อังคาร 19 ต.ค.--หยิบเงินหยิบทอง :
ที่มา : บล.กิมเอ็ง

กลยุทธ์วันนี้  Rebound But Limit
     ประเด็นสำคัญวันนี้ SET INDEX วานนี้ปรับฐานลงเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 13.12 จุด ปิดที่ 984.03 จุด โดยมีแนวรับ 980 จุดทำงานได้ค่อนข้างดี เนื่องจากขาดปัจจัยบวกใหม่ อีกทั้งบรรยากาศรอบเอเชียและยุโรปวานนี้ต่างปรับฐานลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติวานนี้ลดน้ำหนักการลงทุนใน 3 ตลาดพร้อมกัน - ตลาดหุ้น / Futures/ ตลาดตราสารหนี้
     สำหรับทิศทาง SET INDEX วันนี้คาดฟื้นตัวจากการปรับฐานลงวานนี้ ตามบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชีย หลัง DJIA - NYMEX ปิดบวกได้อย่างโดดเด่น แม้ว่าระหว่างชั่วโมงการซื้อขายจะมีแรงกดดันอยู่บ้าง ซึ่งน่าจะทำให้กลุ่มพลังงานฟื้นตัว ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารที่รับอานิสงค์จากกลุ่มสถาบันการเงินในสหรัฐฯ คืนวานนี้ ขยับขึ้นอย่างโดดเด่นหลัง Citigroup รายงานงบออกมาดีกว่าที่คาด เพียงแต่กลุ่มธนาคารน่าจะมีแรงขายทำกำไรเข้ามาเป็นระยะ เพื่อสะท้อนข่าวงบการเงิน 3Q53 ที่จะทยอยประกาศในช่วงสั้นนี้ อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติวานนี้ขายสุทธิทั้งตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ น่าจะกดดันจิตวิทยานักลงทุนภายในประเทศอยู่ไม่น้อย และทำให้การฟื้นตัวของ SET INDEX วันนี้ไม่โดดเด่น แต่สามารถขยับขึ้นไปทดสอบแนว 990 จุดได้อีกครั้ง
     ขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็กจะกลับมาเคลื่อนไหวโดดเด่นอีกครั้ง ทั้งนี้จับตากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังโครงการรถไฟความเร็วสูงที่รัฐบาลจะร่วมทุนกับจีน จะเข้าพิจารณาในครม.วันนี้
     กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ "ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ หลังแนะนำให้ทยอยขายทำกำไรตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมา" และแนะนำ "ซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น" AMATA/ PTTEP
     การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน "ถือสถานะ Long ใน S50Z10 ข้ามวัน" Stop Loss: S50Z10 < 678 จุด ปิด Long และ Wait&See
Portfolio HOLD: CPF/ MINT/  MAJOR/ BBL/ BAY/ SCB/ BANPU / PTTEP / BCP/ CPALL/ THCOM/ BLAND/ DELTA / KCE/ AMATA/ RCL/ DTAC/ SCC/ THAI/ AP/ SPALI/ BEC/ AIT / TASCO
Speuclative Buy: AMATA / PTTEP
Technical View แนวรับ 975-980 จุด, 966-950 จุด ส่วนแนวต้าน 990 จุด, 999 จุด และ 1,020 จุด ทั้งนี้ติดตามการเคลื่อนไหวบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 13 วันที่ 975 จุดหากหลุดแนวดังกล่าว เป็นสัญญาณลบ
Strategy Today
SET INDEX ปรับฐานลงเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ ตามสภาพตลาดรอบเอเชียและยุโรป
     บรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียและยุโรปวานนี้ปรับฐานลงเนื่องจากขาดปัจจัยบวกใหม่ ความกังวลเกี่ยวกับการยึดจำนองบ้านของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ทำให้เงินทุนต่างไหลกลับเข้า Safe haven เงินดอลลาร์แข็งค่า ราคาน้ำมันดิบ NYMEX และทองคำปรับฐานลงต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน ส่งผลให้หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน เข้าสู่ช่วงพักฐานชัดเจน ปิดตลาดวานนี้ SET INDEX ลดลง 13.12 จุด หรือ 1.32% มาอยู่ที่ 984.03 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขาย 31,359 ล้านบาท
     กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ กลุ่ม Home +0.66%, กลุ่ม PFUND +0.51% และกลุ่มค้าปลีก +0.44% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน -1.89% กลุ่มธนาคาร -1.70% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ -1.19%
คาด SET INDEX วันนี้น่าจะฟื้นตัวขึ้นทดสอบ 990 จุดได้ แต่แรงส่งแรงๆ ยังไม่น่าเกิด หลังนักลงทุนต่างชาติลดน้ำหนักการลงทุนในไทยทั้ง 3 ตลาด
     KimEng เชื่อว่า SET INDEX วันนี้น่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ แต่ Upside Gain ในวันนี้น่าจะจำกัดเช่นกัน พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง เนื่องจาก
        1. นักลงทุนต่างชาติวานนี้ขายสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันกดดันการลงทุนไม่น้อย: เพราะเมื่อกระแสเงินทุนต่างชาติเริ่มชะลอตัวลง ด้วยการขายสุทธิทั้งตลาดหุ้น 541 ล้านบาทเป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการ, ตลาด Futures นั้น Short สุทธิ 1,199 สัญญา และตลาดตราสารหนี้ขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 395 ล้านบาท แม้ว่ามูลค่าขายสุทธิต่อตลาดค่อนข้างจำกัด แต่ในแง่ของจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนภายในประเทศ ทำให้ยิ่งระมัดระวังต่อการลงทุนมากขึ้น
        2. หุ้นขนาดใหญ่ทั้งพลังงานและธนาคารน่าจะฟื้นตัวได้แต่ก็จำกัด: โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธนาคาร เพราะสัปดาห์นี้จะมีการทยอยประกาศงบ 3Q53 จนถึงวันที่ 21 ต.ค. กอปรกับการประชุมกนง.วันที่ 20 ต.ค.นี้น่าจะคงอัตราดอกเบี้ย RP1 วันไว้ที่ 1.75% ทำให้หมดข่าวดีในช่วงสั้นนี้ ขณะที่กลุ่มพลังงานน่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่า หลังราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX ฟื้นตัวกลับมาปิดบวกได้ในที่สุดวานนี้ ทั้งนี้คงต้องติดตามการเคลื่อนไหวค่าเงินดอลลาจะสามารถกลับมาอ่อนค่าได้แรงๆ เหมือนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาอีกครั้งได้หรือไม่ เพราะจะส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุน
        3. แต่นักลงทุนในประเทศรวมถึงกองทุนน่าจะรอขายทำกำไร: เพราะความผันผวนของ SET INDEX ในช่วงสั้นจากนี้ไปจะกว้างมากขึ้น เพราะ SET INDEX ที่ขยับขึ้น - ลงตามกระแสเงินทุนต่างชาติ ดังนั้นหาก SET INDEX ดีดตัวขึ้นแรงๆ ย่อมกลายเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งภายในประเทศ และกองทุนในประเทศ ทยอยขายเพื่อ Lock-in-Profit เข้ามาเป็นระยะๆ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของพอร์ต แต่อย่างไรก็ตาม Downside Risk ของ SET INDEX ยังคงจำกัด ด้วยเม็ดเงินลงทุนภายในประเทศเช่นกัน
        4. บวกกับหุ้นขนาดกลางและเล็กน่าจะกลับมาเคลื่อนไหวโดดเด่น:  แม้ว่าหุ้นขนาดใหญ่วันนี้จะฟื้นตัว แต่เชื่อว่าจะเป็นไปอย่างจำกัด หุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เติบโตโดดเด่น น่าจะกลับมาเคลื่อนไหวโดดเด่นแทน เพราะไม่ต้องพึ่งพิงเม็ดเงินทุนต่างชาติเพื่อผลักดันราคาหุ้น
     หลังจาก KimEng แนะนำให้ "ทยอยขายทำกำไรหุ้นในพอร์ตราว 5-10% และถือเงินสด" มาตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมา ณ วันนี้ KimEng เสนอให้ "ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ" และอาจปรับพอร์ตเข้าหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพื่อเก็งกำไรในช่วงสั้นนี้แทน
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร หุ้นดังต่อไปนี้
     1. AMATA: ราคาปิด 14.80 บาท ราคาเหมาะสม 20.50 บาท
        a. ยอดขายที่ดิน สิ้นสุดเดือนก.ย.รวมทั้งสิ้น 925 ไร่ จากเป้าหมายที่ KELIVE กำหนดไว้ที่ 1,500 ไร่ในปีนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยากต่อการประสบความสำเร็ว
        b. KELIVE ประเมินเป้าหมายการขายที่ดินในปีหน้าไว้ที่ 1,650 ไร่ ซึ่ง ณ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอีก 400-500 ไร่ ซึ่งมีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งยอดซื้อที่ดิน 103 ไร่ ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่มรกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และเป็นสัญชาติญี่ปุ่น
        c. แนวโน้มกำไรสุทธิใน 2H53 นั้น KELIVE ประเมินกำไรไว้ที่ 365 ล้านบาท จาก 1H53 ที่ทำกำไรได้เพียง 239 ล้านบาทเท่านั้น และคาดว่าปี 2554 กำไรสุทธิจะขยับขึ้นเป็น 1,284 ล้านบาท เติบโต 112% yoy หรือคิดเป็น EPS m 1.20 บาท/หุ้น
        d. AMATA เป็นหนึ่งใน 8 หุ้น Roadshow ที่ลอนดอนกับโบรกเกอร์ต่างชาติ
     2. PTTEP: ราคาปิด 169 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 195 บาท
        a. KimEng มีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงสั้นนี้ โอกาสที่จะเห็น NYMEX ทดสอบแนว US$85/barrel และแนวต้านถัดไปที่ US$90/barrel มีความเป็นไปได้ด้วยแรงเก็งกำไรจากประเด็นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 บวกกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า
        b. KELIVE ประเมินกำไรสุทธิ 11,565 ล้านบาท หรือ 3.49 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 120% yoy และ 9% qoq เนื่องจาก
           i. การบันทึกเงินประกันชดเชยจากโครงการ Montara ก่อนภาษีอีกประมาณ 44 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.3 พันล้านบาท
           ii. อัตราภาษีที่ลดลงจาก 44% เหลือ 38%
           iii. กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกประมาณ 1.4 พันล้านบาท (บริษัทมีหนี้สกุลดอลลาร์สุทธิรวมประมาณ 700 ล้านเหรียญ)
           iv. ปริมาณการจำหน่ายปิโตรเลียมไตรมาสนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 17% yoy และ 4% qoq เป็น 274,191 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน จากโครงการ MTJDA (PTTEP ถือหุ้น 50%) ที่จำหน่ายก๊าซเพิ่มขึ้นเป็น 280 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน จาก 250 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันในไตรมาส 2/53 และการกลับมาผลิตเป็นปกติของโครงการอาทิตย์เหนือ (PTTEP ถือ 100%) กำลังการผลิต 120 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ที่หยุดซ่อมบำรุงไปเดือนครึ่งใน 2Q53
           v. และราคาจำหน่ายปิโตรเลียมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 13% yoy (-2% qoq) เป็น 45.24 เหรียญ/บาร์เรล
What will DJIA move tonight? 
     คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ
        1. ยอดก่อสร้างบ้านใหม่เดือนก.ย.: ตลาดคาดว่าจะหดตัวลง 2.6% mom จากเดือนก่อนหน้าเติบโต 10.5% mom
        2. ยอดขออนุมัติการก่อสร้างเดือนก.ย.: ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% mom จากเดือนก่อนหน้า +1.8% mom
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets เม็ดเงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย
     กระแสเงินทุนต่างชาติของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียไม่รวม SET และ JSE วานนี้เป็นการขายสุทธิครั้งแรกในรอบเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ขายสุทธิ US$291 ล้าน ทั้งนี้เป็นการลดน้ำหนักในตลาด TAIEX มากถึง US$343 ล้าน ตามมาด้วย PSE ขายสุทธิ US$0.45 ล้าน เมื่อสถานการณ์การลงทุนรอบเอเชียไม่เอื้อต่อการลงทุน ปัญหาในด้านหนี้สินภาคอสังหาฯ ของสหรัฐฯ กดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกวานนี้
     อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยสะสม KOSPI ต่อเนื่อง แต่ก็เพียง US$52 ล้านเท่านั้น รวมถึงตลาดหุ้นเวียดนาม ซื้อสุทธิ US$0.1 ล้าน ซึ่งเป็นมูลค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ธุรกรรม Short-Selling วานนี้ ธุรกรรม Short-selling เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น หลัง SET INDEX ปรับฐานลงแรง
     Stock  Total Value   % of trading     Avg.Price
             (mn Bt)         Volume           (Bt)
CPF           75.93           3.92%          23.30
PTTEP         31.50           2.31%         170.27
PTT           24.39           1.14%         310.75
SCB           14.20           3.27%         105.19
BBL           12.53           1.50%         156.25
     การทำธุรกรรม Short-selling วานนี้ฟื้นตัวขึ้นมามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 241 ล้านบาท จากวันศุกร์ที่ผ่านมา 117 ล้านบาท หลัง SET INDEX ปรับฐานลงแรงและหลุดแนว 980 จุด ยิ่งทำให้จิตวิทยาการลงทุนเริ่มเป็นลบมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนกลับมามองเครื่องมือทำกำไรจากตลาดขาลง ผ่าน Short-selling
     อย่างไรก็ตาม หุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจต่อ Short-selling โดดเด่นคือ CPF ซึ่งมีราคาเฉลี่ย 23.30 บาท และคิดเป็น 3.92% ของมูลค่าการซื้อขาย CPF โดยรวม กดดันให้ราคาหุ้นอ่อนตัวลงปิดที่ 23 บาท เชื่อว่าตลาดค่อนข้างกังวลต่อแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของ CPF รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่ง KimEng กลับมองต่าง เพราะเชื่อว่า CPF น่าจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทได้ บวกกับผลกระทบของน้ำท่วม น่าจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาเนื้อสัตว์ภายในประเทศมากกว่า
นักลงทุนต่างชาติ ลดน้ำหนักการลงทุนในไทยทั้ง 3 ตลาดพร้อมกัน
     เมื่อภาพการลงทุนรอบเอเชียและยุโรปขาดความชัดเจน บวกกับ DJIA Futures - NYMEX ปรับฐานลงค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย โดยตลาดตราสารหนี้ กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 395 ล้านบาท
      ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 9 วันทำการ 541 ล้านบาท และตลาด Futures มีสถานะ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 1,199 สัญญา ย่อมเป็นการส่งสัญญาณเชิงลบ หรือ Upside Gain ที่จำกัดในช่วงสั้นนี้
แต่ NVDR ยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 และกลุ่มพลังงานยังคงเป็นเป้าหมาย หลักของการสะสม
     การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 9 อีก 704 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 438 ล้านบาท รวมซื้อสุทธิทั้ง 9 วันที่ผ่านมา 10,560 ล้านบาท NVDR ยังคงสะสมหุ้นกลุ่ม Cyclical หนาแน่นต่อเนื่อง และลดการลงทุนในกลุ่มธนาคารต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน สรุปภาพรวมของ NVDR ได้ดังต่อไปนี้
        1. กลุ่มพลังงานยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 3 อีก 704 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 637 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้างซื้อสุทธิอีก 103 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 212 ล้านบาท และกลุ่มค้าปลีก ซื้อสุทธิ 35 ล้านบาท
        2. ด้านกลุ่มขนส่งยังคงถูกขายสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 แต่ก็เพียง 71 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 135 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ขายสุทธิ 63 ล้านบาท ลดลงจากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 119 ล้านบาท 
        3. กลุ่มธนาคารขายสุทธิเพียง 2 ล้านบาท เป็นการปรับน้ำหนักการลงทุนภายในกลุ่มชัดเจน
ซื้อสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ  % มูลค่าการซื้อขาย  ขายสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ % มูลค่าการซื้อขาย
            (ล้านบาท)                                          (ล้านบาท)    
BANPU        467.46       22.22         TOP       -142.47       11.96
PTT          238.09       12.28         QH        -131.32       15.59
KBANK        161.26       46.65         TCAP       -86.78        8.56
SCC           97.65       24.57         KTB        -67.43        9.09
PTTAR         67.11        3.73         CPF        -41.79        5.27
     กลุ่มพลังงานนั้น BANPU ยังคงได้รับความสนใจอย่างโดดเด่นต่อเนื่อง ด้วยการซื้อสุทธิมากถึง 467 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 336 ล้านบาท หลัง โบรกเกอร์ ต่างชาติมีการปรับราคาเหมาะสมของ BANPU ขึ้น ตามมาด้วย PTT ซื้อสุทธิเร่งตัวมากขึ้นเป็น 238 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 189 ล้านบาท เพราะโบรกเกอร์ต่างชาติอีกรายให้น้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้นใน PTT
     ขณะที่ PTTAR - BCP - PTTEP ยังเป็นหุ้นที่ NVDR ทยอยสะสมสุทธิด้วยเช่นกัน 67 ล้านบาท - 38 ล้านบาท และ 36 ล้านบาท ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการขายทำกำไรใน TOP โดดเด่นถึง 142 ล้านบาท ก็ตาม
     และ SCC นั้น NVDR ยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 98 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลงจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 183 ล้านบาท ก็ตาม เมื่อราคาหุ้นปรับฐานลงมาสู่บริเวณ 320-323 บาท ด้วยบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง แนวโน้มระยะกลางถึงยาวยังคงเป็นบวก