะทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมรอบนี้เพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจผลักดันให้ SET Index ขึ้นไปที่ 960 จุด ได้ ยังแนะนำให้ผสมผสานพอร์ตระหว่างหุ้น Domestic Plays (เช่น BLA, CK, ITD BTS, SPALI, AP, LPN, TCAP, BBL, SCB) และ Global Plays BANPU, PTTCH, PTTAR
ดอลลาร์ยังยังมีทิศทางอ่อนค่าส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเอเซีย 
     ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีแนวโน้มอ่อนตัวต่อเนื่อง และตกต่ำสุดในรอบ 7 ปี เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร ทั้งนี้หลังจากเมื่อวานนี้ ที่ประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำ 0-0.25% เช่นเดิม เพราะยังมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐ ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.25% ขณะที่คาดว่าอัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับสูงเกิน 9% ไปถึงปีหน้า ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม บ่ายวานนี้มีการคาดการณ์ว่า Fed อาจจะพิมพ์ธนบัตร เพื่อเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในตลาด เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเอเซีย นำโดยค่าเงินเยน ที่กลับมาแข็งค่าขึ้นถึง 1.48% จากสัปดาห์ก่อนหน้า หลังจากอ่อนตัวลงในช่วงก่อนหน้าเนื่องจากมีการแทรกแซงค่าเงิน จากธนาคารกลางญี่ปุ่น รองลงมาเป็นดอลลาร์ออสเตรเลียที่แข็งค่า 1.07% ตามมาด้วย เปโซของฟิลิปปินส์ 0.79% วอนของเกาหลี 0.67% อินเดียรูปีย์ 0.63% ดอลลาร์ไต้หวัน 0.57% ดอลลาร์สิงคโปร์ 0.55% หยวนของจีน 0.52% ริงกิตของมาเลเซีย 0.34% รูเปี๊ยะของอินโดนีเซีย 0.29% เงินบาท 0.20% ดอลลาร์นิวซีแลนด์ 0.14% และดอลลาร์ฮ่องกง 0.10% ซึ่งกระแสเงินเอเซียที่แข็งค่าขึ้นดังกล่าว เป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเอเซีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย
นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หนุน SET ไปต่อ
     วานนี้นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่าที่สูงถึง 4.24 พันล้านบาท สูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่ Fund Flow เริ่มไหลเข้ารอบแรกของปีนี้เกือบ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในรอบนี้นับจากวันที่ 23 ก.ค. เป็นต้นมา มียอดซื้อสุทธิเข้ามาแล้ว 4.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดเพื่อนบ้านที่มีแรงซื้อเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ (เฉพาะที่รายงาน 4 ประเทศ) นำโดยตลาดหุ้นไทย 138 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 18% จากวันก่อนหน้า ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 25.7 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 102% จากวันก่อน ฟิลิปปินส์ 7.36 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นกว่า 600% และเวียดนาม ที่กลับมาซื้อสุทธิ 3.19 ล้านเหรียญฯ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเซียตั้งแต่ต้นสัปดาห์ถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นเฉลี่ยราว 0.57% ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาทำสถิติแข็งค่าสุดใหม่ในรอบ 13 ปี ที่ 30.62 บาทต่อเหรียญฯ ด้วยแนวโน้มค่าเงินเอเซียที่ยังคงมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่แข็งแกร่งกว่าประเทศพัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือยุโรป ยังน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่องตลอดจนถึงสิ้นเดือน ก.ย. นี้เป็นอย่างน้อย และยังเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้ SET มีโอกาสไต่ระดับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของปีอย่างต่อเนื่อง โดยหากกำหนดให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีก 5 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดซื้อสะสมรอบนี้ของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปีหลัง ที่ Fund Flow เคยไหลเข้ามาและออกไป จะหนุนให้ SET ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 960 จุดได้ แต่หาก Fund Flow ยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีกมากถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดซื้อสะสมสุทธิรอบนี้พุ่งสู่ 6 หมื่นล้านบาท เทียบเท่าระดับปกติที่ Fund Flow มักจะไหลเข้ามาและไหลออกไป เราจะมีโอกาสเห็นดัชนีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 999 จุดได้
มีความเป็นไปได้ที่การประมูล 3.9G จะเกิดภายใต้องค์กรใหม่คือ กสทช. ADVANC ความเสี่ยงต่ำสุด
     วันนี้เวลา 9.00 น. ศาลปกครองสูงสุดจะนัดฟังคำสั่ง กรณีที่ กทช. อุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้หยุดการเปิดประมูลใบอนุญาติ 3.9G ซึ่งผลที่ออกมาหากศาลฯ คงคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก็จะทำให้กระบวนการประมูลต้องยุติลง และ กทช.ต้องคืนเงินประกัน 1.28 พันล้านบาท ให้กับผู้เข้าร่วมประมูลแต่ละราย แต่หากศาลฯ ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และเปิดทางให้กระบวนการประมูล 3.9 G เดินหน้าต่อไปได้ หาก กทช. ต้องการประมูลต่อก็สามารถจัดการประมูลได้ภายใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม เริ่มมีความเห็นจากกรรมการ กทช. บางส่วน ที่เห็นว่าการจัดประมูล 3.9G ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบันที่ กรรมการ กทช. บางส่วนจะหมดวาระ, คดีฟ้องร้องต่อศาลปกครองในเรื่องของอำนาจ กทช. ในการจัดการประมูลยังไม่มีข้อสรุป อีกทั้ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ฯ ก็จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ โดยจะมีการจัดตั้งกรรมการร่วมของ 2 สภาฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งคาดว่ากฎหมายน่าจะมีผลบังคับใช้ในอีกประมาณ 2 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2553) อาจทำให้การเร่งจัดการประมูล 3.9G ในปัจจุบันดูไม่สง่างาม และอาจมีปัญหาตามมาในภายหลัง เมื่อประเมินสถานการณ์โดยรวมแล้วฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ที่การประมูล 3.9G อาจไม่เกิดขึ้นภายใต้องค์กรของ กทช. แต่น่าจะไปเกิดขึ้นภายใต้องค์กรของ กสทช. มากกว่า ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในปี 2554 ภายใต้สมมุติฐานว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้แนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารมาเป็น  น้อยกว่าตลาด ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย.2553 อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนต้องการมีหุ้นกลุ่มสื่อสารขนาดใหญ่ไว้ในพอร์ต เห็นว่า ADVANC น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะถึงแม้การประมูลจะไม่เกิดขึ้นในปี 2553 นักลงทุนก็ยังน่าจะได้รับ Dividend Yield ประมาณ 7% ทั้งนี้ยังไม่นับรวมเงินปันผลพิเศษที่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วน Fair Value ปี 2554 กำหนดที่ 104 บาท ภายใต้สมมุติฐานที่ไม่มี 3.9G