พฤหัสฯ 25 พ.ย.--eFinanceThai.com :
ดักซื้อหุ้นยานยนต์
**รับMotor Expo 2010
          วงการ เชียร์ดักซื้อหุ้นยานยนต์ รับ Motor Expo 2010 ต้นเดือนหน้า ระบุสถิติย้อนหลัง 9 ปี ช่วงก่อนและหลังเปิดงานราคาหุ้นวิ่งตอบรับ ขณะที่บิ๊ก SAT คาดปีนี้รายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังออร์เดอร์ชิ้นส่วนยานยนต์ทะลัก โบรกฯเชียร์ SAT, STANLYและ AH เด่นสุด
          มหกรรมยานยนต์ มอเตอร์ เอ็กโป 2010 ที่กำลังจะมาถึง ในวันที่ 1 – 12 ธ.ค. 2553 นี้เป็นที่คาดการณ์กันว่าจะช่วยกระตุ้นยอดซื้อรถยนต์ภายในประเทศปลายปีให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังคาดว่าจะมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานราว 1.5 – 2.3 ล้านคน พร้อมคาดว่ายอดขายอาจเข้าใกล้หรือสูงกว่าที่ทางโตโยต้าตั้งเป้าไว้ที่ 750,000 คัน ด้านวงการเชียร์ดักซื้อหุ้นยานยนต์ ที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากงานดังกล่าว
***ASP รับมหกรรมมอเตอร์ เอ็กโป 2010 หนุนกลุ่มยานยนต์เชียร์ SAT, STANLYเด่นสุด***
          บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส (ASP)ระบุว่าฝ่ายวิจัยได้ศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกลุ่มยานยนต์ย้อนหลัง 9 ปี ในช่วงก่อนและหลังวันเปิดงานมอเตอร์ เอ็กโป พบว่าราคาหุ้นในกลุ่มยานยนต์ตอบรับเชิงบวกต่อมหกรรมดังกล่าว โดย SETAUTO จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 1.7% เมื่อซื้อก่อนงานเริ่มราว 1 สัปดาห์ ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 89% หรือ 8 ใน 9 ปี (ไม่รวมปีที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2551 เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบอย่างหนักเท่านั้น ส่งผลให้ตกต่ำกว่า 10%)
          ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นราว 1 สัปดาห์ แนะนำเก็งกำไรภายใต้ Theme Motor Expo Palys โดยดักซื้อหุ้นยานยนต์ ณ ตอนนี้ ก่อนที่งานจะเริ่มราว 1 สัปดาห์พอดี โดยหุ้นแนะนำ 1) Quant & Fundamental Picks : SAT, AH 2) Pure Fundamental Picks : STANLY และ 3) Pure Quant Pick : IHL
***บล.ฟิลลิป มองแนวโน้มอุตฯรถยนต์ในปีหน้าโตต่อเนื่องTop pick คือ SAT***
          บทวิเคราะห์บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)ระบุว่า แนะนำ “ลงทุนปกติ”ในหุ้นกลุ่มยานยนต์ แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ โดยเฉพาะรถกระบะ อย่างไรก็ตามหากดูยอดขายรถยนต์ของเดือนต.ค.53 รถเพื่อการพาณิชย์นั้นกลับปรับตัวสูงขึ้น7.30%MoM และ 29.57%YoY จำนวน 39,551 คัน ส่งให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ของเดือนต.ค. 53 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 5.50% MoM และ 35.18%YoY จำนวนทั้งสิ้น 72,012 คัน
          ด้วยปัจจัยทางสภาพเศรษฐกิจ แนวโน้มราคาผลผลิตทางการเกษตร ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ผลักดันให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 ยอดขายรถยนต์ในประเทศปรับตัวสูงขึ้นแล้วกว่าเท่าตัวจาก 419,755 คันของช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 628,361 คันเพิ่มขึ้น 49.70%YoY
         นอกจากนี้แล้วในช่วงต้นเดือนธ.ค. ยังมีงาน Motor Expo ที่จะมีรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น จะช่วยช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ภายในประเทศให้เติบโต เข้าใกล้หรือสูงกว่าที่ทางโตโยต้าตั้งเป้าไว้ที่ 750,000 คัน (สูงขึ้นเทียบกับในปี 2553 ที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศจำนวน 548,871 คัน)
          สำหรับภาคการผลิตรถยนต์ในเดือนต.ค. 53 จำนวน 152,689 คันเพิ่มขึ้น 7.92%MoM และ32.72%YoY ส่งให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 มีจำนวนแล้ว 1,349,919 คันเพิ่มขึ้น 76.08%YoY และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่การผลิตทั้งปีนี้จะปรับสูงขึ้นเหนือเป้าที่ทาง ส.อ.ท. ตั้งเป้าเดิมไว้ที่ 1,600,000 คัน เพิ่มขึ้นราว 60%YoY จาก 999,378 คันในปี 2553 ส่วนแนวโน้มของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีหน้านั้นทางฝ่ายคาดจะยังเติบโตต่อเนื่องจากการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น Ecocar ของค่าย Honda รวมถึงการเปลี่ยนโมเดลจากหลายค่ายในส่วนของรถเพื่อการพาณิชย์
          สำหรับกลุ่มยานยนต์นั้นทางฝ่ายยังคงแนะนำ “ลงทุนปกติ” โดยมี Top pick คือ SAT(ราคาพื้นฐานปี 2554 อ้างอิง P/E 13 เท่าที่ 33.50 บาท)
***บล.ทรีนีตี้ มองยอดผลิตรถยนต์ปีนี้พุ่งสูงแตะ 1.65 ล้านค้น แนะซื้อ AH***
          บทวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ น่าจะพุ่งขึ้นสูงถึงระดับ 1.65 ล้านคัน เติบโต 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่คาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ในประเทศน่าจะยังคงปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 1.8 ล้านคันในปีหน้า และสูงขึ้นถึง 2.0 ล้านคันได้ในปี 2555 โดยมี Eco Car เป็น Driver สำคัญสำหรับการเร่งตัวของยอดการผลิตรถยนต์ในช่วงต่อจากนี้ โดยในปี 54 Honda จะออกรถ Eco Car ออกมา ขณะที่ Toyota, Mitsubishi และ Suzuki วางแผนที่จะปล่อยรถ Eco Car ออกมาในปี 55
           ทั้งนี้ แนะนำซื้อ AH แม้ผลประกอบการไตรมาส 3/53 ต่ำกว่าคาดจากรายการพิเศษ ทำให้ปรับลดประมาณการณ์กำไรทั้งปีลงเล็กน้อยจาก 392 ล้านบาท เหลือ 367 ล้านบาท หรือลดลง 6.4% แต่ยังคงประมาณการณ์กำไรปี 54 ที่ 540 ล้านบาท เติบโต 47% โดยยังคงเชื่อว่าผลการดำเนินงานของ AH ยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) โดยคาดยอดขายเติบโต 15% ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม ขณะที่ Gross Margin น่าจะปรับตัวดีขึ้น จาก Economy of Scales รวมถึงการที่จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมาค่อนข้างมากในปีหน้าทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น High Margin อย่าง Jig & Die สร้างยอดขายได้มากขึ้น ส่งผลดีต่อ Gross Margin โดยรวม
           AH มีภาพการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน และมองว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังน่าจะได้รับการ Re-rated ขึ้นไปได้อีก ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงค่อนข้างถูก ซื้อขายกันที่ระดับ 7.8 เท่า PER ของปี 54 และยังคงต่ำกว่า Book value และให้ dividend yield ระดับ 4% คงคำแนะนำซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย 24 บาท (อิง 12 เท่า PER ปี 54)
***บล.ยูไนเต็ด แนะซื้อ STANLYมองกำไรฟื้นตัวโดดเด่นให้ราคาเป้าหมาย 240 บาท ***
          บทวิเคราะห์บล.ยูไนเต็ด ระบุว่า แนะนำซื้อ STANLY ให้ราคาเป้าหมาย 240 บาท บริษัทมีผลประกอบการ Q2/54 (รอบบัญชี ก.ค.-ก.ย 53)กำไรสุทธิ 365 ล้านบาท ลดลง 0.5%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 74%YoY สำหรับกำไรใน H2/54 เท่ากับ 732 ล้านบาท ฟื้นตัวโดดเด่นจาก 301 ล้านบาทใน H2/53
          แนวโน้มในไตรมาสต่อไปคาดว่ารายได้ทรงตัวในระดับสูง และอัตรากำไรขั้นต้นยังสามารถทรงตัวที่ 25%ได้ เนื่องจากแม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบจะเริ่มสูงขึ้น แต่ได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ และใช้กำลังการผลิตเต็มที่ทำให้อัตรากำไรยังดีอยู่ ส่งผลให้คาดว่าในรอบบัญชี เม.ย.53-มี.ค.54 จะมีกำไรสุทธิ 1,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53%YoY เนื่องจากยอดขายในกลุ่มลูกค้ารถจักรยานยนต์มีแนวโน้มสดใสจากที่ค่ายฮอนด้า และ คาวาซากิ มีแผนเพิ่มสายการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ในไทยเพื่อส่งออกมากขึ้น
          ทั้งนี้ บริษัทเตรียมการลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาทในปี 53 เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สภาอุตสาหกรรมคาดว่าจะมียอดผลิตโตถึง 1.6 ล้านคัน และในระยะยาวเตรียมวางแผนการลงทุนในต่างประเทศซึ่งจะช่วยขยายตลาดในประเทศที่มีความต้องการรถยนต์สูง และจากภาพรวมอุตสาหกรรมที่สดใส และผลประกอบการเติบโตโดดเด่น ประเมินราคาเป้าหมายอิง P/E 12x จะได้ราคา 240 บาท มี Upside gain 25% เราจึงแนะนำ ซื้อ
*** SAT คาดปีนี้รายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังออร์เดอร์ชิ้นส่วนยานยนต์ทะลัก ***
           นายวีระยุทธ กิตะพาณิชย์ กรรมการ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน 47% มาจากที่บริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อที่ได้มาจนถึงช่วงสิ้นปี พร้อมทั้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทฯในปีนี้จะเป็นปีที่มีผลประกอบการสูงสุด หลังจากที่ได้ตั้งบริษัทฯมา
          สำหรับแนวโน้มรายได้ไตรมาส 4/2553 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/2553 แต่คาดว่าอัตรากำไรน่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากในไตรมาส 4 นี้บริษัทฯได้มีการปรับราคาขายกับลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 1-2% โดยคาดว่าน่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 21%
          ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปีหน้าไว้ที่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่คาดว่าจะมียอดการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านคัน จากในปีนี้ที่คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ 1.65 ล้านคัน พร้อมทั้งบริษัทฯจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีนี้ที่ระดับ 21% พร้อมทั้งบริษัทฯมีแผนจะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดค่าใช้จ่าย ประกอบกับราคาที่บริษัทฯจะขายให้กับลูกค้าจะเป็นราคาขายใหม่ที่บริษัทฯได้มีการปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2553
          สำหรับงานชิ้นส่วนของอีโคคาร์ บริษัทฯได้ออร์เดอร์จากผู้ผลิตมาแล้ว จำนวน 5 ราย ที่ได้รับใบอนุญาตให้ผลิตรถยนต์อีโคคาร์ในประเทศไทย
          พร้อมคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในปีหน้าจะเติบโตจากปีนี้ประมาณ 6-8% สำหรับสาเหตุที่อัตรากำไรไม่สามารถเติบโตตามยอดขายได้ เนื่องจากในปีหน้าบริษัทฯต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากขณะที่ออเดอร์ในปีหน้าของบริษัทฯที่ได้มาแล้วจากคูโบต้า มียอดขายประมาณ 700-750 ล้านบาท
          ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนในช่วง 3 ปี (2553-2555) โดยในปีนี้บริษัทฯได้ใช้งบลงทุนไปแล้วประมาณ 1 พันล้านบาท อีกทั้งในปีหน้าบริษัทฯมีแผนที่จะใช้งบลงทุนอีก 1 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นลงทุนขยายไลน์การผลิตเพลาข้าง (Axle Shaft) โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท และแบ่งเป็นใช้ซื้อเครื่องจักรเพื่อใช้ขยายกำลังการผลิต สำหรับแหล่งเงินลงทุนของบริษัทฯจะมาจากแหล่งเงินกู้ประมาณ 60% และกระแสเงินสด และเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนก่อนหน้านี้ในสัดส่วนรวมกันประมาณ 40%
          ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาเพื่อเข้าเป็นที่ปรึกษาให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในอินเดีย โดยคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในกลางปีหน้า ทั้งนี้หากบริษัทฯสามารถเข้าเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทดังกล่าวได้ จะทำให้บริษัทฯมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษา สำหรับมูลค่างานในการเข้าเป็นที่ปรึกษายังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการพูดคุย
***อนึ่งก่อนหน้านี้ส.อ.ท. คาดยอดผลิตรถยนต์สิ้นปีนี้ โตแตะ 1.7 ล้านคัน***
          นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ประมาณการภาพรวมยอดผลิตรถยนต์ในสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1.7 ล้านคัน จากเดิมที่คาดจะมียอดผลิตรถยนต์เพียง 1.6 ล้านคัน เนื่องจากในเดือนตุลาคม 2553 มียอดผลิตรถยนต์สูงสุดในรอบ 50 ปี อยู่ที่ 152,689 คัน