พุธ 20 ต.ค.--หยิบเงินหยิบทอง :
ที่มา : บล.กิมเอ็ง

กลยุทธ์วันนี้   980 again!
     ประเด็นสำคัญวันนี้ SET INDEX วานนี้ฟื้นตัวแต่ไม่ผ่าน 990 จุดตามที่คาด เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังต่อการลงทุน หลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันในวันก่อนหน้า บวกกับขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนการลงทุน แม้ว่านักลงทุนต่างชาติวานนี้จะกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่คงสถานะ Short ใน Futures เป็นวันที่ 3 และขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2
     สำหรับภาพ SET INDEX วันนี้คาดว่าจะปรับฐานลงในช่วงเปิดตลาดสู่บริเวณ 980 จุด หรือต่ำกว่าระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ด้วยแรงกดดันจากบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชีย หลังธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 50bps และจำกัดวงเงินปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้พัฒนาอสังหาฯ น่าจะทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมากังวลต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปีหน้า
     อย่างไรก็ตาม หาก SET INDEX ปรับฐานลงตามที่ประเมินไว้ กลับกลายเป็นโอกาสของการทยอยเข้าสะสมหุ้นหลักของตลาดหุ้นไทย เพราะประเด็นของธนาคารกลางจีน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทย แต่เป็นเพียงแรงกดดันด้านจิตวิทยาการลงทุนเท่านั้น 
     ทั้งนี้ติดตามผลการประชุมกนง. วันนี้ KimEng คาดว่าอัตราดอกเบี้ย RP1 วันจะคงที่ 1.75% แต่สิ่งที่สำคัญคือมาตรการแก้ไขค่าเงินบาทจะมีเพิ่มเติมหรือไม่ และอย่างไร รวมถึงการส่งออก - นำเข้าเดือนก.ย.
     กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : KimEng เสนอ "ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ" และแนะนำ "ทยอยสะสม" BLA / DELTA 
     การลงทุนทางเลือก : แนะนำให้นักลงทุน "ถือสถานะ Long ใน S50Z10 ข้ามวัน" Stop Loss: S50Z10 < 678 จุด ปิด Long และ Wait&See
Portfolio      HOLD: CPF/ MINT/  MAJOR/ BBL/ BAY/ SCB/ BANPU / PTTEP / BCP/ CPALL/ THCOM/ BLAND/ DELTA / KCE/ AMATA/ RCL/ DTAC/ SCC/ THAI/ AP/ SPALI/ BEC/ TASCO/ AIT
Accumulative   Buy: BLA / DELTA
Technical View แนวรับ 980-985 จุด, 966-970 จุด และ 950-955 จุด แนวต้าน 990-999 จุด และ 1,020 จุด หาก SET INDEX หลุดแนวเส้นค่าเฉลี่ย 13 วันที่ 975 จุด เป็นสัญญาณลบ
Strategy Today
SET INDEX ยังไม่ผ่าน 990 จุดตามคาด
     ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 5.24 จุด หรือ 0.54% ปิดที่ 989.27 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 27,753 ล้านบาท ทั้งนี้แนวต้าน 990 จุด ยังคงไม่สามารถทะลุผ่านได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวังต่อการลงทุน หลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และ Futures วันก่อนหน้า บวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า กลายเป็นจิตวิทยาด้านลบ
     กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ กลุ่มเกษตร +4.23%, กลุ่ม Packaging +3.05% กลุ่มยานยนต์ +2.17% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน +0.65% กลุ่มธนาคาร +0.88% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +0.54%
SET INDEX วันนี้น่าจะปรับฐานลงสู่ 980 จุด ด้วยแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยที่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยไม่เปลี่ยนแปลง นั้นย่อมหมายความว่า การปรับฐานลง กลายเป็นโอกาสของการสะสมหุ้นอีกครั้ง
     ตลาดหุ้นรอบเอเชียวันนี้น่าจะตกอยู่ในแรงกดดัน หลังธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งเงินฝาก และเงินกู้ 50bps หลังตลาดหุ้นเอเชียปิดทำการวานนี้ เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อ และปัจจัยเสี่ยงของภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ของจีน ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าจะอ่อนตัวลงเช่นกัน แต่การปรับฐานลงในวันนี้กลับกลายเป็นจุดที่น่าสนใจเข้าสะสมหุ้นไทย อีกครั้ง เพราะ
        1. การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของจีน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาภายในของจีน: การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนวานนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาภายในของจีน พร้อมกับลดแรงกดดันจากประเทศคู่ค้าของจีนในประเด็นเงินหยวนที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก และคู่ค้าหลักของจีน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ด้วยมาตรการดังกล่าวของจีนวานนี้ น่าจะอยู่ในวงจำกัด 
        2. ปัจจัยเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่เปลี่ยนด้วยประเด็นดังกล่าว: แน่นอนว่านโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางจีนวานนี้ จะส่งผลกระทบต่อไทยในแง่ของค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง เพื่อรักษาสมดุลย์ของค่าเงินบาท แต่หากประเมินจากผลกระทบเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย จากมาตรการดังกล่าวแทบไม่มีผลกระทบ ซึ่งนั้นย่อมหมายความว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จะได้รับผลกระทบในวงจำกัดเฉพาะบริษัทที่มีธุรกิจเกี่ยวโยงกับจีน อย่าง CCET / HANA / DELTA / TVO เป็นต้น
        3. หาก SET INDEX ปรับฐานลงแรง กองทุนภายในประเทศน่าจะกลับมาซื้อสุทธิ: หลังวานนี้ขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 1.1 พันล้านบาท อีกทั้งก่อนหน้านี้ กองทุนภายในประเทศทยอยขายทำกำไร เมื่อ SET INDEX ดีดตัวขึ้นแรง แม้ว่าจะมีการซื้อสุทธิเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ดังนั้น หากตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับฐานลงแรงด้วยประเด็นดังกล่าว เชื่อว่านักลงทุนกลุ่มนี้อาจกลับมาซื้อสุทธิได้อีกครั้ง ซึ่งนั้นจะช่วยประคอง Downside Risk ของตลาดหุ้นไทย 
        4. ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีประเด็นการลงทุนจะเคลื่อนไหวโดดเด่นต่อเนื่อง: เมื่อภาพของ SET INDEX ช่วงสั้นนี้จะยังแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้าง จากเม็ดเงินทุนต่างชาติที่ชะลอตัว บวกกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกใหม่ ทำให้หุ้นขนาดกลางและเล็กจะกลับมาเคลื่อนไหวโดดเด่นอีกครั้ง
     สำหรับการประชุมกนง.วันนี้ เป็นจุดตัดสินของกระแสเงินทุนต่างชาติช่วงสั้น: เพราะแน่นอนว่าการพิจารณาอัตราดอกเบี้ย RP1 วัน ทั้ง KimEng และตลาดคาดว่าจะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% หลังจากที่ขยับขึ้นมาตลอด 2 ครั้งที่ผ่านมา เพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่มุมมองต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ภายใต้นโยบายการเงินของกนง.จะมีความคืบหน้าอย่างไร เพราะเม็ดเงินทุนต่างชาติที่ชะลอการลงทุนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา น่าจะมาจากเหตุผลนี้ส่วนหนึ่ง
     กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ KimEng เสนอให้ "ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ" และเริ่มหาจังหวะทยอยเข้าสะสมหุ้นขนาดกลางที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่นใน 3Q53 และอาจต่อเนื่องถึง 4Q53 เพื่อใช้เป็นจุดป้องกันความเสี่ยงต่อการปรับฐานลงของราคาหุ้นดังกล่าว
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ ทยอยสะสม หุ้นดังต่อไปนี้
     1. BLA: ราคาปิด 29.75 บาท ราคาเหมาะสมของ Settrade ที่ 35.00 บาท ส่วนของ Bloomberg ให้ราคาเหมาะสมเฉลี่ย 36.56 บาทหมายเหตุ: KELIVE ไม่ได้วิเคราะห์เชิงปัจจัยพื้นฐานของ BLA ทำให้นักลงทุนควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
        a. วานนี้ ครม.ได้อนุมัติให้ผู้มีเงินได้สามารถนำเบี้ยประกันมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำเป็นได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 100,000 บาท เป็น 300,000 บาท ทั้งนี้ ส่วนที่เพิ่มขึ้น 200,000 บาทนี้จะต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้ประจำปี ซึ่งเป็นประเด็นบวกต่อธุรกิจประกันชีวิตในภาพรวม
        b. หุ้น BLA อยู่ในกลุ่มประกันภัยนั้นมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูงสุด จึงดูน่าสนใจมากขึ้นด้วยประเด็นดังกล่าว อีกทั้งราคาหุ้นได้ปรับฐานลงจากระดับ 32.75 บาท ณ วันที่ 21 ก.ย. ปิดที่ 28.25 บาทวันที่ 18 ต.ค. ราคาหุ้นปรับฐานลงทั้งสิ้น 14%
        c. ทั้งนี้ Consensus คาดการณ์กำไรสุทธิในปีนี้ ขยายตัว 36% เป็น 2.31 พันล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.468 บาท พร้อมกับเงินปันผลคาดไว้ 0.458 บาท สำหรับงวดปี 2553
        d. อย่างไรก็ตาม BLA อาจมีแรงขายหุ้นจากผู้บริหารของ BLA หลังหมด Silence Period รอบสุดท้ายวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา
     2. DELTA: ราคาปิด 26.00 บาท ราคาเหมาะสม 30.40 บาท
        a. ธนาคารกลางจีนได้ออกมาตรการสกัดกั้นอัตราเงินเฟ้อ และภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ เย็นวานนี้และเช้าวันนี้ ย่อมส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงสั้น เพื่อปรับสมดุลย์ของค่าเงิน ซึ่งน่าจะส่งผลบวกต่อภาคการส่งออกของไทย
        b. KimEng ประเมินกำไรใน 3Q53 ซึ่งปกติเป็น High Season ของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์น่าจะยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องจาก 2Q53 ที่ DELTA ได้ทำกำไรปกติสูงสุดในรอบ 7 แม้ว่าใน 3Q53 กลุ่มชิ้นส่วนจะเริ่มได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าบ้างแล้วก็ตาม เพราะความต้องการที่ฟื้นตัวของธุรกิจ power supply ธุรกิจใหม่อันได้แก่ Solar inverter และชิ้นส่วนพัดลมสำหรับยานยนต์มีการเติบโตดีมาก น่าจะชดเชยกับค่าเงินบาท
        c. KELIVE ประเมินกำไรสุทธิปี 2553 ไว้ที่ 3,672 ล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 2.94 บาท เทียบราคาปิดวานนี้ DELTA ซื้อขายที่ PER10 ที่ 8.50x ซึ่งต่ำกว่า SMT ที่ซื้อขาย 8.84x ขณะที่คาดว่า DELTA จะจ่ายเงินปันผลงวดปี 2553 ที่ 1.60 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 6.15%
What will DJIA move tonight? 
     คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ 
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets เม็ดเงินทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
     กระแสเงินทุนต่างชาติของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียไม่รวม SET วานนี้ยังเป็นการขายสุทธิต่อเนื่องอีก US$211 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$291 ล้าน โดย TAIEX ยังคงเป็นเป้าหมายของการลดน้ำหนักการลงทุนสูงสุดต่อเนื่องอีก US$176 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$343 ล้าน และ JSE ที่ขายสุทธิมากถึง US$148 ล้าน ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจต่อการติดตามการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิดในช่วงสี้
     ขณะที่ตลาด KOSPI ยังคงเป็นเป้าหมายของการพักเงินของนักลงทุนต่างชาติ วานนี้ซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก US$113 ล้าน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$52 ล้าน ตามมาด้วยตลาดหุ้นเวียดนาม ซื้อสุทธิ US$4 ล้าน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิเพียง 0.1 ล้าน
ธุรกรรม Short-Selling วานนี้
ธุรกรรม Short-selling เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น หลัง SET INDEX ปรับฐานลงแรง

     Stock  Total Value   % of trading     Avg.Price
             (mn Bt)         Volume           (Bt)
BANPU          26.23          1.20%          734.78
PTTCH          21.75          3.90%          135.93
PTTEP          10.74          1.84%          170.50
KBANK           9.24          3.39%          117.00
IVL             7.15          1.04%           35.75
     การทำธุรกรรม Short-selling วานนี้หดตัวลงเหลือเพียง 92 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 241 ล้านบาท เมื่อ SET INDEX ฟื้นตัวกลับขึ้นมาทดสอบ 990 จุด +/- วานนี้ แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายจะไม่สนับสนุนการฟื้นตัวก็ตาม แต่อาจตีความได้ว่า นักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกต่อทิศทาง SET INDEX และ Downside Risk ของตลาดหุ้นไทยน่าจะจำกัด
     ทั้งนี้หุ้นที่เป็นเป้าหมายหลักของการทำ Short-selling วานนี้คือ BANPU เมื่อราคาหุ้นขยับขึ้นโดดเด่นที่สุดในกลุ่มพลังงาน ตามมาด้วยหุ้น High Beta อย่าง PTTCH / PTTEP / IVL สะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่อทิศทาง SET INDEX น่าจะยังแกว่งตัวค่อนข้างมาก
     อย่างไรก็ตาม KimEng เสนอให้นักลงทุนทยอยปิดทำกำไรใน Short-selling วันนี้ ด้วยบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบทั่วเอเชีย น่าจะทำให้หุ้นหลักปรับฐานลงในช่วงสั้น
แม้ว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ แต่ยังคงลดพอร์ตตลาดตราสารหนี้ และ Short ใน Futures ต่อเนื่อง
     เมื่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน บวกกับสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้น และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรในตลาดตราสารหนี้ไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 อีก 813 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 395 ล้านบาท เพื่อ Lock-in-Profit ในส่วนของค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่า 6% ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา
     ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง 778 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 541 ล้านบาท มีเพียงสถาบันภายในประเทศเท่านั้นที่ขายสุทธิ 1,104 ล้านบาท ส่วนตลาด Futures ยังคงมีสถานะ Short สุทธิเป็นวันที่ 3 แม้ว่าจะลดลงจากวันก่อนหน้า Short สุทธิถึง 1,199 สัญญา เป็น 405 สัญญาก็ตาม
แต่ NVDR ยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10 กลุ่มพลังงานเป็นเป้าหมายหลักของการสะสมต่อเนื่องเป็นวันที่ 4
     การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10 และมากถึง 1,090 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 704 ล้านบาท รวมซื้อสุทธิทั้ง 10 วันที่ผ่านมา 11,650 ล้านบาท โดย NVDR ยังคงสะสมหุ้นกลุ่ม Cyclical โดดเด่นต่อเนื่อง แม้ว่าจะซื้อกลับกลุ่มธนาคารมาบ้างก็ตาม สรุปภาพรวมของ NVDR ได้ดังต่อไปนี้
        1. กลุ่มพลังงานยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 4 อีก 758 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 704 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารซื้อสุทธิ 127 ล้านบาทจากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 2 ล้านบาท กลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 84 ล้านบาท และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซื้อสุทธิ 42 ล้านบาท
        2. ส่วนกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ขายสุทธิสูงสุดวานนี้ แต่ก็เพียง 14 ล้านบาทเท่านั้น
ซื้อสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ  % มูลค่าการซื้อขาย  ขายสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ % มูลค่าการซื้อขาย
            (ล้านบาท)                                          (ล้านบาท)    
BANPU       743.21        18.58         BBL       -110.23      30.56
TISCO       118.92        39.99         PTTAR     -102.59       5.89
KBANK        86.27        35.04         TCAP       -40.43       7.22
DTAC         72.75        25.95         STEC       -21.82       4.64
SCB          56.08         8.17         BLA        -19.35       4.97
     กลุ่มพลังงานนั้น BANPU ยังเป็นเป้าหมายหลักของการสะสมมากที่สุดของกลุ่มนี้ ซื้อสุทธิอีก 743 ล้านบาท เทียบกับวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 467 ล้านบาท เมื่อภาพของการเข้าซื้อกิจการ Centennial Coal ได้ข้อสรุปแล้ว ส่วนหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มพลังงาน NVDR ซื้อสุทธิเข้ามาบ้าง แต่ไม่โดดเด่น เช่น PTT, IRPC, BCP, PTTEP เป็นต้น ซื้อสุทธิเพียง 44, 41, 29 และ 11 ล้านบาทตามลำดับ 
     ขณะที่กลุ่มธนาคาร NVDR กลับมามีลักษณะ Pair-trade ค่อนข้างชัด ด้วยการซื้อสุทธิ KBANK แต่ขายทำกำไรใน BBL และการขายสุทธิ TCAP และซื้อสุทธิใน TISCO แทน แม้ว่ามูลค่าจะไม่สอดคล้องชัดเจน แต่มีภาพที่ค่อนข้างจะเป็นการปรับน้ำหนักภายในกลุ่มธนาคาร
     สำหรับ BLA ที่ NVDR ขายสุทธิ 19 ล้านบาทนั้น เชื่อว่านักลงทุนอาจไม่ได้รับข่าวสารเกี่ยวกับผลการประชุมครม.วานนี้ ที่เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ด้วยการนำเงินประกันเข้ามาลดหย่อนได้จากเดิม 100,000 บาท เป็น 300,000 บาท โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นมาต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้ ย่อมทำให้ฐานธุรกิจของ BLA ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เชื่อว่าวันนี้แรงขายหุ้นดังกล่าวน่าจะเริ่มลดลง ด้วยความชัดเจนของข้อมูลดังกล่าว