จันทร์ 4 ต.ค.--Market Outlook :
ที่มา : มจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

SET Index             978.58
เปลี่ยนแปลง (จุด)        +26.68
เปลี่ยนแปลง (%)           +2.8
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย      39,807
ต่อวัน (ล้านบาท)  
กลยุทธ์ลงทุนรายสัปดาห์                   วันที่ 4 - 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553      
ถือเงินสดเพิ่ม ควรขายเมื่อมีความเชื่อมั่น 

        ดัชนีรอบนี้อาจ Peak 999 จุด โดยแรงหนุนของ Fund Flow แต่เป็นโอกาสลดพอร์ต แนะนำขายหุ้นหลักทรัพย์ (KGI, KEST) อสังหา (ITD, CK, STEC, LH, QH, PS) &สื่อสาร (TRUE, SAMTEL, SIM) โดยให้ถือหุ้นส่วนน้อย 10-15% ของพอร์ต เช่น ธ.พ. (BBL, TCAP) โรงกลั่น (PTTAR) & BTS 
* ขาดปัจจัยบวกใหม่ ขณะที่การเมือง และค่าเงินมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ 
        เชื่อว่าตลาดหุ้นได้ตอบรับด้านบวกต่อประเด็นการเมืองที่นิ่งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างมากใน 1H53 หนุนให้เงินบาทแข็งค่ากว่า 13%ytd นับจากนี้เชื่อว่าประเด็นบวกดังกล่าว อาจจะเริ่ม U-Turn เพราะ 1) การเมืองมีความเสี่ยงต่อตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินสนับสนุนพรรคฯ 29 ล้านบาท คาดว่าจะมีข้อสรุปในปลาย ต.ค. - ต้น พ.ย. นี้ โดยคาดศาลรัฐธรรมนูญ จะสอบพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง (พรรคประชาธิปัตย์) ปากสุดท้ายเสร็จสิ้นราว 18 ต.ค. นี้ หลังจากได้สืบพยานปากแรกแล้ว (ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาประธาน กกต. และในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีพรรคการเมืองกระทำความผิด พ.ร.บ. พรรคการเมือง) และ 2) ค่าเงินบาทมีโอกาสหยุดแข็งและทรงตัว สอดคล้องกับค่าเงินของภูมิภาค เป็นการสะท้อน GDP Growth งวด 2H53 จะชะลอตัวจากงวด 1H53 ขณะที่เชื่อว่าตลาดได้ซึมซับเศรษฐกิจโลกที่เลวร้ายไปแล้วระดับหนึ่ง สะท้อนจากราคาโภคภัณฑ์ฟื้นต่อเนื่องกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
* ธปท. เตรียมขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สะท้อนความกังวลต่อเงินเฟ้อ 
        เงินเฟ้อของไทยล่าสุดเดือน ก.ย. 2553 อยู่ที่ 3% ลดลงเล็กน้อยจากเดือน ส.ค. ที่อยู่ 3.3% แต่พบว่าผลตอบแทนสุทธิ (ดอกเบี้ยนโยบาย หักด้วยเงินเฟ้อ) ยังคงติดลบ 1.75% (ในอดีตผลตอบแทนสุทธิของไทยเคยติดลบมากสุด 5% ในช่วง มิ.ย.- ก.ค. 2551) และการที่ ธปท. ให้ความสำคัญกับการควบคุมราคาสินค้า มากกว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่า จึงทำให้ ธปท. มีแผนจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% มาอยู่ที่ 2%  ในการประชุม กนง. รอบถัดไปคือ 20 ต.ค. นี้ ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยฯ จะกดดันตลาดหุ้นในระยะสั้น ๆ โดยจะเกิดขึ้นล่วงหน้าราว 1-2 สัปดาห์ ก่อนการประกาศขึ้นดอกเบี้ย เหมือนกับที่เกิดขึ้นทุกครั้งในช่วงที่ที่ผ่านมา จึงแนะนำให้ขายทำกำไรหุ้นที่ได้รับผลกระทบด้านลบต่อจิตวิทยาการลงทุน เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์  และรถยนต์ เป็นต้น ยกเว้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและจูงใจให้มีการซื้อขายสั้น ๆ ได้คือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน ซึ่งมีรายได้หลักพึ่งพาจากดอกเบี้ยรับ เป็นหลักเช่น  ธ.พ. และประกันภัย เป็นต้น
* ควรขาย ตลาดรับรู้ข่าวดี ต่อหุ้นหลักทรัพย์ ทั้ง Volume + Cap Gain
        งวด 3Q53 คาดกำไรกลุ่มหลักทรัพย์ จะเติบโตสูงสุดนับจากการประกาศใช้ค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันได โดยได้รับแรงหนุนจาก 1) ธุรกิจนายหน้าที่ดีขึ้นมากจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย (ไม่รวม Prop trade) สูงถึง 3.21 หมื่นล้านบาท เติบโต 56.9%QoQ หรือ 67.5%YoY ขณะที่คาดหมายว่าอัตราค่าคอมสุทธิ (ไม่รวม Prop Trade) ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนคือ 0.18% 2) กำไรจากพอร์ตลงทุนของทุกบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลัง SET สิ้น 3Q53 ปรับตัวขึ้นแตะ 980 จุด ให้ผลตอบแทนราว 22% จากไตรมาสก่อน เทียบกับงวด 2Q53 ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1.18% อย่างไรก็ตามในช่วงทีผ่านมาถือว่าราคาหุ้นในกลุ่มหลักทรัพย์ได้ตอบรับข่าวดีดังกล่าวไปมากแล้ว สังเกตจาก SETFIN ให้ผลตอบแทนสูงถึง 29% มากกว่าผลตอบแทนตลาดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน และหากพิจารณาหุ้นรายตัวพบว่าราคาหุ้นได้ขึ้นมาแตะ Fair Value ปี 2554 แล้วเช่น KEST, KGI ในสถานการณ์ที่ตลาดมีความเชื่อมั่นควรเป็นจังหวะการขายหุ้น
* หุ้น Global Plays ที่ควรมีในพอร์ตคือ หุ้นโรงกลั่น + อะโรเมติก 
        ขอย้ำอีกครั้งว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้สะสมหุ้น Global Plays มาต่อเนื่องหลายสัปดาห์แล้ว เนื่องจากเชื่อว่าตลาดได้สะท้อนความเลวร้ายจากวิกฤติการเงินโลก เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในหลายธุรกิจฟื้นตัวต่อเนื่องมานานกว่า 4-5 เดือนได้แก่ ราคาน้ำมันดูไบ ราคาปิโตรเคมีในสายอะโรเมติก และ ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ซึ่งทำให้คาดหมายว่าผลประกอบการของหุ้นโรงกลั่น และปิโตรเคมีในสายอะโรเมติก (PTTAR, TOP) จะฟื้นตัวในงวด 3Q53 และต่อเนื่องในงวด 4Q53 หลังจากประสบภาวะตกต่ำในงวด 2Q53 ดังนั้นแม้ว่าตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับฐานในระยะ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า หุ้นที่น่าจะเก็บสะสมไว้ในพอร์ตน่าจะเป็น 1 ใน 2 บริษัทดังกล่าว 
วิเคราะห์เทคนิค  ประเด็นการวิเคราะห์
* แข็งสุดยอดสำหรับ SET แม้จะพักรบชั่วคราว แต่ก็ไม่ลงต่ำกว่า 972 จุด 
        * ถัดจาก 970 จุด ก็มาเป็น 977 จุด แต่ด้วยทรงขาขึ้นที่ยังแข็ง ก็คาดว่าราคาไม่น่าที่จะอยู่ต่ำกว่า 977 จุดได้นาน และมีความเป็นไปได้พอสมควรที่ราคาจะดีดขึ้นมายังเป้าถัดไปที่ 984 จุด
        * คงไม่มีประโยชน์ที่จะไปหาว่าดัชนีจะลงเมื่อไหร่ สิ่งที่ควรต้องทำก็คือระมัดระวังไว้ให้มากในยามที่ดัชนีแหวกด่านสำคัญขึ้นมาได้ซึ่งไม่ว่าจะเป็น 984 หรือด่านสุดท้ายที่ 999 จุด
สรุป :   งานนี้คาดวิ่งปาด 984 จุด และอาจเลยถึง 999 จุด   
PTT  ประเด็นการวิเคราะห์
        * กลับมาอีกครั้งกับ PTT ราคาเริ่มมายืนเหนือ 295 บาทได้แล้ว 
        * พักตัวไปนานเกือบเดือน หลังจากที่ราคาขึ้นมาชน 306 บาทราคาก็ปรับลดลงเรื่อยจนมาทำ Low ที่ 275 บาท แต่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาเริ่มฟื้นตัวและวิ่งย้อนกลับมาที่ 295 บาทอีกครั้ง แสดงสัญญาณการ Retrace ออกมาได้ค่อนข้างดี คาดว่าราคาจะเดินหน้ากลับมาทดสอบ High เดิมที่ 306 บาท และน่าจะยิงยาวถึง 313 บาท
        * ซื้อ
TOP  ประเด็นการวิเคราะห์
        * หลังจากรอมานาน TOP ก็กลับมาอีกครั้ง ล่าสุดก็ขึ้นมาถึง 53.75 บาท เลยเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.53  ที่ระดับ 53 บาทเรียบร้อย
        * คาดว่าราคาอาจมีย่อตัวเล็กๆ หลังจากขึ้นมา 3 วันติดแต่ไม่น่าต่ำกว่า 53 บาท ก่อนที่จะวิ่งมาที่เป้าหมายถัดไปที่ 55.5 บาท
        * ซื้อ
        --ประกิต สิริวัฒนเกตุ
        --prakit@asiaplus.co.th