พฤหัสฯ 23 ก.ย.--eFinanceThai.com :
เล่นหุ้นแบงก์ดีกว่า

          กูรู ประสานเสียงเชียร์หุ้นกลุ่มแบงก์สุดแจ่ม รับสินเชื่อพุ่ง คาดปีนี้ยอดปล่อยสินเชื่อทั้งระบบโต 7.8% มองปีหน้าดีกว่าคาด ชู KBANK, BBL และ SCB เป็น top picks ของกลุ่ม ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชอบ KBANK หลังมอง คุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำสุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม กิมเอ็ง ปรับคาดการณ์กำไร BBL ปี53 เพิ่มเป็น 2.43 หมื่นลบ.ให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 179 บาท ชี้ได้เปรียบสุดในการปล่อยสินเชื่อ เอเซียพลัส คาด SCB กำไร 3Q53 โตถึง 28.2% สูงสุดรายไตรมาสรอบ 7 ปี แนะนำซื้อ Fair value 120 บาท
          หุ้นกลุ่มแบงก์ราศีจับ รับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อสุดสดใสถึงปีหน้า แถมดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการแจ่ม ดังนั้น หุ้นกลุ่มธนาคาร จึงเป็นที่น่าสนใจเข้าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง
*เซียนหุ้น คาดยอดการปล่อยสินเชื่อขยายตัว 7.8% คาดมอง ผลงามแจ่ม
          นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า จากการประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานของธนาคารพานิชย์ทั้งระบบในปีนี้ คาดว่ายอดการปล่อยสินเชื่อจะขยายตัว 7.8% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยในช่วงครึ่งปีหลังยอดการปล่อยสินเชื่อจะขยายตัวอยู่ในดับเดียวกับช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 4-5% จากการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าขนาดใหญ่ และในส่วน SME หลังจากได้รับรายได้จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวดีขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมาภาคเอกชนจะมีการเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ชะลอการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้นโดยการปรับขึ้นคงจะเป็นอัตราที่ไม่มากนัก ซึ่งกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ประเมินว่าธนาคารจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก่อนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะจะเป็นการระดมทุนของธนาคารเพื่อเพิ่มสภาพคล่องก่อนจะเริ่มปล่อยสินเชื่อเเบบเต็มที่ในช่วงปีหน้า หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ยอดการปล่อยสินเชื่อขยายตัวดีขึ้น
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังประเมินแนวโน้มผลประกอบการของแต่ละธนาคาร ซึ่งเชื่อว่าธนาคารบางแห่งจะมีการปรับเพิ่มกำไรขึ้นจากเดิม อาทิ BBL- KBANK -SCB ทำให้จะต้องปรับเพิ่มราคาพื้นฐานขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยก่อนหน้านี้ได้ปรับราคาพื้นฐาน BBL ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นก็เหลือKBANK และ SCB ที่ยังคงต้องพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ยังมองว่าหุ้นกลุ่มธนาคารยังน่าสนใจเข้าลงทุนจากแนวโน้มผลประกอบการที่ดี โดยล่าสุดราคาพื้นฐานปีนี้ของหุ้น BBL อยู่ที่ 180 บาท SCB อยู่ที่ 113 บาท และKBANK อยู่ที่ 126 บาท
          สำหรับกรณีภายหลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นให้ระงับการประมูลใบอนุญาต 3Gนั้น ทำให้ธนาคารเสียโอกาสจากการปล่อยสินเชื่อในระยะนี้เท่านั้น แต่เชื่อว่าหาก 3G เกิดขึ้นก็จะส่งผลดีต่อยอดการปล่อยสินเชื่อธนาคารอย่างแน่นอน
* กูรู แนะ Bullish หุ้นแบงก์ หลังสินเชื่อโตต่อเนื่อง-คาดปีหน้าดีกว่าคาด ส่งสัญญาณเพิ่มประมาณกำไร-ราคาเป้าหมาย ชู KBANK, BBL และ SCB เป็น top picks ของกลุ่ม
          บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า สินเชื่อกลุ่มธนาคาร ในเดือน ส.ค. 10 เติบโต 0.8% m-m: กลุ่มธนาคารที่เราศึกษารายงานสินเชื่อเดือน ส.ค. ดีขึ้น m-m ตามคาด โดยเติบโตในอัตรา 0.8% หลักๆ ผลักดันจากสินเชื่อภาคธุรกิจรายใหญ่และ SME ที่กลับฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่องและดีกว่าที่เราคาด โดยSCB และ KTB แสดงการเติบโตของสินเชื่อที่โดดเด่นสุดในกลุ่มแบงก์ใหญ่ ขณะที่ TISCO เติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่มแบงก์เล็ก หลักๆผลักดันจากจากสินเชื่อรายใหญ่ของ TISCO ที่มีการเบิกจ่ายสินเชื่อในเดือน ส.ค. 10 ในทางกลับกันมีเพียง BAY และ BBL ที่สินเชื่อปรับลดลง m-m หลักๆ เกิดจากการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ธุรกิจรายใหญ่บางราย อย่างไรก็ดี เราคาดว่าสินเชื่อของทั้ง 2 ธนาคาร จะกลับมาเติบโตสูงในช่วงปลายปี โดยเฉพาะ BBL ที่เราคาดว่าจะเติบโตได้ตามประมาณการของเราได้โดยไม่น่ากังวล
          สินเชื่อทั้งปี 2010F มีแนวโน้มดีกว่าที่คาด สินเชื่อของกลุ่มธนาคารในงวด 8M10 เติบโต 3.3% YTD ขณะที่ การเติบโตของสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะในเดือน ธ.ค. คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่เร่งตัวสูงขึ้น ผลักดันจาก 1) ปัจจัยตามฤดูกาลที่สินเชื่อจะเติบโตสูงในช่วงปลายปีโดยเฉพาะสินเชื่อ SME ในกลุ่มเกษตรและส่งออก รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์; 2) ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจรายใหญ่และ SME เพื่อขยายกิจการที่แสดงการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ส่วนหนึ่งจากผลบวกของโครงการในมาบตาพุดที่โครงการส่วนใหญ่ดำเนินการต่อได้; และ 3) ความต้องการสินเชื่อของบริษัทขนาดใหญ่เพื่อการลงทุนและซื้อกิจการ อาทิ BANPU,TUF และ SSI เป็นต้น ปัจจัยบวกดังกล่าวคาดว่าจะทำให้สินเชื่อปี 2010-12F ของกลุ่มฯมีแนวโน้มที่จะเติบโตดีกว่าที่เราคาดที่ +8%, +10% และ +12% ตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2010F ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่เป็น upside ต่อการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของกลุ่มธนาคาร
          คงมุมมอง Bullish และแนะนำ KBANK, BBL และ SCB เป็นหุ้น top picks ในกลุ่มฯ:เรายังคงมุมมองที่ชอบหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้น top picks ของเราคือ KBANK (TP THB133),BBL (TP THB190) และ SCB (TP THB119) เนื่องจากคาดว่าธนาคารดังกล่าวจะได้รับผลบวกสูงสุดในกลุ่มฯในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวและวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นKTB (แนะนำ BUY ราคาเหมาะสมปี 2011F 16 บาท) ประกาศสินเชื่อเดือน ส.ค. 10 เติบโต 1.4% m-m และคิดเป็นเติบโตถึง 9.5% YTD ในงวด 8M10 ซึ่งถือว่าดีกว่าที่เราคาดและน่าจะเป็น positive surprise ต่อตลาดเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณชี้นำที่ดีต่อการเติบโตของสินเชื่อและกำไรสุทธิของ KTB ที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ในขณะที่ ประเด็นการขายหุ้น “นกแอร์” เราคาดว่าไม่มีนัยสำคัญต่อกำไรและราคาเป้าหมาย (TP) ของ KTB โดยเรายังคงแนะนำ BUY หุ้น KTB เนื่องจากอาจมี upside potential ต่อ TP ปี 2011F ที่เราประเมินไว้ที่ 16 บาท/หุ้นหลักๆ ผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เราคาด นอกจากนี้ KTB มีประเด็นที่อาจเป็น pricecatalyst ต่อราคาหุ้นในระยะกลาง จากประเด็นที่กระทรวงการคลังอาจพิจารณาให้ศึกษาแนวทาง รวมถึงผลดีผลเสีย ในการขายหุ้น KTB ออกไป
          ประเด็นที่คลัง อาจพิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้นใน KTB อาจเป็น price catalyst ต่อ KTB ในระยะกลาง: แม้ว่านโยบายเดิมของกระทรวงการคลังจะยังคงต้องการถือหุ้น KTB ไม่ต่ำกว่า 51% เพื่อคงให้ KTB เป็นธนาคารกลไกลหลักของรัฐบาลที่ใช้ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่คลังอาจให้มีการทำการศึกษาถึงแนวทาง รวมถึง ผลดี ผลเสียในการขายหุ้นใน KTB ออกไปทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งประเด็นดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็อาจเป็นประเด็นที่เป็น price catalyst ต่อราคาหุ้น KTB ในระยะกลาง ทั้งนี้ หากพิจารณาจากราคาที่มีการซื้อกิจการในหุ้นธนาคารพาณิชย์ไทยในกรอบ P/BV ที่ 1.2-1.6 เท่า ราคาขายอาจอยู่ในกรอบ 13.0-17.2 บาท/หุ้น หากมีการขายหุ้น KTB เกิดขึ้นจริง (อิงจากมูลค่าทางบัญชีสิ้นปี 2010F ของ KTB ที่ 10.74 บาท/หุ้น) โดยเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” KTB เนื่องจากอาจมีupside potential ต่อราคาเป้าหมาย (TP) ปี 2011F ที่เราประเมินไว้ที่ 16 บาท/หุ้น หลักๆ จากการเติบโตของสินเชื่อและกำไรที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เราคาด
* ดีบีเอสวิคเคอร์ส ชอบ KBANK หลังมอง คุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำสุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม
          บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า สินเชื่อเดือนส.ค. 53 ขยายตัว 0.8%MoM (+7.8%YoY) เป็นไปตามคาด โดยการเติบโตหลักมาจากสินเชื่อ Corporate, สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐ และสินเชื่อ SMEs ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่มีการเติบโตของสินเชื่อโดดเด่นในเดือนส.ค. 53 คือ SCB (+1.5%MoM และ +9.3%YoY) เพราะสินเชื่อ Corporate รายใหญ่ขยายตัวดีขึ้น และตามมาด้วย KTB (+1.4%MoM และ +9.0%YoY) ซึ่งสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐเติบโตแข็งแกร่ง, KBANK (+0.9%MoM และ +11.6%YoY) โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ SMEs และรายย่อย ส่วน BBL สินเชื่อเดือนส.ค.หดตัว 0.4%MoM (+3.3%YoY) เนื่องจากมีการชำระคืนนี้ที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่ม Corporate ส่วนแบงค์เล็กยังมีการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อแข็งแกร่งทั้ง TISCO (+3.3%MoM และ +26.1%YoY) และ KK (+2.7%MoM และ +17.3%YoY)
          สินเชื่อและกำไรสุทธิขยายตัวแข็งแกร่ง สำหรับทั้งปี 53 ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ประเมินว่าสินเชื่อของกลุ่มแบงค์จะขยายตัว 7.3% และเติบโตต่อเนื่อง 7.5% ในปี 54 ซึ่งเป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง ทำให้ความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุนของกลุ่ม SMEs เพิ่มขึ้น ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ของ DBS Bank คาดการณ์ว่า GDPของไทยในปี 53-54 จะเติบโต 9% และ 4% ตามลำดับ สำหรับกำไรสุทธิ เราประมาณการว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีการเติบโตของกำไรสุทธิปี 54 เท่ากับ 15.0% โดยมีสมมติฐานการขยายตัวของสินเชื่อ 7.5%, ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.06%, รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 11% และการตั้งสำรองค่าเผื่อฯ เท่ากับ 0.72% ของสินเชื่อรวม
           เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยแนะนำซื้อและให้ BBL, KBANK และ KTB เป็นหุ้น Top Picks เราชอบ KBANK เนื่องจากมีคุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำที่สุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม สำหรับ BBL มีจุดเด่นเรื่องงบดุลแข็งแกร่ง และมีสำรองสะสมต่อ NPL (NPL Coverage Ratio) สูงมาก ด้าน KTB คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 และการใช้จ่าย & ลงทุนของภาครัฐ เราเชื่อว่า KBANK และ BBL จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้สินเชื่อของกลุ่ม Corporate และ SMEs ที่เพิ่มขึ้นในปี 53 นอกจากนั้นยังแนะนำซื้อ SCB รวมทั้งแนะนำถือ BAY, TCAP และ TISCO
*บล.กิมเอ็ง ปรับคาดการณ์กำไร BBL ปี53 เพิ่มเป็น 2.43 หมื่นลบ.ให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 179 บาท ชี้ได้เปรียบสุดในการปล่อยสินเชื่อ
          บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า รายได้หลักยังเติบโตแม้กำไรสุทธิลดลง qoq เพราะไม่มีรายได้พิเศษ ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/53 ไว้ที่ 5,669 ล้านบาท ลดลง 17.0%qoq เนื่องจากไตรมาสก่อนมีกำไรพิเศษจากเงินลงทุนกว่า 2 พันล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะรายได้หลักยังคงเติบโตต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.8% จากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องประกอบกับค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ลดลงตาม คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น ทางด้านสินเชื่อไตรมาส 3/53 ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่คาดจะเติบโตสูงในไตรมาส 4/53 โดยทางธนาคารยังคงมั่นใจกับเป้าหมายสินเชื่อที่ 6% เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้น จากกำไรจากเงินลงทุนและกำไรจากการปริวรรตเงินตราที่สูง ในขณะที่แรงกดดันในการตั้งสำรองฯลดลง คงคำแนะนำ 'ซื้อ' จากโอกาสเติบโตของสินเชื่อที่สูงในไตรมาส 4/53 ประกอบกับงบดุลที่แข็งแกร่ง มูลค่าที่เหมาะสมใหม่อยู่ที่ 179.00 บาท/หุ้น
          เราประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 3/53 ไว้ที่ 5,669 ล้านบาท ลดลง 17.0% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากไตรมาสก่อนมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น ACL กว่า 2 พันล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะธุรกิจหลัก พบว่ารายได้หลักยังคงเติบโต qoq ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯมีแนวโน้มลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ขึ้น หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.8% yoy จากรายได้หลักที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ลดลง
          เราคาดสินเชื่อไตรมาส 3/53 ขยายตัวเพียงเล็กน้อย 0.2%qoq ส่งผลให้สินเชื่อ 9 เดือนขยายตัว 2.76% จากสิ้นปีก่อน เราประเมินสินเชื่อจะขยายตัวได้สูงในไตรมาส 4/53 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียน การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร และโครงการภาครัฐ BBL ในฐานะธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีความพร้อมทั้งทางด้านสภาพคล่องสูง สาขาต่างประเทศ ฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่งและมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจ ย่อมเป็นหนึ่งในธนาคารที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการลงทุนดัง กล่าว โดยมีโอกาสสูงที่จะได้ร่วมปล่อยกู้ให้แก่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและ ภาคเอกชน ซึ่งทางธนาคารยังคงมั่นใจกับเป้าหมายสินเชื่อปีนี้ที่ 6% ในขณะที่เป้าหมายสินเชื่อปีนี้ของเราอยู่ที่ 5.5% ทางด้าน NIM ทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียง 3.0%
          เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้นเป็น 24,321 ล้านบาท จากกำไรจากเงินลงทุนและกำไรจากการปริวรรตเงินตราที่สูงในปีนี้ ประกอบกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี โดยสิ้นไตรมาส 2/53 มี NPL Ratio เพียง 4.07% ในขณะที่มี Coverage ratio สูง 127.9% พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เพิ่มขึ้นเป็น 25,692 ล้านบาท จากการปรับลดค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง ส่งผลให้มูลค่าที่เหมาะสมปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 171 บาท/หุ้น เป็น 179 บาท/หุ้น อ้างอิงกับ 1.5 เท่าของมูลค่าทางบัญชีปี 54
          BBL อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการปล่อยสินเชื่อในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเรามองว่าการลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง มีสาขาต่างประเทศ และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีงบดุลที่มีเสถียรภาพสูง ทั้งทางด้านฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ดังนี้เราคงคำแนะนำ 'ซื้อ' ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมใหม่ที่ 179.00 บาท/หุ้น
* บล.ซิกโก้ เชียร์ซื้อ BBL ชี้ ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ให้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 172.00 บาท
          บทวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานของ BBL ในช่วง 3Q10E ยังไม่มีความโดดเด่นมาก นักโดยเราคาดกำไรสุทธิเท่ากับ 5,808 ลบ. โดยสาเหตุมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะลดลง 5.7% QoQ เนื่องจากอัตราการปล่อยสินเชื่อที่ลดลงตอดต่อกัน 2 เดือน นอกจากนี้ใน 3Q10E BBL ไม่มีการรับรู้รายได้จากการขายหุ้น ACL ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิใน 3Q10E ลดลง 14.9% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 14.6% YoY
           สินเชื่อของ BBL ล่าสุดในเดือน ส.ค. 53 ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุมาจากการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาเป็นการปล่อยสินเชื่อประเภทเงินหมุนเวียนเป็นหลัก ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการจ่ายคืนเงินต้นให้กับธนาคาร อย่างไรก็ตามเราคาดว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มมากขึ้นในช่วง 4Q10E เนื่องจากเป็น High Season ของหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของ GDP ทั้งนี้ BBL ยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ 6% YoY ซึ่งอาจมีการปรับประมาณการอีกครั้ง
          มองว่า BBL เป็นธนาคารที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ขณะที่มีการเติบโตที่ค่อนข้างตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของ BBL เป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม SSEC คาดว่าในช่วง 4Q10E – FY11E เราจะเห็นการลงทุนใหม่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมต่างๆเริ่มมีการขยายตัวซึ่งจะส่งผลบวกต่อ BBL เราจึงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้มูลค่าเหมาะสมใน FY11E เท่ากับ 172.00 บาท
* บล.เอเซียพลัส คาด SCB กำไร 3Q53 โตถึง 28.2% สูงสุดรายไตรมาสรอบ 7 ปี แนะนำซื้อ Fair value 120 บาท
          บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ฝ่ายวิจัยคาด SCB จะมีกำไรสุทธิใน 3Q53 เท่ากับ 6.81 พันล้านบาท เติบโตถึง 28.2% qoq ซึ่งเป็นกำไรระดับสูงสุดในรายไตรมาสในรอบ 7 ปี โดยคาดธนาคารฯ จะมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นของ บ.กรุงเทพซินธิติกส์ฯ (เป็นหลักทรัพย์ที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้) จำนวน 5.14 แสนหุ้น มูลค่าสุทธิจากภาษีฯ รวม 770 ล้านบาท (ขายให้แก่ บ.เอสซีจี เคมิคอลล์ฯ) หากไม่รวมรายการดังกล่าว พบว่ากำไรจากการดำเนินงานใน 3Q53 ยังเติบโตถึง 13.5% qoq มาจากการเติบโตของทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้มิใช่ดอกเบี้ยถึง 3.6% qoq และ 16.9% qoq ตามลำดับ โดยในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีปัจจัยผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องอีก 1.5% qoq (โดยรวมแล้วสินเชื่อสุทธิใน 9M53 เติบโตถึง 4.8% จากสิ้นปี 2552 ยังสอดคล้องกับเป้าหมายทั้งปี 2553 ที่ 7.1% yoy ตามที่ฝ่ายวิจัยคาด) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ที่เห็นสัญญาณบวกมากขึ้นในงวดนี้ จากโครงการต่างๆ ที่มีการเบิกใช้สินเชื่อที่ธนาคารฯ ได้อนุมัติไปในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ SME มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเช่นกัน แม้จะยังไม่มากและต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ แต่ยังคาดหวังได้กับการเติบโตเชิงรุกใน 4Q53 เพราะเป็นช่วงฤดูกาลของ SME ส่วนสินเชื่อรายย่อยนั้น กลุ่มที่ยังมีการเติบโตเชิงรุกต่อเนื่องคือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ขณะที่สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอการเติบโตลงแล้วจากที่เติบโตโดดเด่นมากใน 1H53 โดยคาด NIM ใน 3Q53 จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.64% จาก 3.46% ในงวดที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยผลักดันจาก 1) การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทขึ้น 0.15% เมื่อปลายเดือน ก.ค.53 ที่ผ่านมา และ 2) การบันทึกเงินปันผลรับจากกองทุนวายุภักษ์สำหรับผลการดำเนินงาน 1H53 ที่มาราว 320 ล้านบาท สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย คาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมฯ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่องตามการขยายสินเชื่อใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งธุรกรรมด้าบบัตร ATM และบัตรเครดิตล้วนกระเตื้องขึ้นจาก 2Q53 ที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศ ส่วนกำไรจากธุรกรรม Fx คาดว่าจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติที่เคยทำได้ราว 700 ล้านบาท จากที่หดตัวลงไปมากใน 2Q53 ที่ผ่านมา สำหรับประเด็นเรื่อง NPL และการตั้งสำรองหนี้ฯ ไม่มีประเด็นที่น่ากังวล โดยรวมแล้ว คาดกำไรสุทธิใน 9M53 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.85 หมื่นล้านบาท เติบโตถึง 15.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2553 ที่ฝ่ายวิจัยคาด
          ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของกำไรสุทธิของ SCB ใน 4Q53 และปี 2554 ซึ่งจะฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิอีกครั้ง หากการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่ยังคงเป็นไปในอัตราเร่งมากขึ้น จนทำให้การเติบโตของสินเชื่อสุทธิโดยรวมทั้งปี 2553 สูงเกินเป้าหมายที่ฝ่ายวิจัยคาดที่ 7.1% yoy และทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ทิศทางขาขึ้น และสูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น 75bp ในปี 2554 ทั้งนี้ กลยุทธ์ธุรกิจปี 2553 ของ SCB ที่ได้ปรับเปลี่ยนมาเน้นการให้บริการครบวงจรแก่ลูกค้าเป้าหมายในกลุ่มบริษัท Blue chip จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น หากความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะโครงการในมาบตาพุดหลายโครงการที่ไม่เข้าข่ายโครงการรุนแรงที่จะเริ่มกลับมาผลิตเชิงพาณิชย์ได้ ผนวกกับโครงการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการไทยเข้มแข็งที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ของ SCB ในปี 2553-54 ตามลำดับ
          ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2553-54 และคำแนะนำซื้อ โดยกำหนด Fair value เท่ากับ 120 บาท อิง PBV 2.5 เท่าปี 2554 ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 20% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในกลุ่ม ธ.พ. โดยราคาหุ้น SCB เริ่มสะท้อนพื้นฐานธุรกิจที่จะกลับมาเติบโตเชิงรุกมากขึ้นใน 2H53 และเต็มที่ทั้งปีในปี 2554 และคาดว่าจะสามารถ outperform ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ในไม่ช้า นอกจากนี้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นทิศทางขาขึ้น จะยิ่งส่งผลบวกต่อแนวโน้มธุรกิจของ SCB จากการที่มีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากสูงถึง 104.8%