พุธ 22 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
AH - SAT เครื่องร้อนจัด!

* เพิ่มเป้ายอดขายปีนี้โต 30% และ 40%
AH-SAT เครื่องร้อนจัด ประกาศปรับเพิ่มเป้ายอดขายทั้งคู่ เป็น 30% และ 40% หลังพบดีมานด์ซื้อรถครึ่งปีหลังสูงลิ่ว ส่งผลคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์พุ่งแรงกว่าปกติ แต่ยันกำลังผลิตเพียงพอและส่งของทัน AH มองตลาดออโต้สดใสถึงปีหน้าชัวร์ เพราะบางส่วนที่จองปลายปี จะรับส่งมอบรถช่วงนั้น พร้อมแย้มกำไรปีนี้โตขั้นต่ำ 50% ส่วน SAT คาดกำไรบริษัทโตตามยอดขาย ด้านโบรกฯ คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มยานยนต์ 'มากกว่าตลาด' สำหรับ AH แนะซื้อ เป้าหมาย 22 บาทและ SAT แนะซื้อ เป้าหมาย 34 บาท
* AH ลั่นเพิ่มเป้ายอดขายปีนี้โต 30% จากเดิมคาดโต 20-25% หลังออเดอร์ทะลักในครึ่งปีหลัง
          นายเย็บ ซู ชวน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโกไฮเทค จำกัด(มหาชน) หรือ AH เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า บริษัทฯ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปีนี้เติบโต 30% จากเดิมซึ่งคาดว่าจะเติบโต 20-25% หลังพบว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดคำสั่งซื้อจากลูกค้ามีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และโรงงานของบริษัทฯ ก็กลับมาเดินเครื่องได้ 100% พร้อมส่งมอบงานให้ทันตามคำสั่งซื้อของลูกค้า         
          ขณะเดียวกัน ยอดผลิตรถยนต์ปีนี้ทั้งอุตสาหกรรมน่าจะอยู่ที่ 2.2 ล้านคัน สูงกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.5 ล้านคัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ ซึ่งประกอบธุรกิจออกแบบผลิตและติดตั้งอุปกรณ์จับยึดเพื่อประกอบรถยนต์ - อุปกรณ์แม่พิมพ์และผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
          'ยอดขายโต 30% นี่เป็นไปได้ ครึ่งปีหลังเรามองว่ายังดีนะ และเท่าที่ดูคำสั่งซื้อของลูกค้ายังแน่นอยู่ และเราก็ส่งมอบได้ทันตามกำหนด แทบไม่ต้องรองานมอเตอร์เอ็กซ์โปปลายปี ตอนนี้ผู้ประกอบการก็เร่งผลิตกันเต็มที่อยู่แล้ว เพราะรอรับรถกัน 5 เดือน 6 เดือน' นายเย็บ กล่าว
          ทั้งนี้ เชื่อว่า อุตสาหกรรมยานยนต์จะมีความคึกคักไปจนถึงกลางปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะหลังรัฐบาลยืดระยะเวลาโครงการรถคันแรก โดยจองซื้อรถให้ทันภายในปีนี้ แต่ไม่กำหนดระยะเวลาส่งมอบ ทำให้ประชาชนจองซื้อรถกันมากขึ้น และก็จะทยอยรับมอบรถไปจนถึงกลางปีหน้า เพราะต้องใช้ระยะเวลารอรับรถนาน 5-6 เดือน
          นอกจากนี้ ตนเชื่อว่า แม้ปีนี้ตลาดรถยนต์จะคึกคักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปีหน้าจะซบเซา แต่มองว่าประชาชนมีเงินในกระเป๋า มีกำลังซื้อ เศรษฐกิจปีก็ดี โดยเฉพาะภาคการเกษตร ดังนั้น จึงเป็นเพียงการเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาใช้ และปีหน้าก็จะยังมีดีมานด์ต่อไปได้อีกตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
          "มั่นใจว่าอุตสาหกรรมยานยนต์คึกคักถึงปีหน้าชัวร์ บางรุ่นจองเดือน พ.ย. เดือน ธ.ค. ก็ต้องรับรถปีหน้า และที่สำคัญผมอยู่ไทยมา 20 กว่าปี ยังไม่เคยเห็นจองรถกันนาน 6 เดือน แถมบางทีผู้ขายไม่รับจองก็มี เพราะกลัวส่งมอบไม่ทัน ผมก็เพิ่งเคยเห็น เอาเงินมาจากไหนกันมากมาย" นายเย็บ กล่าว
          ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AH กล่าวต่อว่า คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะมีอัตราการเติบโตมากกว่าการเติบโตของยอดขายที่คาดว่าจะโต 30% จากปีก่อนเบื้องต้น คาดว่า ไม่น่าจะโตต่ำกว่า 50% เพราะเพียงแค่ครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัททำกำไรสุทธิไปแล้ว 374.98 ล้านบาท จากปีก่อนที่บริษัทฯ มีผลขาดทุน 389 ล้านบาท
          "แค่ 6 เดือนก็เห็นแล้วว่ากำไรเราเท่าไหร่ ซึ่งปกติอัตราการเติบโตของกำไรจะโตสูงกว่ายอดขายอยู่แล้ว เรามองขั้นต่ำปีนี้โตไม่น้อยกว่า 50% แน่นอน" นายเย็บ กล่าว
          ทั้งนี้ ลูกค้ารายหลักของบริษัทไล่ตามลำดับขนาดของคำสั่งซื้อ ได้แก่ อีซูซุ ฟอร์ด มาสด้า นิสสัน โตโยต้า และฮอนด้า
* SAT เพิ่มเป้ายอดขายปีนี้โต 40% จากเดิมคาดโต 35% พร้อมแย้มกำไรโตตามยอดขาย
          นายวีระยุทธ กิตะพาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมบูรณ์ แอ็ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า เร็วๆ นี้ บริษัทฯ จะปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายทั้งปีขึ้นมาอยู่ที่ 40% จากเดิมที่คาดว่าจะโตประมาณ 35-40% หลังพบว่าปริมาณคำสั่งซื้อชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ลูกค้ามีมากขึ้นกว่าปกติ จาก 2 ปัจจัยหลักคือ การเติบโตโดยปกติของอุตสาหกรรมยานยนต์ และโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ซึ่งทำให้ตลาดรถยนต์ปีนี้คึกคักเป็นพิเศษ ขณะที่กำไรสุทธิของปีนี้ก็จะมีอัตราการเติบโตเป็นไปในทิศทางเดียวกับยอดขายเช่นเดียวกัน
          'เราจะไฟนอลในเร็วๆ นี้ สำหรับเป้ายอดขาย 40% สาเหตุที่ปรับเพิ่มเพราะวอลุ่มของลูกค้าผลิตรถขายมากขึ้น และเร็วขึ้นและเราก็มองว่ากำไรก็จะโตตามยอดขายเช่นเดียวกัน' นายวีระยุทธ กล่าว
          นายวีระยุทธ กล่าวต่อ ถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีหน้าว่า จะยังเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ แต่คงไม่หวือหวามากนัก ซึ่งตลาดรวมน่าจะโตประมาณ 10% และยอดขายบริษัทฯ ก็น่าจะโตเท่าตลาดคือ 10% เนื่องจากหมดมาตรการกระตุ้นทางภาษี และจากฐานที่สูงของปีนี้
          ส่วนครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะลงทุนอีกไม่มากนักประมาณ 500-600 ล้านบาท จะนำไปซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต จากงบลงทุนและงบประมาณที่ใช้หมุนเวียนทั้งปีรวมประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวนี้ แบ่งเป็นกระแสเงินสดของบริษัทฯ เอง 40% และอีก 60% บริษัทฯ กู้มาจากธนาคารพาณิชย์
          สำหรับลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่ มิตซูบิชิ โตโยต้า ฮอนด้า และอีซูซุ ซึ่งหลายค่ายก็ได้ทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ไปแล้วในครึ่งปีแรก ดังนั้น ครึ่งปีหลังคงยังไม่มีเปิดตัวรถรุ่นใหม่ แต่เชื่อว่ายอดจองซื้อรถก็จะทยอยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในงานมอเตอร์โชว์เดือน พ.ย.นี้ หลังจากรัฐบาลยืดระยะเวลาส่งมอบรถในโครงการรถคันแรกแบบไม่มีกำหนด ขอเพียงเป็นการจองซื้อภายในสิ้นปีนี้ ก็ยังคงได้สิทธิ์คืนภาษี 1 แสนบาท
* โตโยต้าฯ เผย ยอดขายรถทั้งระบบเดือน ก.ค. โตกว่า 80%
          นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส โตโยต้าฯ เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ของเดือน ก.ค.มีปริมาณการขาย 131,646 คัน สูงสุด หรือเพิ่มขึ้น 80.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นสถิติใหม่ของยอดจำหน่ายรถยนต์ต่อเดือนในประเทศไทย โดยตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 64,430 คัน สูงสุดเป็นสถิติใหม่ของยอดขายต่อเดือนในตลาดรถยนต์นั่ง โดยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 99.6% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 67,216 คัน เพิ่มขึ้น 65.5% เป็นผลจากความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐและความนิยมในรถยนต์รุ่นใหม่ ประกอบกับ การเพิ่มกำลังการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย ทำให้สามารถส่งมอบรถยนต์ให้กับลูกค้าได้มากขึ้น
          ขณะที่ตลาดรถยนต์สะสม 7 เดือน มีปริมาณการขาย 738,169 คัน เพิ่มขึ้น 46.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 42.6% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโต 49.1% เป็นผลจากความต้องการของตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีอยู่สูงตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับกำลังการผลิตที่กลับเข้าสู่ระดับปกติและปรับเพิ่มขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดรถยนต์
          "คาดว่าตลาดรถยนต์ในเดือน ส.ค.เติบโตต่อเนื่อง เพราะการเพิ่มกำลังการผลิตของทุกค่าย ส่งผลทำให้สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น และจากเดือน ส.ค.ไปจนถึงสิ้นปี คาดว่าตลาดรถยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากความชัดเจนของภาครัฐเรื่องกรอบเวลาในการซื้อและส่งมอบ ของนโยบายรถยนต์คันแรก" นายวุฒิกร กล่าว
* บล.กรุงศรี คงน้ำหนักการลงทุน 'มากกว่าตลาด'
          ด้านบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา คงน้ำหนักการลงทุน 'มากกว่าตลาด' หลังยอดผลิตรถยนต์เดือน ก.ค ทุบสถิติสูงสุดต่อเนื่อง เติบโต 44%YOY และ 3.5% จากเดือนก่อนหน้า ส่วน 7 เดือนแรกอยู่ที่ 1.27 ล้านคันเพิ่มขึ้น 32% YOY จึงคาดว่าผลประกอบการกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ใน 2H55 จะเติบโตดีกว่า 1H55 และทั้งปี 2555 การผลิตรถยนต์ของประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20% จากครึ่งปีแรก และทั้งปี 2555 ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มฯ เพิ่มขึ้นอีก 6% จากการปรับสมฐานยอดผลิตรถยนต์จากเดิม 2.1 ล้านคันเป็น 2.2 ล้านคัน คงน้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาด”
          ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” SAT (ราคาพื้นฐาน 34 บาท) ซึ่งปีนี้รับประโยชน์จากการที่ลูกค้ารายใหญ่ MITSUBISHI มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 2.4 เป็น 4.6 ล้านคัน และลูกค้าคูโบต้า มีแผนในการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 30%
          แนะนำ “ซื้อ” IHL (ราคาพื้นฐาน 10.20 บาท) รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอุตสาหกรรมด้วยเป็นผู้ผลิตเบาะหนังรายใหญ่สุดในประเทศ และมีระดับ ROE ที่สูงสุดในกลุ่ม
          แนะนำ “ซื้อ” AH (ราคาพื้นฐาน 22 บาท) ผลประกอบการ Turnaround เป็นบวกจากปีก่อนซึ่งถูกกระทบมากที่สุดในกลุ่มจากโรงงานที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
          แนะนำ “ซื้อ” STANLY (ราคาพื้นฐาน 240 บาท) ผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง หลังจากลูกค้ารายใหญ่ HONDA เริ่มกลับมาผลิตในเดือน เม.ย ในด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้นจากผลบวกจากมาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% และโรงงานใหม่ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI ไม่เสียภาษีเป็นระยะเวลา 8 ปี
* บล.ทิสโก้ แนะนำถือ SAT
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ ประเมินว่า จากกรณีที่ยอดส่งการผลิตยานยนต์ในเดือนกรกฏาคมเพิ่มขึ้น 44.5% YoY เป็น 2.13 แสนคัน ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น 80.6% YoY เป็น 1.31 แสนคัน ในขณะที่ยอดการส่งออกโตขึ้น 25.1% YoY เป็น 9.48 หมื่นหน่วย ตามข้อมูลของ ส.อ.ท. ยอดขายจักรยานยนต์ภายในประเทศยังคงแข็งแกร่งขึ้นด้วยที่ 1.87 แสนยูนิต เพิ่มขึ้น 5.5% YoY
          ฝ่ายวิจัยแนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสมใหม่ที่ 31 บาท เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนมูลค่าที่เหมาะสมเป็นของปี 2556 โดยมี EPS 2.82 บาทคิดเป็น PER 11 เท่า โดยเราเชื่อว่าราคาหุ้น SAT ในปัจจุบนกำลังซื้อขายที่ราคาที่เหมาะสม เรายังคงประมาณการผลประกอบการสำหรับปี 2555-2557 ความเสี่ยง คือ 1) ยอดขายรถยนต์ที่ลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งจะทำให้อุปสงค์ของชิ้นส่วนลดลง 2) ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นกดดันอัตรากำไรขั้นต้น 3. ยอดขายที่ลดลงหลังการสิ้นสุดมาตรการภาษี
* บล.เกียรตินาคิน คงให้น้ำหนัก Overweigh กลุ่ม AUTO และยังเลือก STANLY, SAT และ AH เป็นหุ้น Top Pick
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน วิเคราะห์ว่า ช่วงเดือน ส.ค. 55 ที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ (AUTO) รายงานผลประกอบการงวด Q2/55 ออกมาฟื้นตัวต่อเนื่องตามคาด นำโดย AH รายงานกำไรเติบโตโดดเด่นที่สุด เพิ่มขึ้น 456% YoY และดีกว่าที่เราคาดถึง 139% รองลงมาเป็น TKT พลิกจากขาดทุน 11 ล้านบาท เมื่อปีก่อนเป็นกำไร 24 ล้านบาท และดีกว่าคาด 66%, SAT กำไรเพิ่มขึ้น 84% YoY, STANLY กำไรเพิ่มขึ้น 42% YoY และ TSC กำไรเพิ่มขึ้น 22% YoY
          โดยเราอยู่ระหว่างปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ AH และ TKT ที่ผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาด ขณะที่อยู่ระหว่างปรับลดประมาณการกำไรของ TSC ที่ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด 28% ทั้งนี้ ในภาพรวมจากยอดผลิตรถยนต์ที่เติบโตต่อเนื่องในเดือน ก.ค. 55 ทำให้เราคาดว่าผลประกอบการงวด Q3/55 ของกลุ่ม AUTO จะยังคงออกมาแข็งแกร่งต่อเนื่อง
          อย่างไรก็ตาม ยังคงมีมุมมองบวกต่อภาวการณ์ฟื้นตัวของอุตฯ ยานยนต์ไทยในปี 2555 ด้วย 4 ปัจจัยสนับสนุนหลัก คือ (1) ความต้องการรถยนต์ที่อั้นมาจากปีที่แล้ว (2) นโยบายรถคันแรก (3) การเปิดตัวรถโมเดลใหม่หลายรุ่น และ (4) ฐานยอดผลิตรถยนต์ในปีก่อนต่ำ ขณะที่มองว่ามีความเสี่ยงจาก (1) ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน (2) ความเข้มแข็งของห่วงโซ่การผลิตหลังการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และ (3) ความเปราะบางของภาวะเศรษฐกิจโลก เรายังแนะนำ “Overweight” กลุ่ม AUTO โดยเลือก STANLY, SAT และ AH เป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่ม นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างปรับเพิ่มประมาณการหุ้น TKT