ศุกร์ 15 ต.ค.--หยิบเงินหยิบทอง :
ที่มา : บล.กิมเอ็ง

กลยุทธ์วันนี้  1000, can be?
     ประเด็นสำคัญวันนี้ แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนวานนี้จะเป็นบวก DJIA Futures - NYMEX ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง SET INDEX ขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1000 จุดอยู่หลายครั้ง แต่ทำได้สูงสุดเพียง 999.51 จุดเท่านั้น ก่อนที่ย่อยตัวลงมาปิดที่ 993.72 จุด เพิ่มขึ้น 1.12 จุด พร้อมกับกระแสเงินทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาด โดยตลาดหุ้นซื้อสุทธิเพียงกลุ่มเดียว และมากถึง 4,034 ล้านบาท
     วันนี้เชื่อว่าจะยังมีโอกาสเห็น SET INDEX ทดสอบ 1,000 จุด ถึงแม้ว่าจะเป็นวันศุกร์ แรงขายทำกำไรเข้ามาเป็นระยะๆ แต่ด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบการเงินโลก ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีทางเลือกที่จำกัดในการระบายสภาพคล่อง วันนี้เชื่อว่ากลุ่ม Domestic Play น่าจะนำตลาด ขณะที่กลุ่มพลังงานพักฐาน จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง พร้อมติดตามคำปราศรัยของประธานเฟดคืนนี้ ต่อประเด็น QE รอบที่ 2
     สำหรับทิศทางสัปดาห์หน้า คาดว่า SET INDEX จะมีโอกาสยืนเหนือ 1,000 จุดได้ แต่ก็มาพร้อมกับความผันผวนที่กว้างมากขึ้น เพราะน่าจะเกิดแรงขายทำกำไรในกลุ่มธนาคาร เพื่อสะท้อนงบ 3Q53 บวกกับทิศทางนโยบายการเงินของกนง.ในวันที่ 20 ต.ค.นี้ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอยู่ที่ GDP ใน 3Q53 ของจีน น่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลกสัปดาห์หน้า
     กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ "ทยอยขายทำกำไรราว 5-10% ของพอร์ตการลงทุน เป็นวันที่ 2" และแนะนำ "สะสม" AP / AIT และ "ขายทำกำไร" SMT/ TVO
     การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน "ปิดสถานะ Long ใน S50Z10 บริเวณ 700 จุด +/-" และถือเงินสด  Stop Loss: S50Z10 < 685 จุด ปิด Long และ Wait&See
Portfolio       Profit-taking 5-10% : CPF/ MINT/  MAJOR/ BBL/ KTB/ BAY/ SCB/ BANPU / PTTEP / BCP/ CPALL/ TTA/ THCOM/ BLAND/ DELTA / KCE/ SMT/ AMATA/ RCL/ DTAC/ SCC/ THAI/ AP/ SPALI/ BEC
BUY:            AP / AIT
Profit-Taking:  SMT/ TVO
Technical View  แนวรับ 970-985 จุด, 965 จุด และ 950 จุด ส่วนแนวต้าน 999-1010 จุด และ 1,080 จุด แนะนำให้ถือครองตามแนวโน้ม
Strategy Today
SET INDEX วานนี้ทำได้ดีที่สุดที่ 999.51 จุดเท่านั้น แต่มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นทีเดียว
     ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังไม่สามารถทดสอบ 1,000 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญด้านจิตวิทยาการลงทุน โดยมีแรงขายทำกำไรเข้ามาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะหุ้นหลักอย่าง KBANK / BBL / SCC ขณะที่กลุ่มพลังงานสามารถประคอง SET INDEX วานนี้ให้ปิดบวกได้ แม้จะเพียง 1.12 จุดหรือ 0.12% ปิดที่ 993.72 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น 47,400 ล้านบาท นี้
     กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ กลุ่มเหมืองแร่ +3.97%, กลุ่มยานยนต์ +2.13% และกลุ่มขนส่ง +1.34% ส่วนกลุ่มหลักอย่างกลุ่มพลังงาน +0.92% กลุ่มธนาคาร -0.05% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +0.25%
วันนี้น่าจะมีโอกาสได้เห็น 1,000 จุด แม้ว่าจะเป็นวันศุกร์ก็ตาม ทั้งนี้ติดตามคำปราศรัยของประธานเฟดคืนนี้ อาจมีรายละเอียดของ QE รอบ 2
     แม้ว่าวานนี้ SET INDEX จะไม่สามารถขยับขึ้นทดสอบ 1,000 จุดได้ก็ตาม แต่เชื่อว่าวันนี้กับอีกราว 6 จุด น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากเช่นกัน ด้วยปัจจัยสนับสนุนดังนี้
     1. ตลาดตัดสินไปแล้วว่าจะมี QE รอบ 2: เพราะ ณ ปัจจุบันตลาดแทบจะตัดสินใจไปแล้วว่าการประชุมเฟดในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ เฟดจะตัดสินออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินรอบที่ 2 (Quantitative Easing: QE#2) ทั้ง BNP และ Goldman Sachs ประเมินไว้ที่ US$5 แสนล้าน ทำให้ ตลอดทั้งสัปดาห์ตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาน้ำมันขยับขึ้น เพื่อเก็งกำไรประเด็นนี้ แรงขายเริ่มจำกัดมากขึ้น ทั้งนี้ติดตามคำปราศรัยของประธานเฟด Bernanke คืนนี้ เพราะน่าจะมีความเห็นเกี่ยวกับมาตรการ QE รอบที่ 2
     2. เงินทุนลดการถือครองดอลลาร์ เพื่อป้องกันความเสี่ยง: เมื่อมาตรการ QE#2 จะถูกนำออกมาใช้ในต้นเดือนหน้า สิ่งที่ตามมาคือ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากราคาทองคำในตลาดโลกสร้างสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า NYMEX ขยับขึ้น เพื่อชดเชยกับค่าเงินเช่นกัน แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังไม่ชัดเจนก็ตาม
     3. ช่องทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมีจำกัด: การกลับไปถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงของค่าเงินดอลลาร์ได้ เหลือเพียงตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันและทองคำ ซึ่งตลาดหุ้นนั้นหากมองลงไปในแผนที่โลก เศรษฐกิจเอเชียเป็นบริเวณที่เติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ แม้ว่าอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงจาก 1H53 ก็ตาม แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีหากเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ และยุโรป จึงไม่น่าแปลกที่ตลาดหุ้นในเอเชียจะขยับขึ้นอย่างโดดเด่น พร้อมกับค่าเงินที่แข็งค่า
     4. เก็งกำไรงบ 3Q53 อาจเป็นอีกเหตุผลที่สนับสนุน: ต้นสัปดาห์หน้ากลุ่มธนาคารจะเริ่มทยอยประกาศไปจนถึงวันที่ 21 ต.ค. ตามมาด้วยกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคารมากขึ้น ซึ่งงบ 3Q53 โดยรวมยังเห็นการเติบโต qoq โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธนาคาร และกลุ่มพลังงาน มีเพียงกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มที่อยู่อาศัยจะปรับฐานลงจาก 2Q53 ประเด็นเหล่านี้น่าจะทำให้มีนักลงทุนบางส่วนเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้น
สัปดาห์หน้า SET INDEX น่าจะยังไปได้ต่อ แต่ความผันผวนสูงก็จะตามมาเช่นกัน
     สำหรับทิศทางสัปดาห์หน้า คาดว่า SET INDEX จะยังสามารถขยับขึ้นและยืนเหนือ 1,000 จุดได้ เพียงแต่มีความผันผวนมากขึ้น ทั้งนี้ประเด็นสำคัญในสัปดาห์หน้าได้แก่
        1. การประกาศงบการเงิน 3Q53 ของกลุ่มธนาคาร: ตั้งแต่วันที่ 18 - 21 ต.ค. ซึ่งน่าจะเกิดแรงขายทำกำไรสำหรับหุ้นที่รายงานงบการเงินออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ได้เช่นกัน
        2. การประชุมกนง.นัดแรกของดร.ประสาร: วันที่ 20 ต.ค. ณ ปัจจุบันตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ย RP1 วันจะทรงตัวที่ 1.75% แต่ล่าสุดดร.วีรพงษ์ เสนอให้กนง.พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยลง 75bps เพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่า หากเป็นไปตามคำแนะนำดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบให้เกิดเงินทุนไหลออก โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ค่าเงินบาทอ่อนค่า และเป็นบวกต่อภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ
        3. การให้สอบพยานปากสุดท้ายกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์: วันจันทร์ที่ 18 ต.ค.นี้ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์จะเดินทางไปให้ปากคำด้วยตนเอง ก่อนที่ศาลฯ จะใช้เวลาอีก 15-45 วันในการพิจารณาคดี
        4. และตัวเลข GDP ใน 3Q53 ของจีน: ประกาศวันที่ 21 ต.ค. ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 9.5% yoy จากไตรมาสก่อนหน้า +10.3% yoy
     แม้ว่า KimEng เชื่อว่า SET INDEX รอบนี้จะสามารถทะลุ 1,000 จุดได้ ด้วยสภาพคล่องทางการเงินต่างประเทศเป็นตัวผลักดันสำคัญ แต่ความผันผวนของ SET INDEX จะกว้างมากขึ้นด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินดอลลาร์และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนเป็นสำคัญ
     ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน KimEng เสนอให้นักลงทุน "ทยอยขายทำกำไรหุ้นในพอร์ตราว 5-10% และถือเงินสด" เป็นวันที่ 2  พร้อมกับเตรียมรอขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารหลังประกาศงบ 3Q53 พร้อมสลับพอร์ตการลงทุนเข้าหุ้นกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคารมากขึ้น เพื่อเก็งกำไรต่องบ 3Q53 แทน
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ ทยอยสะสม หุ้นดังต่อไปนี้
     1. AIT: ราคาปิด 41.75 บาท ราคาเหมาะสม 52.00 บาท
        a. แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสสามจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีเท่ากับ 80 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.20 บาท) โต 33% จากปีก่อน แม้ว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน 40%  โดยเราประเมินไตรมาสสามจะมีการรับรู้รายได้จากการส่งมอบงานวางระบบคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่เติบโตจากปีก่อนถึง 39%
        b. งานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสสองที่สูงถึง 2,257 ล้านบาท  และ ในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 3,200-3,300 ล้านบาท  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการภาครัฐ คือ บมจ. กสท โทรคมนาคม และ บมจ. ทีโอที
        c. ลูกค้าหลักของ AIT เป็นภาครัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะ ทีโอที. และ กสท. ยังมีโครงการต่างๆ เช่น โครงข่าย 3G ของ ทีโอที งบลงทุน 1.9 หมื่นล้านบาท จะมีงานด้าน IP Network ซึ่งจะเกี่ยวกับ AIT ประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี โครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ กระทรวงไอซีที ได้มอบหมายให้ ทีโอที และ กสท. ดำเนินการเพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ต  โครงการอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงผ่านโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก (FTTx)
     2. AP: ราคาปิด 7.15 บาท เทียบกับราคาเหมาะสม 9.00 บาท
        a. KimEng คาดการประชุมกนง.วันที่ 20 ต.ค.นี้ เชื่อว่าจะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันไว้ที่ 1.75% แต่ ณ ปัจจุบันเริ่มมีแนวความคิดที่จะให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อลดแรงกดดันของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าได้ค่อนข้างดี 
        b. แม้ว่าผลการดำเนินงานใน 3Q53 ของ AP จะอ่อนตัวลง qoq เช่นเดียวกับหุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ แต่การเปิดโครงการใหม่ใน 2H/10 จำนวน 14 โครงการมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาทคาดจะสามารถช่วยต่อยอดความแข็งแกร่งของ Backlog ในอนาคต
        c. คาดว่าในปีนี้ AP จะมีรายได้เท่ากับ 15,010 ล้านบาทเติบโต 32.5% yoy (รายได้ใน 1H/53 เป็นสัดส่วน 52%) ขณะที่กำไรสุทธิคาดเท่ากับ 2,273 ล้านบาทเติบโต 32.5% (สัดส่วนกำไรสุทธิของ 1H/10 คิดเป็น 61% เนื่องจากมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย Q-CON)  ขณะที่ในปี 2554 คาดรายได้จะเติบโต 12.6% yoy และกำไรสุทธิลดลง 1.9% yoy
และ แนะนำ "ขายทำกำไร" เมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย
     SMT: หากราคาขยับขึ้นทะลุแนว 12.50 บาท แนะนำให้เริ่มทยอยขายเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ KimEng แนะนำ"ซื้อ" ณ วันที่ 12 ต.ค. ราคาปิดวันก่อนหน้า 11.80 บาท แม้ว่ามุมมองต่อแนวโน้มผลการดำเนินงาน และความสามารถในการป้องกันความเสี่ยงของค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะสูงที่สุดในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ด้วยกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้า อาจทำให้หุ้นขนาดกลางได้รับประโยชน์จำกัด
     TVO: หากราคาขยับขึ้นทะลุแนว 26 บาท เริ่มทยอยขายทำกำไร หลังจากที่ KimEng แนะนำให้ ซื้อ วันที่ 4 ต.ค. ราคาปิดก่อนหน้า 24.50 บาท บวกกับราคาเหมาะสมที่ KELIVE ประเมินไว้เพียง 23 บาท แม้ว่าจะยังมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานและทิศทางราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกก็ตาม
What will DJIA move tonight? 
     คืนนี้มีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ
        1. อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย.: ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2% yoy จากเดือนก่อนหน้า +1.1% yoy
        2. ดัชนี Empire Manufacturing เดือนต.ค.: ตลาดคาดไว้ที่ 7 จุด เทียบกับเดือนก่อนหน้า 4.1 จุด
        3. ดัชนี Consumer Sentiment เดือนต.ค.; ตลาดคาดว่าจะขยับขึ้นเป็น 69.2 จุด จาก 68.2 จุดเดือนก่อน
        4. ยอดสต็อกสินเค้าธุรกิจเดือนส.ค.: ตลาดคาดว่า +0.5% mom จากเดือนก่อนหน้า +1.0% mom
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets เม็ดเงินทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ
     กระแสเงินทุนต่างชาติของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียไม่รวม SET วานนี้พบว่า นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง US$715 ล้าน จาก 2 วันก่อนหน้าขายสุทธิ US$644 ล้าน หลังค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมาก ด้วยแรงกดดันจากมาตรการ QE รอบที่ 2 ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่เฟดจะหยิบมาใช้ในเร็วๆ นี้ ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาสะสมตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้ง และเป็นการซื้อสุทธิทั้ง 5 ตลาด
     นักลงทุนต่างชาติกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน TAIEX มากถึง US$403 ล้าน จาก 2 วันก่อนหน้าขายสุทธิ US$364 ล้าน ตามมาด้วย PSE ซื้อสุทธิมากถึง US$148 ล้าน และ KOSPI ซื้อสุทธิ US$134 ล้าน จาก 2 วันก่อนหน้าขายสุทธิ US$287 ล้าน 
ธุรกรรม Short-Selling วานนี้ ธุรกรรม Short-selling เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 และเน้นหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นหลักของตลาดหุ้นไทยแทบทั้งสิ้น
     Stock            Total Value   % of trading     Avg.Price
                        (mn Bt)        Volume           (Bt)
PTT                      60.61          1.94%          310.00
PTTAR                    29.59          0.82%           29.64
SCC                      28.40          2.18%          324.51
KBANK                    25.58          3.67%          119.80
SCB                      16.15          1.28%          107.65
     การทำธุรกรรม Short-selling วานนี้เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 เป็น 227 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 203 ล้านบาท เมื่อ SET INDEX ขยับขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,000 จุดไม่ได้ แม้จะมีความพยายามระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอยู่หลายครั้งก็ตาม ทำให้นักลงทุนเริ่มมอง Downside Risk ช่วงสั้นๆ ของตลาดหุ้นไทย ด้วยการลงทุนผ่าน Short-selling
     หุ้นที่กลับมาเป็นเป้าหมายหลักของการ Short-selling คือกลุ่มพลังงานที่ราคาหุ้นขยับขึ้นโดดเด่น อย่าง PTT / PTTAR นอกจากนี้ SCC เป็นอีกหุ้นที่ราคาหุ้นปรับฐานลงสวนทางกับภาพตลาดโดยรวม โดยปัจจัยพื้นฐานของ SCC ไม่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นจุดทีน่าสนใจทีเดียว
     ด้านหุ้นกลุ่มธนาคาร KBANK/ SCB เป็นเป้าหมายของการ Short-selling ในลำดับต้นๆ ด้วยเช่นกัน กดดัน Upside Gain ของหุ้นทั้ง 2 อยู่ไม่น้อย
นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิทั้ง 3 ตลาดพร้อมกันอีกครั้ง
     กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่อย่างหนาแน่น เพราะด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบอย่างมหาศาล บวกกับแนวโน้มที่เฟดจะเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบอีกครั้ง ยิ่งกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่ามากยิ่งขึ้น แม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาตรการด้านภาษีออกมาใช้ในตลาดตราสารหนี้แล้วก็ตาม แต่นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง 868 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 1,138 ล้านบาท
     ด้านตลาดหุ้นนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7 และมากถึง 4,034 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 573 ล้านบาท และเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิวานนี้ สำหรับตลาด Futures ยังคง Long สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 768 สัญญา มูลค่าซื้อสุทธิ 1,030 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยต่อสัญญา 1.34 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นการ Long ใน Gold Futures ขนาด 50 บาท หลังราคาทองคำขยับขึ้นอย่างโดดเด่น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายวานนี้
และ NVDR ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 โดยกลับมาให้น้ำหนักกับกลุ่มพลังงานเกือบครึ่งของมูลค่าซื้อสุทธิ วานนี้
     การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7 และเพิ่มขึ้นเป็น 2,985 ล้านบาทจากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 516 ล้านบาท รวมซื้อสุทธิทั้ง 7 วันที่ผ่านมา 9,418 ล้านบาท โดย NVDR กลับมาสะสมหุ้นกลุ่ม Cyclical อีกครั้ง หลังวันก่อนหน้าลดการลงทุนไป สรุปภาพ NVDR ดังต่อไปนี้
     1. กลุ่มพลังงานกลับมาเป็นเป้าหมายของการสะสมหุ้นอีกครั้ง 1,236 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 128 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารซื้อสุทธิ 859 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 781 ล้านบาท กลุ่ม ICT ซื้อสุทธิ 579 ล้านบาท กลุ่มเกษตร ซื้อสุทธิ 141 ล้านบาท
     2. และกลุ่มวัสดุก่อสร้างยังคงเป็นเป้าหมายของการขายสุทธิต่อเนื่อง แต่ลดลงเหลือเพียง 52 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 223 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ขายสุทธิ 35 ล้านบาท
ซื้อสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ  % มูลค่าการซื้อขาย  ขายสุทธิสูงสุด   มูลค่าสุทธิ % มูลค่าการซื้อขาย
            (ล้านบาท)                                          (ล้านบาท)    
RATCH        527.88       35.01         ITD        -70.53      5.36
ADVANC       506.05       24.55         SCC        -49.43     37.62
BBL          487.57       37.93         TOP        -43.13      5.36
PTT          368.33        8.86         AOT        -34.73     12.42
PTTEP        260.83        9.11         LPN        -23.94     23.18
     หากพิจารณารายหุ้นที่ NVDR เข้าสะสมพบว่ามีความน่าสนใจคือ RATCH ซื้อสุทธิ 528 ล้านบาท และ ADVANC ซื้อสุทธิ 506 ล้านบาท หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของการซื้อสุทธิใน NVDR วานนี้ เป็นการพักเงินเข้าหุ้นกึ่ง Defensive อย่างเห็นได้ชัด สะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่อ Upside ของ SET INDEX อาจเริ่มจำกัดมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นอยู่ในระบบ และช่องทางการลงทุนที่จำกัด
     ขณะที่กลุ่มพลังงาน PTT - PTTEP กลับมาเป็นเป้าหมายหลักของการสะสมอย่างโดดเด่น ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง ซื้อสุทธิ 368 ล้านบาทใน PTT และ 261 ล้านบาทใน PTTEP ตามมาด้วย PTTAR และ BANPU ซื้อสุทธิ 77 ล้านบาท และ 34 ล้านบาท ตามลำดับ
     และ SCC นั้นเริ่มมีแรงขายหุ้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากวันก่อนหน้าขายสุทธิผ่าน NVDR มากถึง 236 ล้านบาท ลดลงมาเหลือเพียง 49 ล้านบาทเท่านั้น น่าจะทำให้แรงกดดันของราคาหุ้นเริ่มจำกัดมากขึ้น