จันทร์ 27 ก.ย.--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
     หุ้นปิโตรเลี่ยมกลับมานำตลาด ขณะที่เงินเอเซีย เริ่มทรงตัว หรือชะลอการแข็งค่า อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ จึงแนะนำให้ถือหุ้นเพียง 30% ของพอร์ตเช่นเดิม โดยให้มีการปรับพอร์ตผสมผสานหุ้น Domestic Plays (BLA, CK, ITD BTS, SPALI, TCAP, BBL) และ Global Plays BANPU, PTTCH, PTTAR
ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว แม้ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่ หนุนหุ้นปิโตรเลี่ยมเดินหน้าต่อ
     แม้ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรปยังมีอยู่ แต่พบว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า (Nymex) สามารถฟื้นตัวกลับมายืนเหนือ 76 เหรียญฯต่อบาร์เรลอีกครั้งหลังจากปรับฐานในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตรงกันข้ามกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่สามารถยืนเหนือ 75 เหรียญฯต่อบาร์เรล ได้ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ และทำให้ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบดูไบจากต้นปีจนปัจจุบันอยู่ที่ 75.83 เหรียญฯต่อบาร์เรล สอดคล้องสมมติฐานของ ASP ที่ 75 เหรียญฯ ในปีนี้ และ 80 เหรียญฯ ในปี 2554 ขณะเดียวกันพบว่าราคาถ่านหินในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงทรงตัว โดยหากพิจารณาจากดัชนี BJI เคลื่อนไหวในกรอบ 90-95 เหรียญฯต่อตัน ทั้งนี้ปัจจัยหนุนหลักน่าจะเป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับทุกสกุลหลักของโลก โดยเฉพาะกับประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งสกุลยูโร ปอนด์ และดอลลาร์ออสเตรเลีย ยกเว้นเงินเยนที่ทรงตัว เพราะธนาคารโลกเข้าทำการแทรกแซง (และเงินเอเซียที่ทรงตัวในลักษณะเดียวกับเงินเยน) นอกจากนี้เนื่องจากกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว เดือน ธ.ค. จนถึงต้นปีหน้าในซีกโลกตะวันตก ทำให้เชื่อว่าราคาปิโตรเลี่ยมจะฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือนข้างหน้า แม้ว่าการฟื้นตัวอาจะไม่ร้อนแรงเหมือนในช่วงภาวะปกติ  ซึ่งน่าจะหนุนให้ราคาหุ้นปิโตรเลี่ยม โดยเฉพาะ BANPU ฟื้นตัวต่อ  ขณะที่ PTTEP  และ PTT แม้จะได้รับแรงหนุนจากราคาปิโตรเลี่ยมดังกล่าว  แต่การที่แต่ละบริษัทมีปัญหาส่วนตัว เช่นกรณี  PTTEP ยังมีปัญหาการฟ้องร้องในกรณีของไฟไหม้ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันมอนทารา ประเทศออสเตรเลีย และ PTT ในฐานะที่ถือหุ้นใหญ่ใน PTTEP  65.54% การลงทุนจึงต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงนี้ประกอบด้วย 
เงินบาทเริ่มทรงตัว  จึงต้องจับตามอย่างใกล้ชิด เงินบาทมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ 
     ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่าค่าเงินเอเซียเริ่มแสดงสัญญานความขัดแย้งเกิดขึ้น กล่าวคือ มีบางประเทศเริ่มแสดงทิศทางทรงตัวถึงอ่อนตัวเล็กน้อย เช่นเงินหยวน เยน  รูเปียะ ของอินโดนีเซีย ริงกิต และ เปโซ  ยกเว้นเงินรูปีย์ ของอินเดียที่ยังแข็งค่าต่อเนื่อง และแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเซีย ทั้งนี้คาดว่าน่าจะเป็นผลจากเงินทุนไหลเข้าที่ยังมีความต่อเนื่องกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่หลายประเทศ ต่างชาติเริ่มชะลอตัวการซื้อ (เช่นไทย) หรือเริ่มขาย (เช่น ไต้หวัน) สำหรับเงินบาทพบว่าเริ่มหยุดแข็งค่าเช่นกัน หลังจากที่เงินบาทแข็งค่าสูงสุดติดลำดับต้น ๆ ของภูมิภาค ทั้งนี้การที่ค่าเงินเอเซียเริ่มหยุดแข็งค่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการแทรกแซงของธนาคารกลางในประเทศภูมิภาคนี้ ดังที่เห็นได้ชัดคือ ธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่น ขณะที่กับประเทศไทย คาดว่านอกจาก ธปท. แทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะแทรกแซงตลาดตราสารหนี้  เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าจากต้นปีจนปัจจุบัน อยู่ที่  1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 86% ของเงินทุนไหลเข้ารวม ตลาดเงินและตลาดทุน (นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 24 ก.ย. 2553 เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดการเงินไทยรวม 2.1 แสนล้านบาท) และสำหรับ เงินทุนที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ดังกล่าว พบว่าสัดส่วนราว 70% เป็นตราสารหนี้ที่มีอยู่ 1-3 ปี (48% เป็นตราสารหนี้อายุไม่เกิน 1 ปี  รองลงมาอายุ 1-3 ปี  สัดส่วน 23% อายุ 3-5 ปี สัดส่วน 10.5% อายุ 5-10 สัดส่วน 15% และอีก 4% อายุมากกว่า 10 ปี) ดังนั้นหาก  ธปท. ต้องการสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นในตลาดตราสารหนี้ น่าจะเกิดกับตราสารหนี้ที่มีอายุ 1-3 ปี มากที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงน่าจะหนุนให้ค่าเงินบาทนับจากนี้ จะเริ่มชะลอการแข็งค่าถึงหยุดแข็ง ดังที่กล่าวข้างต้น โดยมาตรการหนึ่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ คือ ธปท. อาจจะต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไปคือ 20 ต.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจหนุนทำให้หุ้นพัฒนาบ้านขาย กลับมาคึกคักอีกรอบ ปัจจัยค่าเงินอาจสะท้อนถึงโอกาสเงินทุนไหลออกมีมากขึ้น
ฤดูกาลทำ Preview Earnings งวด 3Q53 ของหุ้น ธ.พ. ส่วนใหญ่ดีขึ้นจากงวดก่อนหน้า

     ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ ASP ได้ทยอยทำประมาณการกำไรของหุ้น ธ.พ. ไปแล้ว 4 แห่ง พบว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มผลกำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากงวดก่อนหน้า  ได้รับแรงหนุนจากการขยายสินเชื่อตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เรียงลำดับการเติบโตจากมากไปน้อยคือ  SCB(FV@B120), BBL(FV@B185), TISCO(FV@B41) และ KTB(FV@B19) แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณากำไรสุทธิ ซึ่งได้รวมรายการพิเศษ พบว่ามี ธ.พ. บางแห่ง ผลกำไรสุทธิหดตัวจากงวดก่อนหน้า เพราะในงวด 2Q53 มีการรายงานกำไรจากรายการพิเศษไว้มาก เช่น TISCO งวดที่แล้วรับรู้รายได้จากค่าที่ปรึกษาในการขายหุ้น SCIB 140 ล้านบาท และกำไรจากการขาย NPA 100 ล้านบาท  ตามมาด้วย BBL (FV@B185) เพราะในงวดที่แล้วมีกำไรจากการขายหุ้น ACL กว่า 2 พันล้านบาท โดยสรุปคาดว่าผลกำไรจากการดำเนินงานในงวด 3Q53 ของ ธ.พ. น่าจะดีขึ้นจากสินเชื่อที่เติบโต และ NIM น่าจะดีขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น โดยหุ้น Top picks คือ TCAP, BBL
ยังมีการประท้วงโครงการในมาบตาพุด แต่คาดโรงแยกก๊าซฯ 6 จะออกใบอนุญาตได้ในสัปดาห์นี้
     ภายหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศของกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เรื่องการกำหนดกรอบของอุตสากรรมที่เข้าข่ายร้ายแรง 11 ประเภท (ลดลงจากเดิม 18 ประเภท) ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2553 ซึ่งกำหนดให้อุตสาหกรรมเหล่านี้จำเป็นจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และการทำรายงานผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2550 นั้น แต่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อการลดอุตสาหกรรมที่ร้ายแรงจาก 18 ประเภท เหลือ 11 ประเภท ได้ออกมาชุมนุมเพื่อประท้วงหน้านิคมฯ และเรียกร้องให้ภาครัฐฯ ออกมาตอบและแก้ไขในประเด็นดังกล่าว ซึ่งแม้จะเป็นเพียงความเสี่ยงเล็กๆ แต่ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อเนื่องว่าท้ายที่สุด จะบานปลาย และกลับมาเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานอีกหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามหุ้นในกลุ่มพลังงานยังมีปัจจัยบวกหนุน หลังจากหลังจากที่มีข่าวออกมาก่อนหน้าว่ากระทรวจอุตสาหกรรมจะชะลอการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่6 ล่าสุดรมว. กระทรวงพลังงาน ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้ติดต่อประสานงานไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เร่งออกใบอนุญาตฯ ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในสัปดาห์นี้ และสามารถเดินเครื่องได้ภายใน 1 เดือนนับจากนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อ PTT เนื่องจากโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 6 ที่จะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในงวด 4Q53 ตามที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ จะช่วยผลิต LPG ที่สามารถทดแทนการนำเข้าได้ราว 80,000 - 100,000 ตันต่อเดือน อีกทั้งยังเอื้อประโยชน์ต่อ PTTCH ที่คาดว่าโรงงานอีเทนแครกเกอร์ใหม่ 1 ล้านตัน จะสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ 100% หลังได้รับ Feedstock จากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ซึ่งจะทำให้ปริมาณการผลิตของ PTTCH เพิ่มขึ้นอีกราว 50%YoY จึงยังแนะนะซื้อ ทั้ง PTTCH(FV@B158.54)