อังคาร 21 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
หุ้น Real Sector น้ำตาตก

*กำไร Q2 วูบ 52% พลังงาน - เกษตรเจ็บหนักกว่าเพื่อน
วงการเผยหุ้น Real Sector กำไรงวด 2Q55 ลดลง 52% กลุ่มพลังงานเจ็บหนักสุดหดตัว 82% QoQ ตามด้วยกลุ่มเกษตร -80% ปิโตรเคมี -69% อาหาร -53% และโรงพยาบาล -42% สอดคล้องกับกำไรบจ.ครึ่งปีแรกทรุด 13.58% หลังต้นทุนเพิ่ม - ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงช่วงไตรมาส 2 ทำเอาหลายเจ้าขาดทุนสต็อกน้ำมันบักโกรก โบรกฯ ชี้หุ้นที่จะนำตลาดในช่วงนี้ได้ต้องกำไรสุทธิ หรือ EPS Growth ยังเติบโตต่อเนื่อง อย่าง HMPRO, EASTW และ ROJNA หรือมีค่า PER ต่ำ และ เงินปันผลสูง อย่าง GL และ SC
          ภาพรวมผลงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ครึ่งปีแรกไม่สดใส เฉพาะไตรมาส 2 หุ้น Real Sector กำไรลดลง 52%qoq หนักสุดคือหุ้นกลุ่มพลังงาน หดตัว 82% จากงวดก่อนหน้า ตามมาด้วยกลุ่มเกษตร -80% กลุ่มปิโตรเคมี -69% กลุ่มอาหาร -53% และกลุ่มโรงพยาบาล -42% สอดคล้องกับที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่ชี้ว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยครึ่งปีแรกกำไรทรุดถึง 13.58% หลังหุ้นกลุ่ม SET50 ทั้งพลังงาน โลหะและสินค้าเกษตร มีทั้งกำไรลด และขาดทุนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นขาลงในช่วงไตรมาส 2 ด้านกลุ่มธุรกิจประกันภัยเจ็บตัวไม่แพ้กัน เพราะยังมีการบันทึกค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554
          โดยวานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,229.00 จุด เพิ่มขึ้น 5.09 จุด หรือ 0.42% มูลค่าการซื้อขาย 20,574.94 ล้านบาท
***หุ้น Real Sector กำไรงวด 2Q55 ลดลง 52%qoq เพราะ Energy, Agri, Petro, Food อ่อนตัว
          บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า สิ้นสุดการรายงานงบงวด 2Q55 พบว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมอยู่ที่ 1.28 แสนล้านบาท ลดลง 40%QoQ โดยหากตัดกลุ่มภาคการเงิน อย่างธนาคารพาณิชย์ ประกัน หลักทรัพย์ และ leasing เหลือเฉพาะภาคการผลิตที่แท้จริง (Real Sector) พบว่ามีกำไรสุทธิ 8.36 หมื่นล้านบาท ลดลง 52%ซึ่งหลักๆ เกิดจากการลดลงมากที่สุดคือ พลังงาน หดตัว 82% จากงวดก่อนหน้า (qoq) เกษตร -80% ปิโตรเคมี -69% อาหาร -53% และโรงพยาบาล -42%
          ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่นักวิเคราะห์ ASP ได้ทำประมาณการล่วงหน้าในงวด 2Q55 จำนวน 62 บริษัทพบว่ามี 42% มีกำไรมากกว่าที่ ASP คาดการณ์ (เรียงลำดับมากไปน้อยคือ ROJNA, HRMRAJ, RML, KK, RS,TCAP, PTT, TMB, THCOM เป็นต้น) ที่เหลือ 39% ต่ำกว่าคาด (เรียงลำดับจากมากไปน้อย IRPC, PTTEP, PF, ERW, TOP, BLA, MINT,PRIN, CPF, STANLY, BCP เป็นต้น) และ 19% สอดคล้องกับประมาณการ (TVO, KBANK, DELTA, ADVANC, TK, TISCO, SNC,PTTGC, BAY, SC, TUF, ROBINS)
          สำหรับหุ้นที่ผลกำไรงวดนี้สูงกว่าประมาณการ ทำให้นักวิเคราะห์ ASP ต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2555 พร้อมปรับ Fair Value หลายบริษัท และยังเป็นหุ้นที่คาดว่าจะสามารถ Out-perform ตลาดได้ ได้แก่ GL, ROJNA, THCOM, THRE เป็นต้น ดังนั้นในสถานการณ์ที่ฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานจบแล้ว คงต้องติดตามประเด็นใหม่ที่จะหนุนตลาดในช่วงนับจากนี้ซึ่งก็อาจจะต้องให้ความสำคัญกับประเด็นข่าวในต่างประเทศ ซึ่งสัปดาห์นี้น่าจะเป็นเรื่องของการหาทางช่วยเหลือกรีซ ให้ได้รับความช่วยเหลือการเงินที่คั่งค้างอยู่ และยังคงอยู่ในกลุ่มสมาชิกยูโรปต่อไป
          โดยหลังสิ้นสุดการรายงานงบงวด 2Q55 หุ้นที่จะนำตลาดได้ต่อเนื่อง ควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ คือกำไรสุทธิ หรือ EPS Growth ยังเติบโตต่อเนื่อง (HMPRO, EASTW, ROJNA) หรือมีค่า PER ต่ำ และ เงินปันผลสูง (GL, SC)
***ตลาดฯ แจง H1/55 บจ.กำไรทรุด 13.58%
          ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 447 บริษัท หรือ 93.71% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 477 บริษัท(ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG )ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 แล้วโดยยอดขายไตรมาส 2 อยู่ที่ 2,550,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1ที่ผ่านมาและจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้ยอดขายงวด 6 เดือนเพิ่มขึ้นจาก 4,464,654 ล้านบาท เป็น5,063,994 ล้านบาท เติบโต 13.42% ในขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 130,400 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนขายและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 7,346ล้านบาทเทียบกับไตรมาส 1 ที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 12,710 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนปี 2555ลดลง 13.58% จากงวดเดียวกันของปี 2554 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นงวด 6 เดือนอยู่ที่ 17.00% จาก 19.64%งวดเดียวกันปีที่แล้ว
          กำไรสุทธิและความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทจดทะเบียนงวด 6 เดือนแรกของบริษัทจดทะเบียนใน SET ลดลงตามกำไรของบริษัทกลุ่ม SET50 ในธุรกิจพลังงาน โลหะและสินค้าเกษตรที่ลดลงมากและบางบริษัทมีผลดำเนินงานขาดทุนสาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นเพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงไตรมาส 2 ลดลงอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการขาดทุนสต๊อกน้ำมันรวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากการตีราคามูลค่าสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาดซึ่งรายการดังกล่าวเป็นรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ
          โดยบริษัทที่ขาดทุนส่วนใหญ่เป็นบริษัทในหมวดพลังงาน การเกษตร และเหล็กซึ่งเกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง รวมถึงธุรกิจประกันภัยที่ยังมีการบันทึกค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554
          อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน โดยรวมในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกจะเติบโตจากปีที่แล้ว 32.01% และ 8.80%ตามลำดับ
          ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)
*** บจ.ใน mai ยังคงเติบโตทั้งยอดขายและกำไรครึ่งปีแรก
          นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน และ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 72 บริษัท (ไม่รวมบริษัทที่ปิดงวดไม่ตรง 2 บริษัท) นำส่งงบการเงินประจำงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 มีกำไรสุทธิรวม 2,641 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.89% และยอดขายรวม 45,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.39% ขณะที่ไตรมาส 2/2555 มีกำไรสุทธิ 1,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.39% และยอดขายรวม 22,633 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.46% ทั้งนี้ ไม่นับรวมกำไรจากการชดเชยค่าเสียหายจากการประกันอุทกภัยจำนวน 277 ล้านบาท ของ บมจ. ไทยมิตซูว่า (TMW)
          ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน mai สำหรับครึ่งปีแรกปรับเพิ่มขึ้นทั้งยอดขายและกำไรสุทธิ โดยไตรมาส 2 มีอัตรากำไรขั้นต้น 18.83% ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันปีก่อนที่ 18.59% และใกล้เคียงกับไตรมาส 1 แม้ว่ายอดขายในไตรมาส 2 ลดลง 2.61% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในภาวะที่ต้นทุนเพิ่มทั้งค่าแรง ค่าเชื้อเพลิง และต้นทุนทางการเงิน
          นอกจากนี้ พบว่ามีบริษัทจดทะเบียนใน mai 9 บริษัทที่มียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2555 และช่วงเดียวกันของปี 2554 ได้แก่ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) บมจ.โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น (FOCUS) บมจ. แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ (HTECH) บมจ. มาสเตอร์ แอด (MACO) บมจ. มัลติแบกซ์ (MBAX) บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) บมจ. สาลี่อุตสาหกรรม (SALEE) บมจ. ทาพาโก้ (TAPAC) และ บมจ. ไทย เอ็น ดี ที (TNDT)
          ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 74 บริษัท ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2555 ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 316.07 จุด เพิ่มขึ้น 19.62% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 88,975.16 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 753.55 ล้านบาทต่อวัน โดยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนใน mai มียอดระดมทุนรวมแล้ว 2,032 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมระดมทุนเพิ่มอีกกว่า 500 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการระดมทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้มีบริษัทที่พร้อมเข้าซื้อขายในไตรมาส 3 อีก 3 บริษัท
*** HMPRO แกร่งรับสาขาใหม่
          บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล. เอเซียพลัส ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำของ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO จากเดิม ถือ เป็น ซื้อ เนื่องจากนโยบายเชิงรุกในการเปิดสาขาใหม่ในปี 2556 ถึง 8 แห่งมากกว่าที่คาดไว้เพียง 5 แห่ง (จากข้อมูลเชิงสถิติหาก HMPRO ประกาศขยายสาขามากกว่าคาด จะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขุ้นอย่างโดดเด่นหนือหุ้นตัวอื่นในกลุ่มฯ) ประกอบกับการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมในงวด 1H55 อยู่ที่ 8.6% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 6% ส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2555 และ 2556 ขึ้นอีก 5% และ 9% โดยกำไรของปี 2555 จะเติบโตสูงถึง 35% YoY ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่ม Fair Value จาก 11 บาท เป็น 13.90 บาท มี Upside 18% และปรับคำแนะนำขึ้นจาก “ถือ เป็น “ซื้อ”
**** EASTW โครงการใหม่เพียบ มี Upside 19%
         บล. เอเซียพลัส เปิดเผยถึง บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EASTW) ว่า กำไรงวด 2Q55 อยู่ที่ 379 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% YoY และ 17% QoQ ดีกว่าคาดถึง 34 ล้านบาทหรือ 10% จากผลของ Gross margin ที่สูงขึ้นกว่าคาด 1% โดยปรับขึ้นจาก 60.9% งวด 2Q54 เป็น 65.8% จาก
          1) การปรับราคาค่าน้ำดิบขึ้นราว 8%
          2) ต้นทุนน้ำดิบลดลงโดยลดปริมาณการซื้อน้ำจากเอกชน ซึ่งมีต้นทุนสูงที่ 6 บาท/ลบ.ม. เทียบกับต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำที่ 0.5 บาท/ลบ.ม.
          3) ค่าไฟลดลง (36% ของต้นทุนขาย) เพราะระหว่างงวดสามารถสูบน้ำดิบจากแหล่งที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ (อ่างหนองค้อ)
          ขณะที่รายการอื่นๆยังเป็นไปตามคาด โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 17% YoY จากปริมาณจำหน่ายน้ำดิบเพิ่มขึ้น 7.2% และการปรับเพิ่มราคาค่าน้ำ รวมทั้งรายได้จากน้ำประปาเพิ่มขึ้น 13% YoY ขณะที่ SG&A/Sales ปรับตัวลดลงจาก 12.6% งวด 2Q54 เหลือ 11.4% และสุดท้ายยังได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีที่ลดลงเหลือ 23% ทำให้ Net margin ปรับขึ้นโดดเด่นจาก 33.8% งวด 2Q54 เป็น 43%
          ส่วนภาพระยะยาวเชื่อว่าจะมีโครงการลงทุนใหม่ๆเกี่ยวกับน้ำ อาทิ การร่วมลงทุนกับพันธมิตรในธุรกิจประปาในพม่าเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจภายหลังเปิด AEC, การทำน้ำประปาจากน้ำทะเล และการทำน้ำใส (Clarified water) จำหน่ายให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมี Margin ค่อนข้างสูง และเป็นปัจจัยช่วยหนุนการเติบโตในอนาคตช่วง 2-3 ข้างหน้า
          โดยฝ่ายวิจัยยังแนะนำ “ซื้อ” (FV @ B12.5) มี Upside 19% พร้อมคาดปันผลงวด 1H55 อีก 0.15 บาท/หุ้น โดยคาดจะจ่ายราวต้นเดือน ก.ย. ทั้งนี้ Fair value ดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลบวกจกาการขอรับสิทธิ BOI ของท่อหนองปลาไหล 3 ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลปลายปี 2555 และเพิ่มมูลค่าพื้นฐานอีก 1.5 บาท/หุ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อ EASTW คือการขาดแคลนน้ำในภาคตะวันออกเชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อการใช้น้ำในปีนี้ เพราะปัจจุบันได้เริ่มใช้มาตรการรองรับแล้ว คือ การสูบน้ำจากอ่างสำรองที่มีปริมาณน้ำมาก (ประแสร์ จ.ระยอง) มาที่อ่างคลองใหญ่ ซึ่งช่วยบรรเทาปัญหาได้อย่างมาก
*** ROJNA กำไร Q2 สุดสวยปรับราคาเป้าหมายเป็น 10.90 บ.
          บล.บัวหลวง เปิดเผยถึงหุ้นบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/55 ที่ 704 ล้านบาท สูงขึ้น 297% YoY และ 108% QoQ ผลที่ออกมาสูงกว่าที่เราและตลาดคาดไว้มากที่ 217 ล้านบาท และ 179 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจาก ราคาที่ดิน 300 ไร่ โอนให้แก่ Gulf JP สูงกว่าคาดและบริษัทมีการบันทึกรายได้จากการโอนคอนโดในประเทศจีนอย่างที่ไม่ได้คาดมาก่อน
          โดยบริษัทรายงานรายได้จากการโอนที่ดินจำนวน 300 ไร่ ให้แก่ Gulf JP 1.2 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นราคา 4 ล้านบาทต่อไร่ สูงกว่าที่เราคาดไว้ 20% ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นของที่ดินสูงขึ้น 69% จากปกติที่ประมาณ 55-65%ROJNA รับรู้รายได้จากการโอนคอนโดเฟส 1 มูลค่า 443 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นของการโอนครั้งนี้อยู่ที่ 45.7%
          บริษัทบันทึกเงินชดเชยประกันภัยจากการหยุดชะงักของโรงงานไฟฟ้าจำนวน 273 ล้านบาทในไตรมาส 2/55 และจะได้รับเงินชดเชยต่อเนื่องจนโรงไฟฟ้าสามารถดำเนินงานได้เต็มตามปกติในปลายไตรมาส 4/55
          ทั้งนี้คาดว่าไตรมาส 2/55 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ถ้าหาก ROJNA ไม่ได้ขายโรงแรมที่ประเทศจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 นอกจากนี้ไม่คาดว่าบริษัทจะโอนที่ดินล็อตใหญ่อีกในครึ่งหลังของปี 2555 และมูลค่าจากคอนโดเฟส 1 เหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคอนโดเฟส 2 น่าจะเริ่มโอนได้ในปีหน้า
          ขณะเดียวกันได้ปรับเพิ่มประมาณการปี 2555 ที่ 49% เพื่อสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 2/55 ที่สูงกว่าคาด ดังนั้น ราคาเป้าหมายปี 2555 สูงขึ้นมาอยู่ที่ 10.90 บาท จาก 10.50 บาทนอกจากนี้ ราคาเป้าหมายปี 2555 มีอัพไซด์อยู่ 22% ยังคงแนะนำ ซื้อ
*** สินเชื่อแข็งแกร่ง หนุน GL ฟื้น

          บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) GL มีกำไรสุทธิงวด 2Q55 สูงกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ถึง 48% จากการฟื้นตัวของสินเชื่อที่กลับมาเติบโตแข็งแกร่ง ขึ้นทำสถิติสูงสุดในรายเดือน ส่งผลให้ ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการผลการดำเนินงานปี 2555 และ 2556 ขึ้นจากเดิมอีก 12.4% และ20.9% ตามลำดับ พร้อมปรับ Fair Value ขึ้นจากเดิม 40 บาท เป็น 45 บาท โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER ต่ำมากเพียง 7 เท่า (ค่าเฉลี่ย กลุ่มอยู่ที่ 12 เท่า) คาด Div.Yield สุงถึง 7-8% p.a.
*** SC ข่าวดีอื้อ ให้Fair Value ที่ 17.82 บ.
          บล.เอเซียพลัส เปิดเผยถึงบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC) ว่าภาพรวม 1H55 SC สามารถสร้าง Presale ได้ 4.45 พันล้านบาท โดยที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 5 โครงการ มูลค่า 4.32 พันล้านบาท สถานะ เมื่อสิ้น 2Q55 SC มีโครงการระหว่างพัฒนา 16 โครงการ มูลค่าคงเหลือสำหรับการขายอยู่ที่ 1.72 หมื่นล้านบาท และมี Backlog อยู่ที่ระดับ 5.1 พันล้านบาท แยกเป็นส่วนที่คาดว่าจะโอนฯ ใน 2H55 มูลค่าไม่น้อยกว่า 1.58 พันล้านบาท สำหรับแผนการขายในช่วง 2H55 SC จะเปิดโครงการใหม่รวม 10 โครงการ แยกเป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการมูลค่า 4.3 พันล้านบาท (เปิดไปแล้ว 2 โครงการได้แก่ Centricสาทร11, และ The Crest สุขุมวิท34 มูลค่ารวม 3.85 พันล้านบาท) และเป็นโครงการแนวราบอีก 7 โครงการ มูลค่ารวม 8.58 พันล้านบาท
          สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในระยะยาวจะอยู่ที่เฉลี่ย 15 – 18 โครงการต่อปี โดยที่ SC จะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเฉลี่ย 25 – 30 โครงการ ทั้งนี้ในปี 2555 SC มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มมูลค่า 5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการเปิ้ดโครงการใหม่ในปี 2556 ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วจนถึงปัจจุบันประมาณ 3 พันล้านบาท
          ส่วนในงวด 2H55 ถือเป็นช่วงเวลาที่มีการโอนฯ สูงสุดของ SC เฉพาะอย่างยิ่งในงวด 4Q55 โดยที่ SC มีคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า Backlog 1.76 พันล้านบาท ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนฯ โดยคาดว่าจะโอนอยู่ในช่วง 1.5 – 1.6 พันล้านบาท ขณะที่โครงการแนวราบที่ SC มีการพัฒนาแบบสร้างเสร็จพร้อมโอนฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 7 โครงการ ซึ่งจะมีมูลค่าสต๊อกบ้านที่สร้างเสร็จช่วงเปิดโครงการประมาณ 3 พันล้านบาท และยังมีสต๊อกบ้านในโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเดิม (เฉพาะแนวราบ 11 โครงการ) อีกประมาณ 5-6 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อนำสต๊อกบ้านแนวราบดังกล่าว มารวมกับ Backlog ที่จะถึงกำหนดโอนฯ ในงวด 2H55 ซึ่งครอบคลุมเป้าหมายการบันทึกรายได้ปี 2555 ไปแล้วถึง 63% คาดว่าจะทำให้เป้าหมายการบันทึกรายได้ของ SC เป็นจริงได้ไม่ยาก ฝ่ายวิจั้ยจึงยังคงระดับประมาณการกำไรงวดปี 2555 และ 2556 ไว้ตามเดิม โดยคาดว่าในงวดปี 2555 SC จะมีกำไร 1.46 พันล้านบาท เพิ่ม 34.49% และเติบโตต่อเนื่องอีก 21.88% สู่ระดับ 1.78 พันล้านบาทในปี 2556
          สถานะของ SC ปัจจุบันอยู่ในช่วงที่พร้อมสำหรับการเติบโตในอัตราที่สูงต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการสนับสนุนทั้งความพร้อมของสินค้า, งบดุลที่แข็งแกร่ง และ โครงสร้างรายได้ที่เหมาะสม จึงถือเป็น Growth Stock ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน แนะนำ ซื้อ กำหนด Fair Value ที่ PER 8 เท่า หรือ 17.82 บาท