จันทร์ 27 ก.ย.--Market Outlook :
ที่มา : มจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

SET Index           951.9
เปลี่ยนแปลง (จุด)     +28.33
เปลี่ยนแปลง (%)       +3.07
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย  34,299 ต่อวัน (ล้านบาท) 
ดัชนีเริ่มหนืด เลือกเป็นรายหุ้น 
     ดัชนีอาจไม่ถึง 999 จุด แต่ก็ใกล้เคียง อุปสรรคมากขึ้น เงินบาทเริ่มชะลอการแข็งค่า ธปท. น่าจะเข้ามาดูแลเงินทุนไหลเข้าตราสารหนี้ระยะสั้น และอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยฯ แนะปรับพอร์ตผสม Domestic (BLA, CK, ITD BTS, SPALI, TCAP, BBL, SCB) & Global Plays (BANPU, PTTCH, PTTAR) 
การเมือง เริ่มมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ 
     หลังจากผิดหวังต่อการเลื่อนออกใบอนุญาต 3G  ไปจนถึงต้นปี 2555 แล้ว ความสั่นคลอนทางการเมือง เริ่มกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ใน 2 ประเด็นคือ 1) คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และ 2) พรรคร่วมรัฐบาลขาดเอกภาพ เริ่มจากคดียุบพรรค เงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างสอบพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง (พรรคประชาธิปัตย์) หลังจากสอบพยานฝ่ายผู้ร้อง (อัยการ+กกต.) เสร็จแล้ว ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ยุบพรรคฯ และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคในชุดที่กระทำความผิด โดยไม่มีการยุบสภาฯ ก่อนหน้าที่ศาลฯ จะมีคำตัดสิน  จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยอาจเกิดการสลับขั้วทางการเมืองได้ และอีกประเด็นคือ พรรคร่วมขาดเอกภาพ เพราะนับตั้งแต่บริหารประเทศ ความขัดแย้งเกิดขึ้นหลายกรณี โดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นชอบตามข้อเสนอของพรรคร่วม เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วม รถเมล์ NGV 4,000 คันและการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นต้น
ความเสี่ยงของตลาดหุ้น คือ ความคาดหวังต่อเงินบาทแข็งค่าลดลง 
     สรุปว่านับจากต้นปีจนถึงวันที่  23 ก.ย. 2553 เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดการเงินไทยรวม 2.1 แสนล้านบาท แยกเป็นตลาดหุ้น 2.9 หมื่นลานบาท และตลาดตราสารหนี้ 1.78 แสนล้านบาท หรือตลาดตราสารหนี้คิดเป็น 85% ของเงินทุนไหลเข้ารวม 2 ตลาด ซึ่งใกล้เคียงกับดุลบัญชีเดินสะพัด ที่เกินดุลสูง กว่า 2 แสนล้านบาทในช่วงเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตามเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดการเงินกว่า 2 แสนล้านบาทดังกล่าว ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนับจากนี้ เพราะหากพิจารณาเงินทุนไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้เกือบ 1.8 แสนล้านบาทดังกล่าว พบว่าสัดส่วนราว 70% เป็นตราสารหนี้ที่มีอยู่ 1-3 ปี (48% เป็นตราสารหนี้อายุไม่เกิน 1 ปี รองลงมาอายุ 1-3 ปี  สัดส่วน 23% อายุ 3-5 ปี สัดส่วน 10.5% อายุ 5-10 สัดส่วน 15% และอีก 4% อายุมากกว่า 10 ปี) ดังนั้นเชื่อว่าหาก ธปท. ต้องการสกัดกั้นเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นในตลาดตราสารหนี้ น่าจะเกิดกับตราสารหนี้ที่มีอายุ 1-3 ปี มากที่สุด จึงทำให้เชื่อว่าค่าเงินบาทนับจากนี้ อาจเริ่มชะลอการแข็งค่าถึงหยุดแข็ง เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเซีย ที่ธนาคารกลาง เข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันการแข็งค่าเร็วเกินไป ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก ซึ่งน่าจะกดดันให้ ธปท. อาจจะต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม ครั้งถัดไปคือ 20 ต.ค. ที่จะถึงนี้  อาจทำให้พัฒนาบ้านขายกลับมาคึกคักอีกรอบ
หุ้น Global Plays เริ่มมาสดใสอีกครั้ง จากผลของฤดูกาล 
     ฝ่ายวิจัยได้แนะนำให้สะสมหุ้น Global Plays มาต่อเนื่องหลายสัปดาห์ เพราะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในหลายธุรกิจ และเชื่อว่าในงวด 2H53 ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มนี้ จะดีขึ้นจากงวด 1H53  สะท้อนจากราคาน้ำมันดูไบ ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 67.91 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในช่วงปลายเดือน พ.ค. มาแกว่งตัวในกรอบ 70-75 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา และ ยังสามารถยืนเหนือ 75 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปลาย ก.ย. และคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้  ขณะที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ ช่วง 3Q53 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วง 2Q53 แม้ในภาวะปกติช่วง 3Q53 จะเป็นช่วงตกต่ำตามฤดูกาล ทั้งนี้เพราะในงวด 2Q53 ของปีนี้ ค่าการกลั่นตกต่ำผิดปกติ เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินในยุโรปฯ และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ค่าการกลั่นน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวในหลายทวีปของโลก เช่นเดียวกับสินค้าในกลุ่มปิโตรเคมี พบว่าราคาเพิ่มขึ้นทุกสายผลิตภัณฑ์ ทั้งอะโรเมติกส์ (PTTAR, TOP) และโอเลฟินส์ (PTTCH) โดยฟื้นตัวต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 4 เพราะแม้ว่าความต้องการของโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัวก็ตาม แต่น้ำหนักของปริมาณผลผลิตรวมปิโตรเคมีในตลาดโลก ไม่ได้มากอย่างที่ตลาดกังวลกัน ทั้งนี้เพราะผลผลิตใหม่ ๆ ที่จะออกสู่ตลาดในช่วง 2H53 น้อยกว่าที่ตลาดคาด และกำลังการผลิตของผู้ประกอบการรายเดิม บางส่วนได้หายไปจากตลาด หลังจากที่ประสบปัญหาการเงินในช่วงที่ผ่านมา
ประเด็นการวิเคราะห์
     * ความเดิมจากบทวิเคราะห์รายไตรมาส Invest+ 4Q53 ซึ่งแสดงคู่กับกราฟด้านบน จะเห็นได้ว่าได้เริ่ม Forecast จากระดับดัชนีที่ 923 จุด หากดูกันที่แนวทางตามกราฟ จะเห็นได้ว่าหลังจาก 923 จุดไปซัก 1-2 สัปดาห์ ดัชนีจะต้องเผชิญแนวต้านสำคัญคือ 955 จุดอันเป็น คลื่น 3) และแม้จะมีการย่อตัวเพื่อทำ คลื่น 4) แต่สุดท้ายก็จะมีการดีดตัวจนขึ้นมาถึง 970 จุดในช่วงต้น ต.ค.2553 
     * จากแนวทางข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะได้เห็นดัชนีเริ่ม Drop ตัวลงหลังจากขึ้นไปแตะ 957 จุด เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2553 และตราบใดที่ดัชนียังอยู่เหนือบริเวณแนวรับสำคัญที่ 928 และ 914 จุด แนวทางที่วางไว้ว่าดัชนีจะขึ้นทำ New High ที่ 970 จุดก็ยังมีความโอกาสเป็นไปได้สูงอยู่
     * ช่วงสัปดาห์ 27 ก.ย. - 2 ต.ค. 2553 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะทดสอบดัชนีว่าจะสามารถทลายกรอบ 928-955 จุดได้หรือไม่  ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด ดัชนีสามารถ Break 955 จุดขึ้นมาได้ดัชนีก็จะมาถึงเป้าหมายได้ไม่ยากเย็นนัก อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุพลิกผันดัชนีร่วงต่ำกว่า 928 จุด งานนี้ก็จบข่าว และคงได้เวลาใช้เกียร์ต่ำเพื่อวิ่งลงเขากันยาวเหยียด
สรุป :
     สัปดาห์แห่งการทดสอบ เพราะฉะนั้นได้เวลาเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน     
PTTAR  ประเด็นการวิเคราะห์
     * ขอยกบทความที่ลงในรายบทวิเคราะห์รายไตรมาส Invest+ 4Q53 มาให้อ่านกันนะครับ
     * โดนกดมานานสำหรับ PTTAR แม้จะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้นของ ก.ย.2553 แต่ก็ไม่ได้เป็นการปรับเพิ่มขึ้นที่รุนแรงอะไร หากมองที่ภาพใหญ่ จะเห็นว่า PTTAR อยู่ในโซนราคาที่ค่อนข้างถูก และยากที่จะลงไปต่ำกว่า 23 บาท โดยปกติหุ้นที่ถูกอการถูกกดมานาน เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็มักจะเป็นภูเขาไฟระเบิดได้ง่ายๆ ซึ่งตอนนี้ PTTAR กำลังตั้งลำสร้างฐานขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยอาการเก็บกดแบบนี้ คาดว่าไม่นานราคาจะเริ่มดีดตัวแรง แบบม้วนเดียวจบ Break 27 บาท และพุ่งพรวดจนไปถึง 29.50 บาทก่อนที่จะฟุบดับลงมาอีกครั้งที่ 27 บาท 
     * และลุ้นทำกำไรแบบทีเดียวที่ระดับ 29 บาท
PTTCH  ประเด็นการวิเคราะห์
     * ขอยกบทความที่ลงในรายบทวิเคราะห์รายไตรมาส Invest+ 4Q53 มาให้อ่านกันนะครับ
     * PTTCH จัดเป็น 1 ในหุ้นที่ถูกกดขี่มากที่สุด เพราะจะเห็นได้ว่าราคาถูกขังอยู่ในกรอบ Channel ที่มี Slope `ที่ค่อนข้างน้อยมาตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา โดยในช่วงเดือน ก.ย.2553 PTTCH เริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นขึ้นมาเพื่อเตรียม Break กรอบบนของ Channel ซึ่งล่าสุดราคากำลังตั้งลำอยู่ที่ระดับ 118 บาท(ตามกราฟ) ในมุมอารมณ์ของคนที่ถูกกดขี่มานาน จึงเชื่อว่าราคาใกล้ที่จะระเบิดออกมาเต็มที ซึ่งเมื่อ Break 123.5 บาทขึ้นไปได้ คาดว่าจะวิ่งแบบรวดเดียวจนจบถึง 139 บาท
     * ซื้อ