พฤหัสฯ 7 ต.ค.--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
        Fund Flow ที่ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง อาจมีผลทำให้ SET Index ปรับขึ้นไปได้ในระยะสั้น แต่ระดับความเสี่ยงในการลงทุนก็จะสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน Current PER ของตลาดฯ อยู่ที่ 15.30 เท่า ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองต้องจับตาใกล้ชิดขึ้น แนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน โดยการทยอยลดนำหนักการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ 15% โดยใช้โอกาสที่ Fund Flow เข้ามาขับเคลื่อนตลาด เชื่อว่าแนวรับที่มีความเหมาะสมจะอยู่ที่ PER ประมาณ 14 เท่า หรือ 932-934 จุด
        คาดการณ์ SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้
SET Index             979.00           
เปลี่ยนแปลง (จุด)          9.72           
มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท) 38,154.43           
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)         
นักลงทุนต่างชาติ        2,738.00           
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์        432.55           
นักลงทุนสถาบันในประเทศ     6.26           
นักลงทุนรายย่อย       -3,176.81           
* Fund Flow ซื้อหุ้นเอเซียต่อ แต่น่าจะเป็นช่วงปลายทางแล้ว ... ระวังแรงขายทำกำไร
        Fund Flow ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นเอเซียต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg พบว่าวานนี้ยังมียอดซื้อสุทธิใน 6 ตลาดหุ้นหลักในอาเซียนทุกตลาดยอดรวม 1,126.4 ล้านเหรียญฯ ส่งผลให้ค่าเงินของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแข็งค่าขึ้น สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอีก 2.74 พันล้านบาท ทำให้ยอด Net Buy สะสมจาก 23 ก.ค.2553 ถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.44 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดซื้อสุทธิในรอบที่ผ่านมา (17 ก.พ. - 7 เม.ย.2553) และที่สำคัญพบว่าค่าเงินบาทวานนี้แข็งค่ามาอยู่ที่ 29.89 บาท/เหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยเชื่อว่าสถานะการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ น่าจะเดินทางมาถึงช่วงปลายทางแล้ว ทั้งนี้ประเมินจากหลายๆ ปัจจัยเริ่มจาก การแสดงท่าทีของหลายประเทศในเอเซีย ในการที่จะเข้ามาแทรกแซงค่าเงินเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่น ซึ่งมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาสู่ระดับต่ำสุด หลังจากในช่วงที่ผ่านมาได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าแทรกแซงค่าเงินเยน  ในส่วนของประเทศไทยพบว่าได้มีการเตรียมเสนอมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเงินบาทแข็งค่า ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยประเด็นที่กล่าวถึงมากขึ้นได้แก่ทางเลือกในการที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือรูปแบบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่มีการแกว่งตัวผันผวนในกรอบที่กว้างมากขึ้น สะทัอนถึงระดับความไม่มั่นใจของนักลงทุนที่มีมากขึ้น และพร้อมที่จะขายทำกำไร ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสที่ SET Index ปรับขึ้นจาก Fund Flow ที่ยังอาจมีความต่อเนื่อง ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นลงมาอยู่ที่สัดส่วน 15% ของพอร์ตการลงทุน โดยหุ้นที่เก็บไว้ควรเป็นหุ้นที่ให้ Dividend Yield สูงกว่า 5%
* เข้าสู่เดือนแห่งความร้อนแรงทางการเมือง อีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดฯ
        เดือน ต.ค.2553 ถือได้ว่าเป็นเดือนแห่งความร้อนแรงทางการเมือง โดยมีหลายเหตุปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเหตุระเบิดในสถานที่ชุมชนต่างๆ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อภาพพจน์ของประเทศ และ Sentiment การลงทุน นอกจากนี้ยังต้องติดตามการชุมนุมทางการเมืองที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นหลายครั้งจากทั้งฝ่าย พันธมิตร และ นปช. โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ซึ่งจะมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เนื่องจากเป็นวันครบรอบการใช้กำลังสลายม๊อบ หลังจากนั้นจะเป็นการชุมนุมของ นปช. ในวันที่ 10 ต.ค.2553 และประเด็นที่สำคัญที่สุดได้แก่เรื่องของการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตามกำหนดการ จะมีการสืบพยานฝ่ายผู้ถูกร้องนัดสุดท้ายในวันที่ 18 ต.ค.2553 หลังจากนั้นก็จะมีคำตัดสินออกมา ซึ่งสิ่งที่น่าจับตาในช่วงนี้ได้แก่เรื่องการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อรองรับการสลับขั้วทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นหากศาลฯ มีคำสั่งยุบพรรคฯ สถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าว อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นได้เร็วขึ้น
* น้ำมันดิบโลกฟื้นตัว ชดเชยดอลลาร์ที่อ่อนค่า ขณะที่ความต้องการใช้ยังชะลอตัว แนะนำขายทำกำไร 
        วานนี้สำนักงานสารสนเทศทางด้านการพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) รายงานสต๊อกน้ำมันสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นถึง  3.09 ล้านบาร์เรล สู่ 361 ล้านบาร์เรล  มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3 แสนบาร์เรล สวนทางกับสต็อกน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันกลั่น) ที่ลดลง 1.12 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะลดลงราว 9 แสนบาร์เรล โดยเป็นการลดลงของสต็อกน้ำมันเบนซิน 2.65 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันสำเร็จรูปประเภทอื่นๆ เช่น น้ำมันดีเซล และน้ำมันเครื่องบิน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยการเพิ่มขึ้นของปริมาณสำรองน้ำมันสหรัฐฯ ดังกล่าว ตอกย้ำความเชื่อของฝ่ายวิจัยว่า ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นในรอบนี้ เกิดจากผลของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า มากกว่าการฟื้นตัวของความต้องการใช้น้ำมันอย่างแท้จริง เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในฝั่งตะวันตก (สหรัฐฯ และยุโรป) ยังเป็นไปอย่างล่าช้า ดังนั้นฝ่ายวิจัยยังเชื่อมั่นว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวรอบนี้ จะไม่ผ่านแนวต้าน 83-84 เหรียญฯต่อบาร์เรล  และใกล้ปรับฐานระยะสั้นใน 1-2 วันนับจากนี้ จึงยังคงแนะนำให้ปรับพอร์ตขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มปิโตรเลี่ยม โดยเฉพาะ BANPU (FV@B755 ยังไม่รวมมูลค่าจากผลบวกของการซื้อ Centenial) ที่ราคาปรับตัวขึ้นใกล้เต็มมูลค่าปี 2554 ไปแล้ว แนะนำขายทำกำไร เชื่อว่าวันนี้ราคาจะติดแนวต้านที่ 750 บาท และหุ้น PTTEP(FV@B185) ขายทำกำไรที่กรอบ 170-175 บาท และหุ้นโรงกลั่น TOP(FV@B66) คาดว่าจะติดแนวต้านที่ 58 บาท