จันทร์ 18 ต.ค.--หยิบเงินหยิบทอง :
ที่มา : บล.กิมเอ็ง

กลยุทธ์วันนี้   Make A Wish
     ประเด็นสำคัญวันนี้ SET INDEX เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมายังคงไม่ถึงฝั่งฝันที่ 1,000 จุด ทำได้ดีที่สุดที่ 999.43 จุด ก่อนที่จะเกิดแรงขายทำกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้ SET INDEX ปิด 997.15 จุด บวก 3.43 จุด ขณะที่กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงหนาแน่นทั้งตลาดเงินและตลาดทุน 
     แม้ว่าจะผ่านมา 2 วันทำการ แต่ SET INDEX ยังไม่สามารถทดสอบ 1,000 จุดได้ก็ตาม แต่เชื่อว่าวันนี้ SET INDEX มีโอกาสทดสอบ หรืออาจเปิดข้าม 1,000 จุด แม้ว่า DJIA - NYMEX ปรับฐานลงก็ตาม แต่ด้วยกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าทั่วเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทย เพราะด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบการเงินโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ บวกกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า การถือครองสินทรัพย์ด้วยเงินดอลลาร์อาจถูกลดมูลค่าทางอ้อม
     ทั้งนี้ KimEng เสนอให้นักลงทุนเริ่มทยอยลดการถือครองหุ้นกลุ่มธนาคารลงจนถึงวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการประกาศงบ 3Q53 เพราะด้วยผลการดำเนินงาน และการประชุมกนง.วันที่ 20 ต.ค. ณ ปัจจุบันสามารถสรุปได้ว่าอัตราดอกเบี้ย RP1 วันนี้จะทรงตัวที่ 1.75% แต่โอกาสที่จะเห็นการลดอัตราดอกเบี้ย 25bps ก็เริ่มมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากก็ตาม
     กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : KimEng เสนอ "ทยอยขายทำกำไรราว 5-10% ของพอร์ตการลงทุน เป็นวันที่ 3" และแนะนำ "ซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น" CPF / TASCO และ "ขายทำกำไร" KTB / TTA
     การลงทุนทางเลือก : แนะนำให้นักลงทุน "ปิดสถานะ Long ใน S50Z10 บริเวณ 700 จุด +/-"  และถือเงินสด  Stop Loss: S50Z10 < 685 จุด ปิด Long และ Wait&See
Portfolio Profit-taking 5-10% : CPF/ MINT/  MAJOR/ BBL/ BAY/ SCB/ BANPU / PTTEP / BCP/ CPALL/ THCOM/ BLAND/ DELTA / KCE/ AMATA/ RCL/ DTAC/ SCC/ THAI/ AP/ SPALI/ BEC/ AIT
S-T BUY : CPF/ TASCO
Profit-Taking: TTA/ KTB
Technical View แนวรับ 986-990 จุด, 965-970 จุด และ 950 จุด ส่วนแนวต้าน 1010-1020 จุด, 1060 จุด และ 1,100-1,200 จุด
Strategy Today
SET INDEX วันศุกร์ยังไม่สามารถทะลุผ่าน 1,000 จุดได้

     ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ยังไม่สามารถขึ้นทดสอบ 1,000 จุดได้เป็นวันที่ 2 เพราะเป็นวันศุกร์ นักลงทุนส่วนใหญ่ทยอยขายทำกำไรเพื่อ Lock-in-profit รวมถึงบรรยากาศรอบเอเชียและยุโรปตลาดหุ้นต่างปรับฐานลงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน เพื่อรอดูทิศทางการลงทุนในต้นสัปดาห์หน้าอีกครั้ง ปิดตลาด SET INDEX อยู่ที่ 997.15 จุด บวก 3.43 จุดหรือ 0.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35,535 ล้านบาท
     กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ กลุ่มปิโตรเคมี +3.12%, กลุ่มขนส่ง +2.69% และกลุ่มยานยนต์  +1.98% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน +0.59% กลุ่มธนาคาร -0.28% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +0.42%
KimEng ยังมีความเชื่อว่า SET INDEX ยังมีโอกาสทดสอบ 1,000 จุดในวันนี้ แม้ว่าบรรยากาศรอบด้านอาจไม่เอื้อต่อก็ตาม
     SET INDEX วันนี้อาจเปิดข้ามระดับ 1,000 จุดได้ แต่อาจเกิดแรงขายทำกำไรเข้ามาเป็นระยะๆ ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายได้เช่นกัน แต่ในภาพรวม KimEng ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ SET INDEX เพียงแต่ความผันผวนจะยิ่งทวีขึ้นด้วยเช่นกัน
        1. ปราศรัยของประธานเฟดน่าจะฟันธงไปได้เลยว่ามีมาตรการรอบ 2 แน่นอน: เพราะด้วยมุมมองต่อเศรษฐกิจที่เปราะบาง อัตราการว่างงานจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป ขณะที่เริ่มมีปัจจัยเสี่ยงด้านภาวะเงินฝืด จึงกลายเป็นการเปิดโอกาสให้เฟดสามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นไปได้อีก  เพียงแต่มาตรการที่จะออกมาใช้ครั้งใหม่นี้ น่าจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมจากโครงการครั้งก่อน เพราะมาตรการรับซื้อพันธบัตร และตราสารหนี้รอบแรก กลับก่อนให้เกิดมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงจำกัด ดังนั้นการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และตลาด DJIA - NYMEX ที่ปรับฐานลงในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเพียงการชั่วคราว
        2. ก่อนมาตรการ QE#2 ชัดเจน เงินทุนย่อมหาช่องทางการลงทุน ซึ่งตลาดเอเชียยังน่าจะเป็นเป้าหมาย: แม้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลของประเทศเกิดใหม่ออกมาตรการสกัดกั้นเงินทุนต่างชาติไหลเข้า เพื่อผ่อนคลายการแข็งค่าของเงินสกุลท้องถิ่น แต่ด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบการเงิน และความชัดเจนของมาตรการใหม่ของเฟดยังจำเป็นต้องรอไปอีกกว่า 2 สัปดาห์ ทำให้นักลงทุนต่างชาติจำเป็นต้องกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเกิดใหม่ รวมถึงตลาดเงิน - ตลาดทุนไทยอีกระยะหนึ่ง
        3. เมื่อกระแสเงินทุนต่างชาติหนาแน่น สถาบันภายในประเทศเริ่มกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง: จะเห็นได้จากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สถาบันภายในประเทศกลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ด้วยมูลค่า 282 ล้านบาท จาก 2 วันก่อนหน้า นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิไปทั้งสิ้น 1,206 ล้านบาท แต่ SET INDEX กลับไม่ปรับฐานลงแรง ทำให้สถาบันภายในประเทศต้องกลับมาสะสมหุ้นอีกครั้ง แต่น่าจะเป็นเพียงช่วงสั้น พร้อมประเมินสถานการณ์การลงทุนอย่างต่อเนื่อง
        4. ติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์: วันนี้เป็นการสอบปากพยานจำเลยนัดสุดท้าย โดยนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปให้ปากคำด้วยตนเอง และหลังจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาราว 15-45 วันในการพิจารณาคดีดังกล่าว แม้ว่าปัจจัยนี้จะยังไม่ถึงจุดเสี่ยง แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องติดตามเช่นกัน
     กลยุทธ์การลงทุน KimEng ยังคงเสนอให้นักลงทุน "ทยอยขายทำกำไรหุ้นในพอร์ตราว 5-10% และถือเงินสด" เป็นวันที่ 3  พร้อมเตรียมรอขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารหลังประกาศงบ 3Q53 พร้อมสลับพอร์ตการลงทุนเข้าหุ้นกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคารมากขึ้น เพื่อเก็งกำไรต่องบ 3Q53 มากขึ้น
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ ทยอยสะสม หุ้นดังต่อไปนี้
     1. CPF: ราคาปิด 23.70 บาท
        a. KELIVE คาดกำไรปกติใน 3Q53 เพิ่มขึ้น13% yoy เป็น 4,117 ล้านบาทจากการขยายตัวต่อเนื่องของธุรกิจในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นที่ ตุรกี อินเดีย และ มาเลเซีย ขณะที่ธุรกิจกุ้งและอาหารกุ้งได้รับผลบวกจากความต้องการซื้อและราคาที่เพิ่มขึ้นหลังจาก Supply กุ้งในตลาดโลกลดลง ส่วนธุรกิจเนื้อสัตว์ในประเทศยังมีความสามารถในการทำกำไรได้ดี แม้ว่าราคาเนื้อไก่จะอ่อนตัวลง 7% yoy แต่ราคาเนื้อหมูและไข่ไก่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% yoy และ 7% yoy ตามลำดับ ขณะที่ต้นทุนหลักของอาหารสัตว์ คือ ข้าวโพด และ กากถั่วเหลือง เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าเนื่องจากบริษัทมีการสต๊อกไว้ สำหรับการส่งออกได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการแข็งค่าของเงินบาทเนื่องจาก CPF สามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นได้ในการส่งออกไปตลาดยุโรปและสหรัฐฯ
        b. ณ ปัจจุบันได้สิ้นสุดเทศกาล "กินเจ" แล้ว บวกกับภาวะน้ำท่วมฉับพลันในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ฟาร์มเลี้ยงไก่เสียหายเป็นจำนวนมาก น่าจะส่งผลบวกต่อราคาเนื้อสัตว์ในประเทศ
        c. กำไรปกติปีนี้ KELIVE คาดไว้ที่ 13,029 ล้านบาท (1.85 บาท/หุ้น) เติบโต 36% และเพิ่มขึ้น 6% เป็น 13,865 ล้านบาท (1.97 บาท/หุ้น) ในปี 2554 โดยเราประเมินว่ายอดขายจะขยายตัว 10% yoy เป็น 202,704 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 18.6% เป็น 18.2% จากการที่ราคาเนื้อสัตว์เฉลี่ยมีแนวโน้มต่ำลงขณะที่วัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นแม้ว่า CPF จะมีการสต็อคข้าวโพดไว้ล่วงหน้า 4-5 เดือนแล้วและล็อคราคากากถั่วเหลืองไว้ถึงกลางปี สำหรับธุรกิจที่จะยังเติบโตดีคือ ธุรกิจกุ้ง และ ธุรกิจในต่างประเทศ
     2. TASCO: ราคาปิด 66.50 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 85.00 บาท
        a. KimEng มีมุมมองเชิงบวกต่อความต้องการยางมะตอยในช่วงสั้นนี้ เพราะภาวะน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของทางภาคอีสาน เชื่อว่าทางการจะต้องเร่งออกมางบประมาณช่วยเหลือฉุกเฉินในการซ่อมแซมถนนดังกล่าว ซึ่งจะเป็นบวกต่อความต้องการใช้ยางมะตอยที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าที่คาด
        b. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 จากข้อมูลในเว็บไซต์ของสำนักงบประมาณ มีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวกับการสร้างถนน คือ กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท รวมกันเท่ากับ 68,213ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 45.7% นอกจากนี้กรมทางหลวงยังมีโครงการ มอเตอร์เวย์ อีก 10 สาย รวมระยะทาง 778 กิโลเมตร คิดเป็นงบประมาณทั้งหมด 158,310 ล้านบาท ในระยะเวลา 6 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน
        c. แนวโน้มในปี 2553-2555 จะเป็นวัฏจักรขาขึ้นของ TASCO รอบใหม่ ดังเช่นในยุครุ่งเรืองในการสร้างถนนปี 2534-2540 (ดูตารางกราฟที่ 4) โดยวัฏจักรขาขึ้นในรอบนี้ (2553-2555) จะได้แรงหนุนจากการมีโรงกลั่นยางมะตอยเป็นของตัวเองโดยจะเน้นตลาดส่งออกเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำให้กำไรของ TASCO พุ่งขึ้นเป็น 1,000-1,400 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 6.55-9.18 บาท)  โดยตัวเลขกำไรครึ่งปีแรก 660 ล้านบาท
นอกจากนี้ KimEng แนะนำให้ "ขายทำกำไร"
     1. KTB: ราคาปิด 17.70 บาท เทียบกับราคาที่ KimEng แนะนำให้ทยอยเข้าสะสมรอบหลังสุด 16.80 บาท สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน 5% แม้ว่าผลการดำเนินงานใน 3Q53 จะยังไม่ประกาศก็ตาม แต่แนวโน้มราคาหุ้นจะเริ่มมี Upside Gain ที่จำกัด เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาเสริมการลงทุน จึงแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรเพื่อ Lock-in-profit
     2. TTA: ราคาปิด 24.20 บาท เทียบกับราคาที่ KimEng แนะนำให้ทยอยเข้าสะสมบริเวณ 23.80 บาท ซึ่ง ณ ปัจจุบันสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เพียง 2% เท่านั้น แต่ด้วยทิศทาง BDI ที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลการขนส่งสินค้าเกษตร, ถ่านหิน และสินแร่เหล็กมากขึ้นแล้วก็ตาม บวกกับแนวโน้มผลการดำเนินงานของ TTA ขาดความโดดเด่นในแง่ของการเติบโต ดังนั้น KimEng เสนอให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นดังกล่าว เพื่อปรับเปลี่ยนเข้าหุ้นอื่นอย่าง CPF / TASCO ซึ่งมีแนวโน้มเป็นบวกมากกว่า
What will DJIA move tonight? 
     คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ
        1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนก.ย.: ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 0.2% mom เท่ากับเดือนก่อนหน้า +0.2% mom
        2. อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.ย.: ตลาดคาดไว้ที่ 74.80% เทียบกับเดือนก่อนหน้า 74.70%
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets เม็ดเงินทุนต่างชาติโยกเงินลงทุนระหว่างประเทศชัดเจน
     กระแสเงินทุนต่างชาติของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียไม่รวม SET, TAIEX และ KOSPI เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติเลือกโยกเงินลงทุนระหว่างประเทศชัดเจน โดยซื้อสุทธิใน PSE และตลาดหุ้นเวียดนามรวมทั้ง US$7 ล้าน ซึ่งเท่ากับการขายสุทธิในตลาด JSE ในมูลค่าที่เท่านั้น
ธุรกรรม Short-Selling วานนี้ ธุรกรรม Short-selling กลับหดตัวลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ สะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่อ Downside Risk ของ SET INDEX จำกัดมากยิ่งขึ้น
     Stock  Total Value   % of trading     Avg.Price
             (mn Bt)         Volume           (Bt)
PTTAR          25.01          0.90%          30.49
BANPU          17.60          1.32%         719.80
PTT            15.92          0.99%         312.18
KBANK          12.16          1.56%         117.50
SCB            10.04          1.55%         106.00
     การทำธุรกรรม Short-selling เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หดตัวลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการเหลือ 117 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 227 ล้านบาท เมื่อ SET INDEX ขยับขึ้นและเคลื่อนไหวบริเวณ 995-997 จุดตลอดชั่วโมงการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้ว่าบรรยากาศรอบด้านการลงทุนทั้งในเอเชีย และยุโรป จะเป็นลบก็ตาม แต่นักลงทุนกลับระมัดระวังต่อการลงทุนผ่าน Short-selling
     ทั้งนี้ราคาหุ้นที่มีการขยับขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา PTTAR / BANPU / PTT กลับกลายเป็นเป้าหมายของการทำ Short-selling ซึ่งดูจะเป็นความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เพราะราคาหุ้นของทั้ง 3 หลักทรัพย์ขยับขึ้นมาพร้อมกับปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนราคา 
     ด้านหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK/ SCB ยังคงเป็นเป้าหมายของ Short-selling ต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า อาจเป็นเพราะปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นทั้ง 2 เริ่มจำกัดมากขึ้น เพราะสัปดาห์นี้จะมีการประกาศงบ 3Q53 และการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.วันที่ 20 ต.ค.
นักลงทุนต่างชาติ เมื่อวันศุกร์ยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่อง
     นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยสะสมทั้งตลาดเงินและตลาดทุนไทยต่อเนื่อง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าด้วยก็ตาม โดยเมื่อวันศุกร์นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีก 2,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 868 ล้านบาท
     ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8 อีก 979 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 4,034 ล้านบาท  แต่สำหรับตลาด Futures นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Short สุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 51 สัญญาเท่านั้น ทำให้ภาพรวมของกระแสเงินทุนต่างชาติยังคงหนาแน่นในประเทศไทย
และ NVDR ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 แต่เริ่มเห็นสัญญาณการขายทำกำไรในกลุ่มธนาคารชัดขึ้น
     การซื้อขายผ่าน NVDR เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8 อีก 438 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,985 ล้านบาท รวมซื้อสุทธิทั้ง 8 วันที่ผ่านมา 9,856 ล้านบาท โดย NVDR ยังคงสะสมหุ้นกลุ่ม Cyclical หนาแน่นต่อเนื่อง และเริ่มลดการลงทุนในกลุ่มธนาคารอีกครั้ง สรุปภาพรวมของ NVDR ได้ดังต่อไปนี้
     1. กลุ่มพลังงานยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 อีก 637 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,236 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 212 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าถูกขายสุทธิ 52 ล้านบาท และกลุ่มปิโตรเคมีซื้อสุทธิ 41 ล้านบาท จาก
     2. ด้านกลุ่มขนส่งกลับถูกขายสุทธิสูงสุด 135 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคารถูกขายสุทธิ 119 ล้านบาท และ 104 ล้านบาท ตามลำดับ
ซื้อสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ  % มูลค่าการซื้อขาย  ขายสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ % มูลค่าการซื้อขาย
            (ล้านบาท)                                          (ล้านบาท)    
BANPU        336.14      15.56          TTA       -239.61      18.00
PTT          189.24      12.39          BBL       -226.37      49.02
SCC          182.93      32.34          QH        -157.60      14.53
KBANK        130.57      26.88          TCAP      -116.65      15.56
THAI          92.43       6.94          AOT        -43.23      21.63
     หุ้นกึ่ง Defensive อย่าง ADVANC เริ่มเป็นเป้าหมายของการขายสุทธิครั้งแรกในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ 34 ล้านบาท รวมถึง DTAC ขายสุทธิ 39 ล้านบาท หลังราคาหุ้นขยับขึ้น และ Downside Risk ของตลาดหุ้นไทยเริ่มจำกัดอีกครั้ง ทำให้การลงทุนในหุ้นกึ่ง Defensive กลายเป็นการเสียโอกาสของการลงทุน
     ขณะที่กลุ่มพลังงานนั้น BANPU กลับมาได้รับความสนใจอย่างโดดเด่นอีกครั้ง 336 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 34 ล้านบาท น่าจะทำให้ราคาหุ้นฟื้นตัวขึ้นในท้ายตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามาด้วยการซื้อหุ้น Laggard ในกลุ่มพลังงานอย่าง PTT อีก 189 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 368 ล้านบาท      นอกจากนี้ PTTAR - PTTCH ซึ่งน่าจะเป็นคู่ของการควบรวมกิจการที่ PTT กำลังดำเนินการพิจารณาอยู่นั้น NVDR ซื้อสุทธิหนาแน่นเช่นกัน 61 ล้านบาทสำหรับ PTTAR และ 46 ล้านบาท สำหรับ PTTCH
     ส่วน SCC นั้น NVDR กลับมาซื้อสุทธิหนาแน่น 183 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 49 ล้านบาท หลังราคาหุ้นปรับฐานลงมาสู่บริเวณ 323-325 บาท ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง แนวโน้มระยะกลางถึงยาวยังคงเป็นบวก
     และเป็นที่น่าสนใจของการซื้อขาย pair trade ด้วยการ ซื้อสุทธิใน THAI มากถึง 92 ล้านบาท แต่ขายสุทธิ AOT ไป 43 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q53 (ก.ค.-ก.ย.) ของ AOT นั้นอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนสุทธิ ด้วยเงินโบนัส และการเป็น Low Season ของธุรกิจ ขณะที่ THAI นั้นแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่องนับตั้งแต่ 3Q53 จนถึง 1Q54