พฤหัสฯ 23 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
SEAFCO ติดปีก

* เตรียมปันผล ผถห. หลังกำไรอื้อซ่า
ได้เวลา SEAFCO ติดปีกบิน "ณรงค์ ทัศนนิพันธ์" บอสใหญ่แย้มมีลุ้นจ่ายปันผลงวดปี 55 หลังผลงานครึ่งปีแรกพลิกมีกำไรแล้ว 58 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนขาดทุน 58.67 ล้านบาท และจ่ายปันผลรอบสุดท้ายตั้งแต่ปี 52 ล่าสุด เพิ่งยื่นประมูลงานมูลค่างาน 500-600 ล้านบาท พอที่จะทำให้ Backlog สะสมจนถึงสิ้นปีอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ด้านโบรกเกอร์แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเหมาะสมสูงสุด 5.87 บาท
* โชว์กำไรครึ่งปีแรก 58.10 ลบ. ลั่นมีลุ้นจ่ายปันผลงวดปี 55
          นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) (SEAFCO) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ผลงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 58.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดครึ่งปี 2554 ที่ทำได้เพียง 9.6 ล้านบาท โดยกำไรครึ่งปีแรกนี้ ถือว่าเป็นพลิกจาก 2 ปีที่ผ่านมาที่บริษัทฯ มีผลขาดทุน โดยปี 2554 ขาดทุน 58.67 ล้านบาท และปี 2553 ขาดทุน 58.88 ล้านบาท
          ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในงวดผลประกอบการปี 2555 นี้ เพราะบริษัทฯ ยังมีกำไรสะสมอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นกำไรสะสมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่สามารถจ่ายได้ในปีที่แล้วเพราะบริษัทฯ ขาดทุน แต่มาปีนี้แนวโน้มผลดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้ตั้งแต่งวดครึ่งปีแรก จึงมั่นใจว่าจะจ่ายปันผลได้ ซึ่งนโยบายของบริษัทฯ จ่ายไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ
          "กำไรสะสมเรามีอยู่สูงพอสมควร แต่ปีที่แล้วเราขาดทุนจึงจ่ายปันผลไม่ได้ เราก็เก็บเงินไว้ใช้ขยายธุรกิจ แต่พอมาปีนี้มีกำไร เราก็ต้องจ่ายปันผลออกไป เพราะผมเองก็เป็นผู้ถือหุ้น ผมก็อยากได้ปันผลเหมือนกัน ซึ่งถ้าจ่ายก็คงจ่ายครั้งเดียวครับ ไม่มีระหว่างกาล ก็คงต้องประชุมกับบอร์ดตอนสิ้นปี" นายณรงค์ กล่าว
          อนึ่ง บริษัท SEAFCO จ่ายปันผลไปครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2552 จำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น จ่ายเมื่อวันที่ 7 พ.ค.2553
* ลั่นกำไรครึ่งปีหลังสูงกว่าครึ่งปีแรก หลังได้งานประมูลเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุดเพิ่งยื่นไปอีก 500-600 ลบ.
          นายณรงค์ กล่าวมั่นใจว่า ในงวดครึ่งหลังปี 2555 บริษัทจะทำกำไรสุทธิได้มากกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งอยู่ที่ 58.10 ล้านบาท หลังบริษัทฯ มีแนวโน้มได้งานประมูลเพิ่ม ซึ่งล่าสุด เพิ่งยื่นประมูลไปมูลค่างาน 500-600 ล้านบาท และนอกเหนือจากงานนี้ ก็จะยื่นประมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะทำให้มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) สะสมจนถึงสิ้นปีอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท โดยล่าสุดมี Backlog อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท
          นอกจากนี้ งานที่บริษัทฯ เข้าประมูลก็มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ในระดับที่ดี เพราะบริษัทฯ จะรับเฉพาะเป็นค่าแรง จากเดิมที่จะต้องรับจัดการค่าวัสดุด้วย แต่ตอนนี้ไม่ได้รับค่าวัสดุ ทำให้ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาดังนั้นจึงคาดว่า Gross margin น่าจะอยู่ในระดับมากกว่า 15% สูงกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5% กว่า
          "แม้ว่ารายได้ครึ่งปีหลัง อาจจะยุบนิดหน่อยเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เพราะลูกค้าที่จ้างเราเขาซื้อวัสดุเอง เราเลยได้แค่ค่าจ้าง แต่ก็ดีเพราะเราไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัสดุ Gross margin ก็จะดีขึ้น ปีนี้ 2 หลักกลาง ๆ ก็คิดว่า 15% ขึ้นไป" นายณรงค์ กล่าว
* ลั่นกำไรครึ่งปีหลังสูงกว่าครึ่งปีแรก ล่าสุดเพิ่งยื่นประมูลไปอีก 500-600 ลบ.
          นายณรงค์ กล่าวด้วยว่า มั่นใจว่าในงวดครึ่งหลังปี 2555 บริษัทจะทำกำไรสุทธิได้มากกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งอยู่ที่ 58.10 ล้านบาท หลังบริษัทฯ มีแนวโน้มได้งานประมูลเพิ่ม ซึ่งล่าสุด เพิ่งยื่นประมูลไปมูลค่างาน 500-600 ล้านบาท และนอกเหนือจากงานนี้ ก็จะยื่นประมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะทำให้มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) สะสมจนถึงสิ้นปีอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท โดยล่าสุดมี Backlog อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท
          นอกจากนี้ งานที่บริษัทฯ เข้าประมูลก็มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ในระดับที่ดี เพราะบริษัทฯ จะรับเฉพาะเป็นค่าแรง จากเดิมที่จะต้องรับจัดการค่าวัสดุด้วย แต่ตอนนี้ไม่ได้รับค่าวัสดุ ทำให้ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาดังนั้นจึงคาดว่า Gross margin น่าจะอยู่ในระดับมากกว่า 15% สูงกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5% กว่า
          "แม้ว่ารายได้ครึ่งปีหลัง อาจจะยุบนิดหน่อยเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เพราะลูกค้าที่จ้างเราเขาซื้อวัสดุเอง เราเลยได้แค่ค่าจ้าง แต่ก็ดีเพราะเราไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาวัสดุ Gross margin ก็จะดีขึ้น ปีนี้ 2 หลักกลาง ๆ ก็คิดว่า 15% ขึ้นไป" นายณรงค์ กล่าว
* ได้งานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายไปสมุทรปราการ มูลค่า 440 ลบ.
          เมื่อเร็วๆ นี้ SEAFCO ได้แจ้งข่าวดีว่า ได้รับงานใหม่ในไตรมาส 3 โดย บริษัทได้รับงานเสาเข็มเจาะแบบกลมและแบบเหลี่ยม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จากสถานีเดิมไปสมุทรปราการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย มูลค่า 440 ล้านบาท โดยผู้ว่าจ้าง (ผู้รับเหมาหลัก) คือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ระยะเวลาแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2556
* บล.เอเซียพลัส แนะนำซื้อ SEAFCO ให้ราคาเหมาะสม 5.87 บาท
          ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส วิเคราะห์ SEAFCO จากกรณีการรับงานเสาเข็มเจาะ โครงการทางรถไฟสายสีเขียว มูลค่า 440 ล้านบาท ต่อจาก CK ซึ่งเป็นงานต่อเนื่อง หลังจากเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ว่า SEAFCO ได้รับงานเสาเข็มอาคารจอดรถและศูนย์ซ่อมในโครงการเดียวกัน มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน SEAFCO มี Backlog ในมือ 1.6 พันล้านบาท สำหรับรองรับการสร้างรายได้ไปจนถึงกลางปี 2556 โดยโครงสร้าง Backlog ปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยประเมินว่า Gross margin น่าจะอยู่ในระดับมากกว่า 15% เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับปี 2554 ที่มี gross margin เฉลี่ยเพียง 5.59% เนื่องจากสัดส่วน Backlog มากกว่า 60% เป็นงานที่ SEAFCO รับเฉพาะค่าแรง คือ งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีเขียว ซึ่งให้ gross margin สูงถึง 18% ขณะที่ Backlog อีก 30% เป็นงานเสาเข็มอาคารทั่วไป มี gross margin ในช่วง 10-15% ส่วนงานโครงสร้างโยธาที่มี gross margin 0% เหลืออีกไม่ถึง 10% จะทยอยส่งมอบจบภายในปีหน้า
          ทั้งนี้ ผลประกอบการของ SEAFCO จะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างชัดเจนตั้งแต่งวด 3Q55 เป็นต้นไป จากการเดินหน้ารับรู้รายได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หลังผ่านพ้นช่วงของการเคลื่อนย้ายและติดตั้งเครื่องจักรไปแล้วในงวด 2Q55 บวกกับกำไรพิเศษจากการโอนกลับรายการหนี้สงสัยจะสูญ ของลูกหนี้บริษัท เอส-เซเว่น เข้ามาในเดือน ก.ค. จำนวน 7.1 ล้านบาท ขณะที่การรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะเกิดขึ้นในช่วง 4Q55 ถึง 2Q56 หนุนให้ผลกำไรในช่วงเวลาดังกล่าวของ SEAFCO เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ทั้งนี้ยังไม่รวมถึง งานเสาเข็มอาคารทั่วไป ที่ SEAFCO ยังมีรับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 1H55 SEAFCO ได้ลงทุนซื้อรถเครนและชุดทำเสาเข็มขนาดเล็กเพิ่มเข้ามาอีก 2 ชุด สำหรับเข้าไปรับงานอาคารขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีการเปิดประมูลเป็นจำนวนมาก
          โดยการรับงานล่าสุด ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถือว่ามีนัยสำคัญอย่างมากต่อผลประกอบการในช่วง 1H56 ของ SEAFCO ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2556 ขึ้นอีก 11% เป็น 141 ล้านบาท ขณะที่ปี 2555 ยังคงประมาณการกำไรไว้เท่าเดิมที่ 122 ล้านบาท โดยแนวโน้มธุรกิจที่สดใสมากขึ้น ฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่ม Fair Value ของ SEAFCO ขึ้นจากเดิมที่กำหนดโดยอิง PBV 1.5 เท่า เป็น 2.0 เท่า จาก Historical PBV ช่วงปี 2549-2550 ที่ SEAFCO มีฐานกำไรในระดับ 30 ล้านบาท/ไตรมาส จะให้ราคาเหมาะสมเพิ่มจาก 4.40 บาท เป็น 5.87 บาท เทียบเท่า PER ปี 2556 ที่ 9 เท่า และยังคาดหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลได้อีก 4% แนะนำ ซื้อ
* บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เล็งปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 55 ขึ้นไปอีก หลังกำไรสุทธิ 2Q55 ออกมาดี
          ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำซื้อ SEAFCO หลังพบกำไรสุทธิ 2Q55 เป็น 20 ล้านบาท ดีกว่าคาดไว้ที่ 12 ล้านบาท และคิดเป็นการฟื้นตัวดีขึ้นเทียบ y-o-y ที่มีกำไรสุทธิเพียง 2 ล้านบาท แรงผลักดันสำคัญมาจากอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 14.8% เทียบกับ y-o-y ที่ 9.3% เพราะงานก่อสร้างที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำนั้นเหลือน้อยลง แม้ว่ารายได้จากการก่อสร้างจะลดลง 10% y-o-y เป็น 341 ล้านบาทก็ตาม สถานการณ์ใน 2Q55 คือ มีวันหยุดมาก เช่นวันหยุดสงกรานต์ อีกทั้งบริษัทกำลังอยู่ในช่วงการเคลื่อนย้ายเครื่องมือและเครื่องจักร เพื่อไปทำงานรถไฟฟ้า กำไรสุทธิ 2Q55 จึงลดลง 46% q-o-q ซึ่งมีกำไรสุทธิที่มากถึง 38 ล้านบาท ซึ่งไตรมาสนี้มีรายได้จากการก่อสร้างและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงมากเป็น 468 ล้านบาท และ 15.5% ตามลำดับ
          ส่วนกำไรสุทธิสะสม 1H55 เป็น 58 ล้านบาท เติบโตถึง 504% y-o-y แรงผลักดันสำคัญมาจากอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวขึ้นเป็น 15.2% และค่าใช้จ่ายขาย-บริหารลดลง 22% y-o-y แม้ว่ารายได้จากการก่อสร้างเพิ่มขึ้นไม่มาก 2% y-o-y ก็ตาม กำไรสุทธิ 1H55 เป็นสัดส่วนถึง 70% เทียบกับประมาณการกำไรสุทธิปี 55 ที่ 82 ล้านบาทแล้ว
          งบดุล ณ ปลาย 2Q55 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนทรงตัวเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.9 เท่า มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 2.62 บาท ด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1H55 ดีขึ้นเป็น +72 ล้านบาท  เทียบกับ y-o-y ที่ -25 ล้านบาท
          เราคาดว่ากำไรสุทธิ 3Q55 และ 4Q55 จะมีผลการดำเนินงานดีกว่า 2Q55 เนื่องจากได้มีการก่อสร้างงานรับเหมาช่วงรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่แล้ว ขณะที่งานนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง (รับแต่ค่าแรงไม่ได้จัดซื้อวัสดุก่อสร้าง)
          สำหรับความคืบหน้าการประมูลงานที่บริษัทได้แจ้งตลาดฯตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบันถือว่าสูงเป็น 1.3 พันล้านบาทแล้ว จากประมาณการทั้งปีที่เราคาดว่าบริษัทจะประมูลงานได้ 1.9 พันล้านบาท งานล่าสุดที่แจ้งคือ งานเสาเข็มเจาะ อาคารอุบาสิกา วัดธรรมกาย และงานเสาเข็มเจาะอาคารจอดรถไฟฟ้าและศูนย์ซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีเขียวไปสมุทรปราการ ซึ่งรับเหมาช่วงมาจาก CK มูลค่ารวมเป็น 355.5 ล้านบาท เราคาดว่าในไม่ช้านี้บริษัทจะแจ้งข่าวดีในการได้งานเสาเข็มเจาะสำหรับทางยกระดับสำหรับสายสีเขียวอีก ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับที่กล่าวข้างต้น แต่เป็นงานคนละส่วนมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท จนมาถึงวันนี้แล้ว เราคาดว่าบริษัทจะสามารถทำรายได้ปีนี้ตามประมาณการคือ 1.8 พันล้านบาท สืบเนื่องจากงานก่อสร้างในมือ (Backlog) ขณะนี้มีอยู่ 700-800 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 600 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้ 1H55 แล้ว จะมีสัดส่วนถึง 77% จึงถือว่ามีความมั่นคงดี
          อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ ซื้อ แม้คาดว่าปีนี้บริษัทจะพลิกมามีกำไรถึง 82 ล้านบาทเทียบกับปี 54 ที่เป็นขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท และปี 55 เติบโตต่อเนื่องได้อีก 21% y-o-y เป็น 99 ล้านบาท แต่เรามีโอกาสที่จะปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 55 ขึ้นไปอีก หลังกำไรสุทธิ 2Q55 ออกมาดีกว่าคาด แต่รอประชุมกับบริษัทก่อน กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 4.56 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/BV ปี 55 ที่ 1.6 เท่า หรือเทียบเท่า P/E ปี 55 ที่ 15.5 เท่า และ P/E ปี 56 ที่ 12.8 เท่า ทั้งนี้ได้มีสมมติฐานให้บริษัทเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมแล้ว ตามที่บริษัทได้มีการขอไว้ล่วงหน้าเป็นการทั่วไป (General Mandate) ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 55 ไม่มากเป็น 1.6% หลังไม่ได้จ่ายมา 2 ปีก่อนหน้า