จันทร์ 20 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
กูรู ฟันธง 8 หุ้นปันผลน่าลงทุน

เซียนหุ้น ฟันธงช่วงนี้เหมาะสุด ทยอยซื้อหุ้นจ่ายปันผลสูง ชู CSL-INTUCH-SMIT-SENA-TVO- TOG-TK-AH แจ่มจ่ายปันผลสูง 2.5% ขึ้นไป เอเซียพลัส ยกหุ้น Mid-Small Cap ให้ผลตอบแทนเด่นสุด บิ๊ก TVO ย้ำธุรกิจบริษัทฯแจ่ม ยัน จ่ายปันผลในงวดสิ้นปี ผถห.พอใจแน่ ส่วน CSL คาดกำไรปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 335 ลบ.ฟาก SENA พร้อมรักษาระดับการทำกำไรขั้นต้นอย่างดีเยี่ยม
*เซียนหุ้น ฟันธง ช่วงนี้เหมาะสุด ทยอยซื้อหุ้นจ่ายปันผลสูง
        นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสพักฐานได้กรณีที่ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้คาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรในประเด็นเรื่องของการจ่ายเงินปันผลสูง แนะทยอยซื้อหุ้นรับประเด็นดังกล่าว
        ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง ระบุว่า ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศคือ การประกาศ GDP ใน 2Q55 เช้าวันจันทร์ที่ 20 ส.ค. ตลาดคาดขยายตัว 3.0% yoy ขณะที่ปัจจัยภายนอกยังคงอยู่ที่ความคืบหน้าในอียู ซึ่งในสัปดาห์นี้จะมีการหารือระหว่างกรีซ และผู้นำ EC – ผู้นำอียูดังนั้น แนะนำให้นักลงทุน “กลับเข้าเก็งกำไรในตลาดหุ้นอีกครั้ง เพิ่มน้ำหนักกลับไปเป็น 55% สะสมบริเวณ 1,220 +/-“
*โบรกฯ ชู CSL-INTUCH-SMIT-SENA-TVO- TOG-TK-AH จ่ายปันผลสูง 2.5% ขึ้นไป
        บทวิเคราะห์บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า แนะนำหุ้นปันผลสูง เราแนะนำหุ้นที่ให้ Dividend yield ในงวดนี้ 2.5% ขึ้นไป (เรียงตาม yield) และราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไป ได้แก่ CSL (0.30, yield 3.8%, XD 22 ส.ค.), INTUCH (2.2, 3.3%, XD 27 ส.ค.), SMIT (0.14, 3.3%, XD 21 ส.ค.), SENA (0.082, 3.2%, XD 24 ส.ค.), TVO (0.8, 3.1%, XD 23 ส.ค.), TOG (0.1, 2.7%, XD 21 ส.ค.), TK (0.37, 2.6%, XD 21 ส.ค.), AH (0.488,2.6%, XD 27 ส.ค.)
* เอเซียพลัส ยกหุ้น Mid-Small Cap ให้ผลตอบแทนเด่นสุด
        บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า หลังการรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2555 จากนั้นจะเข้าสู่ฤดูกาลจ่ายปันผลของผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2555 นักวิเคราะห์เชิงปริมาณจึงศึกษาผลกระทบด้านราคาของหุ้นที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำครึ่งแรกของปี ย้อนหลังไป 8 ปี เพื่อนำข้อสรุปมากำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม พบว่าหุ้น Mid-Small Cap. จะให้ผลตอบแทนโดดเด่นสุดเมื่อซื้อก่อน XD ราว 2 เดือน (คือจังหวะซื้อสะสม ณ ตอนนี้) และขายวัน XD จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 8.7% ด้วยโอกาสสูงถึง 70% ขณะที่การซื้อสะสมในช่วงสั้นก่อน XD ราว 2 สัปดาห์ และขายช่วงเดียวกัน จะให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจรองลงมาราว 3.7% ด้วยโอกาสราว 69% โดยสรุปหุ้นปันผล Mid-Small Cap น่าจะทยอยสะสมก่อน XD เป็นระยะเวลายาวพอสมควร คือ เกือบ 2 เดือน จะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจที่สุด
        ขณะที่หุ้น BIG Cap. จะให้ผลตอบแทนโดดเด่นเมื่อซื้อในช่วงเดียวกัน แต่ผลตอบแทนจะเป็นรองหุ้นในกลุ่ม Mid-Small Cap คือ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.6%(โอกาส 64%) และ 2.2%(โอกาส 63%) เมื่อซื้อก่อน XD ราว 2 เดือน และ 2 สัปดาห์ เรียงตามลำดับดังนั้นการลงทุนหุ้นปันผลขนาดใหญ่ นักลงทุนไม่ควรซื้อและถือก่อนวัน XD เป็นระยะเวลายาวมากเพราะหุ้น Big Cap มักจะได้รับอิทธิพลจากสภาพตลาดสูง การลงทุนก่อนขึ้นสั้นๆ XD เพียง 2 สัปดาห์น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด
        ส่วน Top Pick หุ้นปันผล 1H55 Mid-Small Cap. แนะนำ SNC (Interim Yield 3.77%), KCAR(3.27%), DRT(3.17%), TVO(2.6%),TTW(2.16%) ขณะที่ Big Cap. เลือก INTUCH(Interim Yield 3.2%), RATCH(2.47%), TCAP(1.61%)
*เกียรตินาคิน แนะลดพอร์ตหุ้นที่ให้เงินปันเงินในจังหวะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
        บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ในครึ่งเดือนหลังนี้จะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทที่ประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งปี โดยมองว่าก่อนการขึ้น XD หุ้นที่มีเงินปันผลอาจจะยังมีแรงปรับตัวขึ้นของราคาได้ และเราแนะนำให้ขายลดพอร์ตหุ้นที่ให้เงินปันเงินในจังหวะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น เช่น ADVANC จ่ายเงินปันผลครึ่งปี 5.90 บาท XD วันที่ 21 ส.ค. 55 และ INTUCH จ่ายปันผลรายไตรมาสที่ 2.2 บาท XD วันที่ 27 ส.ค. เป็นต้น
        PSL - XD 0.10 บาท วันที่ 17 ส.ค.
        BEC - XD 1.00 บาท วันที่ 20 ส.ค.
        TUF - XD 1.10 บาท วันที่ 20 ส.ค.
        LPN - XD 0.23 บาท วันที่ 21 ส.ค.
        MAKRO - XD 3.50 บาท วันที่ 21 ส.ค.
        SAT - XD 0.30 บาท วันที่ 21 ส.ค.
        TFUND - XD 0.16 บาท วันที่ 23 ส.ค.
        BH - XD 0.60 บาท วันที่ 24 ส.ค.
        KH - XD 0.15 บาท วันที่ 24 ส.ค.
        CCET - XD 0.08 บาท วันที่ 27 ส.ค.
        KBS - XD 0.20 บาท วันที่ 27 ส.ค.
        KTB - XD 0.36 บาท วันที่ 28 ส.ค.
        WORK - XD 0.80 บาท วันที่ 27 ส.ค.
*บิ๊ก TVO ย้ำธุรกิจบริษัทฯแจ่ม ยัน จ่ายปันผลในงวดสิ้นปี ผถห.พอใจแน่
        นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า คาดว่าสาเหตุที่ราคาหุ้นบริษัทฯได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเป็นการสะท้อนกับผลประกอบการบริษัทฯในช่วงครึ่งปีแรกที่ออกมาเติบโตได้ดีและยังมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.80 บาท โดยจ่ายตามนโยบายจ่ายปันผลบริษัทฯที่จ่ายไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ โดยที่ผ่านมาก็ได้จ่ายปันผลเกินกว่า 60% ของกำไรสุทธิอยู่แล้ว ทั้งนี้ ยืนยันว่าการจ่ายปันผลในงวดสิ้นปีนี้จะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่เป็นพอใจตามผลกำไรที่บริษัทฯดำเนินการได้ โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯมีกำไรสุทธิ852.23 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 725.30 ล้านบาท ทำให้คาดว่าสิ้นปีนี้กำไรของบริษัทฯก็น่าจะออกมาเติบโตอย่างโดดเด่น แต่ต้องไม่มีปัญหาจากภัยธรรมชาติเข้ามาส่งผลกระทบโดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม
        นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะใกล้เคียงหรือสูงกว่าครึ่งปีแรก เพราะสถานการณ์ราคาขายและความต้องการในตลาดฯยังอยู่ในระดับสูงและในช่วงไตรมาส4/55ผลประกอบการถือว่าเป็นไฮซีซั่นอยู่แล้ว โดยขณะนี้ได้คาดว่ารายได้จะเติบโตได้สูงกว่า 5% ที่เป็นเป้าหมายเดิมเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 2.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากความต้องการผลผลิตจากถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น หลังจากที่สหภาพยุโรป หรือ อียูประกาศปลดล็อคการส่งออกไก่แช่แข็งของไทย ซึ่งจะทำให้กากถั่วเหลือง ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นประกอบกับปริมาณการเลี้ยงไก่ในประเทศปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงคาดว่าในครึ่งปีหลังรายได้ของบริษัทฯ จะปรับตัวดีขึ้น หลังปริมาณถั่วเหลืองในตลาดโลกมีราคาปรับสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้โรงสกัดถั่วเหลืองของบริษัทฯมีกำไร โดยประเมินราคาถั่วเหลืองครึ่งปีหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 600 เหรียญ/ตันและราคาขายในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 21.35 บาท/กิโลกรัม
* บิ๊ก CSL คาดกำไรปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 335 ลบ.
        นายอนุวัฒน์ สงวนทรัพยากร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน บมจ. ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 335 ล้านบาท เพราะในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทฯ มีกำไรรวมแล้วกว่า 198 ล้านบาท จึงคาดว่าปีนี้บริษัทฯ จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
        สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจด้านอินเทอร์เน็ตและกลุ่มบริการไอซีที และเซิร์ฟเวอร์มีการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนธุรกิจโฆษณาสมุดหน้าเหลือง คาดว่าผลงานจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากมีการรับรู้รายได้และต้นทุนการจัดพิมพ์ ประกอบกับบริษัทฯ หันมามุ่งเน้นการบริการที่ประสมสื่อโฆษณาบนมือถือและอินเตอร์เน็ต และเพิ่มการบริการด้าน Call Center มากขึ้นอีกด้วย
        นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคาดว่ารายได้ในช่วงไตรมาส 3/2555 จะเติบโตไม่ต่ำกว่าไตรมาส 2/2555 ที่บริษัทฯ ทำได้ประมาณ 720 ล้านบาท และมีกำไรรวมกว่า 91 ล้านบาท หลังจากธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งธุรกิจด้านอินเตอร์เน็ต ธุรกิจด้าน Voice mobile และธุรกิจโฆษณาสมุดหน้าเหลืองเติบโตอย่างต่อเนื่อง
        อนึ่ง เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2555 คณะกรรมการบริษัทฯ CSL มีมติจ่ายเงินปันผล งวดดำเนินงานวันที่ 01 ม.ค. 2555 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2555 หุ้นละ 0.30 บาท กำหนดจ่าย 6 ก.ย. นี้
INTUCH คาดรายได้ครึ่งปีหลังเติบโตต่อเนื่อง หลังผลประกอบการบริษัทลูกไปได้สวย
        นางสาวทมยันตี คงพูลศิลป์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น (INTUCH) เปิดเผยว่าบริษัทฯ คาดว่าแนวโน้มรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เพราะบริษัทลูก ทั้งบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ยังมีผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
        โดยในส่วนของ ADVANC ได้ปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมคาดโต 5-6% จากปีก่อน เป็นเติบโต 8-10% และมี EBITDA ที่เติบโตขึ้น ส่วนบริษัทลูก THCOM ยังเจรจากับลูกค้าหลายๆร าย ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
        อนึ่ง เมื่อวันที่14 ส.ค. 2555 คณะกรรมการบริษัทINTUCH : อนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 30 มี.ค. 2555 ถึงวันที่ 13 ส.ค. 2555 หุ้นละ 2.20 บาท กำหนดจ่าย 12 ก.ย. 2555
*SMIT ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15% ทำสถิติใหม่มาอยู่ที่ 3 พันลบ.
        นายชัยศิลป์ แต้มศิริชัย ประธานกรรมการ บริษัท สหมิตรเครื่องกล จำกัด (มหาชน) SMIT เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ร้อยละ 10-15 มาอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท เป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากสิ้นปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,300 ล้านบาท จากการเติบโตของยอดขายในธุรกิจ ประเภทเหล็กแม่พิมพ์ และประเภทเครื่องจักรที่ใช้ทำแม่พิมพ์ ซึ่งมีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างมากในช่วงครึ่งปีแรกตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะรัฐบาลมีโครงการรถคันแรก ประกอบกับน้ำท่วมปลายปีก่อน ทำให้ความต้องการซื้อรถมีมากกว่าปกติ
        'รายได้และกำไรปีนี้สูงกว่าปีก่อนแน่นอน เพราะแต่ละปีเราตั้งเป้าไว้เติบโตร้อยละ 10-15 ต่อปี ทำสถิติใหม่ตลอด ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ยิ่งมีโครงการรถคันแรกความต้องการใช้วัสดุ ใช้เครื่องจักรมีมากขึ้น ส่วนจะทำได้มากกว่าปีก่อนเท่าใดต้องรอดูตอนสิ้นปี' นายชัยศิลป์กล่าว
        ส่วนยอดขายครึ่งปีแรก บริษัทฯ ทำสถิติใหม่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ โดยทำได้เกินกว่าเป้าหมายประมาณร้อยละ 10-20 เฉพาะไตรมาส 2 ก็ทำได้สูงกว่าไตรมาสแรก เพราะมีคำสั่งซื้อที่ยกยอดมาจากปลายปีก่อนซึ่งมีเหตุการณ์น้ำท่วม ผู้ผลิตรถส่งมอบไม่ทันในช่วงนั้นก็เลื่อนมาเป็นปีนี้ ประกอบกับมีโครงการรถคันแรกของรัฐบาลออกมากระตุ้น ดีมานด์ของชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักร เหล็กแม่พิมพ์จึงเพิ่มขึ้นตาม
        นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ แม้ว่าสินค้าที่จำหน่ายนั้นจะนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ก็เป็นประเทศที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง เช่น เยอรมัน ออสเตรีย และสินค้าของบริษัทก็ขายในประเทศเป็นหลัก ดังนั้น สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าคือปัจจัยการเมืองในประเทศ นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปีนี้นโยบายรถคันแรก ถือว่าช่วยกระตุ้นยอดขายของอุตสาหกรรมยานยนต์ได้มากและส่งผลดีมาถึงยอดขายบริษัทฯ ด้วย เพราะมีสินค้าสนับสนุนอุตฯ ยานยนต์
        ' สิ่งที่เรามองตอนนี้คือ ถ้าปีนี้โครงการรถคันแรกจบลง อีก 1-2 ปีข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะปีนี้จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้เซ็กเตอร์รถบูมมาก และปีหน้าล่ะ นโยบายรัฐบาลจะเป็นไงต่อ แล้วปัญหาคือ เราจะปรับตัวยังไงให้ทันท่วงที สิ่งเหล่านี้น่ากังวลมากกว่าเศรษฐกิจยุโรป' นายชัยศิลป์ กล่าว
        นายชัยศิลป์ กล่าวต่อถึง แผนงานในปีหน้าด้านการลงทุน บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเพิ่มอีก2-3 โครงการใหม่ ต่อเนื่องจากปีนี้ที่ได้ลงทุนในโครงการ บริการชุบเหล็กแข็ง เฟสสุดท้ายด้วยการลงเงินเพิ่มอีก100 ล้านบาทรวมเงินที่ใช้ลงทุนโครงการดังกล่าวทั้งหมด 300 ล้านบาท
        ทั้งนี้ สิ่งที่บริษัทฯ สนใจทำในปีหน้า จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องในสินค้า 6 ประเภทหลักที่จัดจำหน่ายอยู่เดิมแล้ว แต่จะเป็นการผลิตเองจากเดิมเป็นเพียงผู้นำเข้า เช่น ขยายการลงทุนในธุรกิจใบมีดอุตสาหกรรม และบางโครงการอาจเป็นธุรกิจใหม่ เช่น โรงไฟฟ้า เป็นต้น
        นอกเหนือจากการผลิตสินค้าเอง บริษัทฯ ก็มีความสนใจที่จะเข้าไปร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติในการผลิตสินค้าประเภทฐานแม่พิมพ์ ซึ่งเดิมเป็นลูกค้า SMIT อยู่แล้ว ส่วนอีกโครงการอาจเข้าร่วมทุนกับญี่ปุ่นซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา
        ' ปีหน้าเราดูอยู่ 2-3 โปรเจกต์ เช่น โรงไฟฟ้า แต่เท่าที่ดูคนอื่นทำตอนนี้ก็ขาดทุน นอกจากนี้ที่มองก็เป็นฐานแม่พิมพ์อาจเข้าไปร่วมทุน แต่ตอนนี้มันยังไม่เรียบร้อย และอีกโปรเจกต์ร่วมทุนกับญี่ปุ่น ดูอยู่ว่าอาจเทคโอเวอร์หรือไม่เราจะเข้าไปดูก่อน ตอนนี้ยังคุยอยู่' นายชัยศิลป์ กล่าว
*SENA พร้อมรักษาระดับการทำกำไรขั้นต้นได้อย่างดีเยี่ยม
        ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 4/2555 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.082 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 0.053 บาท (ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรส่วนที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 23ซึ่งผู้รับเงินปันผลที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร) ส่วนที่เหลือจำนวน 0.029 บาท จ่ายจากกำไรสุทธิที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) (ไม่ได้รับเครดิตภาษี)
        ทั้งนี้ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2555 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียน ในพุธที่ 29 สิงหาคม 2555 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2555 ในวันที่ 7 กันยายน 2555
        สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/2555 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 ของ SENA ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิ 95.83 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.13 บาท และ งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 145.38 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.20 บาท
        “ในไตรมาส 2/2555 นี้มีความโดดเด่นและน่าสนใจก็คือว่า SENA สามารถบริหารต้นทุนขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในสภาวะที่ต้นทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปัจจัยของเศรษฐกิจโดยรวม แต่บริษัทก็ได้โชว์ฝีมือในเรื่องการบริหารต้นทุนขายได้อย่างดีเยี่ยม โดยในไตรมาส 2 ปี 2555 บริษัทสามารถทำให้อัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 45.1% ซึ่งเพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ ที่ 42.9%
        ปัจจุบัน SENA มีโครงการในมือรวม 13โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 7,900 ล้านบาท และช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 3,450 ล้านบาท และได้ตั้งเป้ายอดขายรวมของปีนี้เอาไว้ที่ระดับประมาณ 1,800 ล้านบาท ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2555 จะมาจากการขายบ้านและคอนโดมิเนียมร้อยละ 96 ค่าเช่า และค่าบริการร้อยละ4 อย่างไรก็ตามในปี 2556 จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่เกิดจากค่าเช่าโดยคาดว่าจะขยับเพิ่มขึ้น เนื่องจากปลายปีนี้ SENA มีแผนที่จะเปิดโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ชื่อ “SENA fest” ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเสนา ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ความสุขของคนฝั่งธนฯ” ตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าของโครงการมากกว่าร้อยละ 70 แล้ว
        'จากเงินปันผลที่บริษัทจ่ายระหว่างกาลและความสามารถในการรักษาระดับกำไรขั้นต้นได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมแผนการเปิดโครงการของปีนี้ ถือเป็นสัญญานที่ดีสำหรับบริษัทฯ ในอนาคต ที่จะสามารถรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลที่ดีแก่นักลงทุน โดยตั้งแต่บริษัทได้เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจแก่นักลงทุนเสมอมา และจะยังคงรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินการต่อไป เพราะนี่คือความภูมิใจของเรา เสนา คือ ความภูมิใจ '
* TOG ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 1.69 พันลบ. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนทำได้ 1.16 พันลบ.
        นายวิรัช ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในปี 2555 ไว้ที่ประมาณ 1,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 1,167 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจห้องแล็ป ซึ่งเป็นการผลิตเลนส์แว่นตาชนิดพิเศษยังปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
        ส่วนปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลายและทำให้เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรปตกต่ำลง มองว่าจะไม่กระทบต่อยอดขายของบริษัทฯ มากนัก แม้บริษัทฯ จะมีสัดส่วนส่งออกไปยังยุโรปเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยุโรปตกต่ำจะทำให้ประชาชนซื้อสินค้าที่มีราคาถูกแต่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัทฯ ที่ผู้บริโภคจะหาสินค้าที่ผลิตในกลุ่มประเทศเอเชียเพิ่มขึ้น เพราะมีราคาถูก ประกอบกับบริษัทฯ ยังมีการขยายตลาดเพิ่มมากขึ้นทั้ง ออสเตรีย จีน และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ช่วยทดแทนยอดขายบางส่วนที่หายไป หลังโดนผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
        โดยบริษัทฯ คาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/2555 จะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและคาดว่ารายได้จะมีมูลค่าใกล้เคียงกับที่บทวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะทำได้ประมาณ 376 ล้านบาท แต่ปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาส 1/2555ที่ทำได้ 446 ล้านบาท
        'ในช่วงไตรมาส 2 แม้ยอดขายและออเดอร์สินค้าจะดีตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่บริษัทฯ ยังมีปัญหาเรื่องการผลิต หลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถควบคุมเรื่องต้นทุนได้ จึงอาจจะทำให้กำไรใกล้เคียงกับไตรมาส 1' นายวิรัช กล่าว
        ส่วนกำไรในช่วงไตรมาส 2/2555 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2555 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 76.81 ล้านบาท แม้จะมีปัญหาเรื่องการผลิต แต่บริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลง ประกอบกับได้รับเงินชดเชยจากน้ำท่วมบางส่วน ซึ่งบริษัทฯ ประกันจะทยอยให้เงินประกันเป็นงวดๆ
        นอกจากนี้ หากกำไรของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นดีอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะนำเรื่องการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ในช่วงต้นเดือนหน้า ซึ่งตามกฎของบริษัทฯ หากกำไรเกิน 40% จะสามารถปันผลต่อผู้ถือหุ้นได้ ทั้งนี้บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยนโยบายไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวมหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ ได้กำหนดไว้
TK ฟันธง! สิ้นปียอดปล่อยกู้รถจักรยานยนต์โต 10% ตามเป้า
        นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน)หรือ TK เปิดเผยว่า สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ TK เติบโตที่ 5.1% หรือ 7,962 ล้านบาท คาดว่าตลอดปีนี้ยอดการปล่อยสินเชื่อจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 10% ส่วนครึ่งปีแรกของปี 2555 มีรายได้รวม 1,775.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว 10.85% กำไรสุทธิ 308.91 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนที่ 2.55%
        สำหรับภาพรวมครึ่งปีแรกของตลาดรถจักรยานยนต์ ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเนื่องจากไตรมาสแรกยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องมาจากวิกฤติน้ำท่วม ทำให้ผู้ผลิตยังประสบปัญหาไม่สามารถป้อนสินค้าออกสู่ตลาดได้ทำให้ไตรมาสแรกตลาดหดตัวลงประมาณ 0.3% ซึ่งเมื่อเข้าสู่ไตรมาสสองผู้ผลิตสามารถผลิตได้เต็มที่ ทำให้ไตรมาสสองมียอดจำหน่าย 585,487 คัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกถึง 36.73%
        โดยครึ่งปีแรกตลาดรวมมียอดจำหน่ายทะลุ 1,100,000 คัน ทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่มั่นใจปีนี้ตลาดรถจักรยานยนต์ขยายตัวสร้างสถิติใหม่ 2,200,000 คัน ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลที่เน้นการกระจายรายได้สู่ประชาชนทั้งมาตรการค่าแรง 300 บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับจำนำสินค้าเกษตรในราคาสูงทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการขยายตัวของตลาดรถจักรยานยนต์
        ด้านนายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) (TK) กล่าวถึง การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า TK จะยังคงขยายสาขาอีก 3 – 4 สาขาเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถจักรยายนต์ พร้อมเสริมทีมงานอีก 350 อัตรารองรับการเติบโต
        “นอกจากเราจะรักษาการเติบโตของสินเชื่ออย่างมีคุณภาพแล้ว ในครึ่งปีหลังนี้เราจะเปิดสาขาเพิ่ม 3 – 4 สาขา และเรายังจะเสริมทีมงานอีก 350 อัตราเพื่อรองรับการเติบโต ดังนั้น เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าในปีนี้ บริษัทจะสร้างสถิติยอดขายและกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งมา 40 ปี” นายประพลกล่าว
        นางสาวปฐมากล่าวเสริมว่า ในปีนี้เป็นปีที่บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งมาครบ 40 ปี และเป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องมาแล้ว 3 ทศวรรษ ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดีและเชื่อว่าจะสร้างสถิติสูงสุด ดังนั้นเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จดังกล่าว บริษัทฯจึงประกาศจ่ายปันผลพิเศษระหว่างกาล 0.37 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 185 ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นทุกท่านที่ได้ให้การสนับสนุนกิจการของบริษัท ให้เจริญเติบโตมาอย่างมั่นคง
* โบรกฯ แนะขายทำกำไร AH หลังสะท้อนข่าวดี ไปแล้ว
        บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AHสะท้อนประเด็นบวกของ AH ไปค่อนข้างมากแล้ว และสอดคล้องกับมุมมองของ KELIVE ที่คาดว่างบไตรมาส 2/2555 ของ AH จะเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มยานยนต์ เพราะโรงงานที่นิคมฯ ไฮเทค กลับมาดำเนินงานได้เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก บวกกับเงินประกันที่ได้อีก 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2555 ที่ 30 ล้านบาท แต่หากเทียบกับ Upside จาก ราคา ณ ปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าเริ่มจำกัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการลงทุนใน AH สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงถึง 41% ภายในเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา น่าจะมากเพียงพออการ Lock – in – Profit ฉะนั้นจึงแนะนำขายทำกำไร