จันทร์ 22 พ.ย.--eFinanceThai.com :
BANK เนเวอร์เซย์ดาย
BANK เนเวอร์เซย์ดาย
* เชียร์ Overeweight หลังสินเชื่อกระฉูด
เซียนหุ้น แนะลุยหุ้นแบงก์ หลังแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อแจ่ม เผย14 แบงก์พาณิชย์ โชว์สินเชื่อ 10 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 3.63 แสนลบ. จากสิ้นปีก่อน ที่มีจำนวน 6.15 ล้านล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 6.29 % ส่วนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 7.68 หมื่นลบ.จากเดือนก่อน เชียร์ Overweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่ พัฒนสิน ชู KBANK- BBL -SCB เป็น top picks ของกลุ่ม ฟาก เอเซียพลัส ชี้ สินเชื่อและกำไร กลุ่มแบงก์ จะ peak สุดใน 4Q53 ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาด กำไรสุทธิปี 54 กลุ่มแบงก์ โตน่าประทับใจ 16%
สินเชื่อรวมกลุ่มแบงก์ 10 เดือนแรกปีนี้ น่าประทับใจ หลังเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขณะที่สภาพคล่องดอกเบี้ยไม่อยู่ในอัตราสูงเกินไป และแนวโน้มยังอยู่ในทิศทางที่ดี1
*เซียนหุ้น แนะลุยหุ้นแบงก์ หลังแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อแจ่ม
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. คันทรี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของกลุ่มสถาบันการเงินในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้เติบโตออกมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส4/53 จะยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากในช่วงไตรมาสดังกล่าวเป็นฤดูกาลของการปล่อยสินเชื่อของธนาคารอยู่แล้ว หลังจากผู้ประกอบการต้องการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในช่วงสิ้นปี ประกอบกับยังได้รับอานิสงส์จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าหลังระดับน้ำลดลงแล้วจะมีประชาชนเข้ามาขอสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อไปซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรืออุปกรณ์ เครื่องใช้ที่เกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการภาคการส่งออกให้ชะลอตัวลง เพราะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารแต่ละแห่ง คาดว่าจะชะลอลงมาจากปี53 โดยเบื้องต้นประเมินไว้ว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อรวมปี54 เติบโต 5-6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้ที่เติบโต 9-10% โดยเป็นค่าเฉลี่ยการเติบโตของตัวเลขการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารแต่ละแห่ง โดยเป็นผลมาจากค่าเงินมีทิศทางแข็งค่าขึ้นในช่วงปีหน้า ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่าง จีน และประเทศแถบยุโรป
ขณะเดียวกัน การปล่อยสินเชื่อของธนาคารของภาครัฐที่เร่งออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำนั้น เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์บ้าง แต่ไม่ได้ถือว่ามีนัยสำคัญ เนื่องจากการแข่งขันของธนาคารคงจะไม่เน้นหนักไปถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงอย่างเดียว แต่คงจะต้องดูเกี่ยวกับคุณภาพของลูกค้าด้วยว่ามีความสามารถในด้านการชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดเป็นหนี้เสียได้ในอนาคต
ด้านกลยุทธ์การลงทุน หากจะพิจารณาลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร ควรเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ 4 ตัว ได้แก่ BBL(ราคาพื้นฐาน 182 บาท) SCB(ราคาพื้นฐาน 125 บาท) KTB(19.80 บาท) KBANK(ราคาพื้นฐาน 142 บาท ) โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีพื้นฐานทางด้านการเงินที่มีความแข็งแกร่งมากพอสมควร ทำให้การขยายตัวของผลประกอบการจึงมีสูงกว่าหุ้นตัวอื่นๆที่ทำธุรกิจเดียวกัน
* KBANK เผย14 แบงก์พาณิชย์ โชว์สินเชื่อ 10 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 3.63 แสนลบ. จากสิ้นปีก่อน ที่มีจำนวน 6.15 ล้านล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 6.29 % ส่วนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 7.68 หมื่นลบ.จากเดือนก่อน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เดือน ต.ค. 53 สินเชื่อเพิ่มด้วยขนาดที่มากกว่าการเพิ่มขึ้นของเงินฝาก โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 ยอดเงินให้สินเชื่อสุทธิ (หักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) ของ 14 ธนาคารพาณิชย์ไทย มีจำนวน 6.15 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.68 หมื่นล้านบาท จาก 6.07 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 (จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในทุกกลุ่มธนาคาร นำโดยกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่) ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีแรงส่งของการขยายตัวแม้ด้วยอัตราที่ชะลอลง ขณะที่ธนาคารพาณิชย์น่าจะเร่งขยายสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปีเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้สำหรับทั้งปี
ด้านยอดเงินฝาก ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 มีจำนวน 6.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.43 หมื่นล้านบาท จาก 6.53 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 (ตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในกลุ่มธนาคารขนาดกลางและกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ขณะที่เงินฝากในกลุ่มธนาคารขนาดเล็กลดลง) และเงินกู้ยืม เพิ่มขึ้น 8.52 หมื่นล้านบาท จาก 8.97 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน มาที่ 9.82 แสนล้านบาท อันเป็นผลจากการออกหุ้นกู้เสนอขายในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ตลอดจนการที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ยังคงมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากและตั๋วแลกเงินที่ให้ผลตอบแทนจูงใจ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเสริมสภาพคล่องไว้รองรับการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเพื่อรับมือกับภาวะการแข่งขันกับทางเลือกการออมอื่นๆ ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงของแหล่งที่มาและใช้ไปของเงินทุนดังกล่าว ที่แม้สินเชื่อจะเพิ่มขึ้นด้วยขนาดที่มากกว่าเงินฝาก แต่เงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น ก็ได้ช่วยชดเชยและสนับสนุนให้สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือนกันยายน 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
สินทรัพย์สภาพคล่องในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ไทยตามความหมายกว้าง (รวมเงินสด เงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้น และเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์) เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดือนก่อน โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 สภาพคล่องดังกล่าวมีจำนวน 2.26 ล้านล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 1.05 แสนล้านบาท จาก 2.16 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นในองค์ประกอบอย่างเงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้นและเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์ ขณะที่เงินสดลดลงจากเดือนก่อน ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องดังกล่าว สะท้อนการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องในทุกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 : สภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552 สินเชื่อเพิ่มมากกว่าเงินฝาก แต่สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืม ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ต่างจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 เงินให้สินเชื่อสุทธิ (หักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) เพิ่มขึ้น 3.63 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตร้อยละ 6.29 จาก ณ สิ้นปี 2552 ขณะที่เงินฝากเพิ่มขึ้น 8.78 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 1.35 จาก ณ สิ้นปี 2552 ส่วนเงินกู้ยืม เพิ่มขึ้น 2.74 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2552 สภาพคล่องตามความหมายกว้างเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 สภาพคล่องดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1.42 แสนล้านบาท จากระดับ 2.12 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2552
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2553 แม้โมเมนตัมการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจมีแนวโน้มอ่อนแรงลงจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากอุทกภัย ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจคู่ค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อในบางภาคธุรกิจ อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการสินเชื่อของภาคเอกชนในภาพรวมยังมีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในช่วงฤดูการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่สถาบันการเงินต่างๆ จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายและจูงใจมาตอบสนองลูกค้า ส่งผลให้ยอดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับทั้งปี
ด้านเงินฝากและสภาพคล่องในช่วงท้ายปีนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารพาณิชย์น่าจะยังมีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากและตั๋วแลกเงินที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจและรักษาฐานลูกค้า ตลอดจนเพื่อรับมือกับการโยกเงินออมของผู้ฝากเงินไปยังทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ซึ่งลูกค้ามุ่งหวังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก ทั้งนี้ จากภาพการแข่งขันในตลาดเงินฝากดังกล่าว อาจส่งผลให้มีการไหลกลับของเงินออมบางส่วนเข้าสู่เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ และทำให้สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากยอดเงินฝากในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีที่มักขยับขึ้นเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาทขึ้นไปในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มในปี 2554 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภายใต้แรงส่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลง สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะสามารถรักษาระดับสูงและเพียงพอที่จะรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีได้ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องติดตามหลากหลายปัจจัย ทั้งพัฒนาการทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในประเทศ ตลอดจนอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยากจะควบคุม (อาทิ การขยายตัวของเศรษฐกิจหลัก ตลอดจนการดำเนินนโยบายของทางการในแต่ละประเทศ ที่จะมีอิทธิพลต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ ความเคลื่อนไหวของตลาดเงินตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก) ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทยแล้ว ยังอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยในแต่ละช่วงเวลา และในท้ายที่สุดก็คงจะมีผลต่อกลยุทธ์การบริหารจัดการสภาพคล่อง ตลอดจนการพิจารณาจังหวะเวลาของการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ นอกเหนือไปจากภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่คงจะมีผลต่อการกระจายตัวของสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ในช่วงเวลาต่างๆ ด้วยเช่นกัน
* โบรกฯ แนะOverweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า สินเชื่อเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.2%M-M การกลับมาของสินเชื่อตามฤดูกาลและสินเชื่อเพื่อการลงทุน ธนาคารขนาดใหญ่นำสินเชื่อเพิ่มขึ้น ส่วนธนาคารเล็กที่เน้นเช่าซื้อสินเชื่อชะลอตัวรวม 10 เดือนแรกของปี สินเชื่อ +11.6%YTD แต่หากไม่รวมผลของ TCAP ที่รวมสินเชื่อของ SCIB เข้ามาในการคำนวณตั้งแต่เดือน มิ.ย. สินเชื่อ 10M10 เพิ่มขึ้นราว 6.5%YTD
ด้านเงินฝากรวมเพิ่มขึ้น +1.4%M-M หลายธนาคารมีการออกโปรแกรมเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษเพื่อเตรียมปล่อยสินเชื่อและล็อกต้นทุนดอกเบี้ยในยามดอกเบี้ยกำลังปรับขึ้นจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อในเดือน ต.ค. และความต้องการสินเชื่อตามฤดูกาลในช่วงที่เหลือของปี ทำให้มั่นใจการขยายตัวของสินเชื่อปี 2010 น่าจะทำได้ที่ ~8.5-9% และคาดการณ์สินเชื่อปีหน้าเพิ่มขึ้น 9.4% แนวโน้ม 4Q10 เพิ่ม ~ 21%Y-Y แต่ ลดลง ~8.8%Q-Q
คงคำแนะนำ Overweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่ รับสินเชื่อที่จะเติบโตสูงใน 4Q10 และปี 2011 TOP Pick ยังคงเป็น KBANK, SCB
รายงาน ธ.พ.1.1 ประจำเดือน ตุลาคม 2010 ของ 9 ธนาคาร มีเงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 1.2%M-M (~6.9 หมื่นลบ.) จากการสอบถาม สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายใหญ่ (Corporate loan) และเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุน ส่วนสินเชื่อเพื่อการผลิตและการส่งออกตามฤดูกาลน่าจะเกิดมากใน 2 เดือนสุดท้ายของปี ธนาคารส่วนใหญ่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นนำโดย SCB (+2.4%M-M), KBANK และ KK (+1.9%M-M) ส่วน BBL สินเชื่อเดือนนี้ยังน่าผิดหวัง เพิ่มขึ้นเพียง 0.5%M-M ถือว่าน้อยกว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ด้วยกัน
รวม 10 เดือนแรกของปี สินเชื่อของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 11.6% YTD แต่หากไม่รวมผลของ TCAP ที่รวมสินเชื่อของ SCIB เข้ามาในการคำนวณตั้งแต่เดือน มิ.ย. สินเชื่อ 10M10 เพิ่มขึ้นราว 6.5%YTD
ในส่วนของกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ (TISCO, TCAP, KK) เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 0.18%M-M ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยที่สุดในรอบปี โดย TCAP เป็นแห่งเดียวที่มีสินเชื่อลดลง 0.2%M-M เกิดจากการจ่ายชำระคืนสินเชื่อในส่วนของ SCIB จากอัตราการเติบโตของสินเชื่อในเดือน ต.ค. และความต้องการสินเชื่อตามฤดูกาลในช่วงที่เหลือของปี ทำให้มั่นใจการขยายตัวของสินเชื่อปี 2010 น่าจะทำได้ที่ ~8.5-9% และคาดการณ์สินเชื่อปีหน้าเพิ่มขึ้น 9.4%
ด้านเงินฝากรวมเพิ่มขึ้นตามสินเชื่ออีก +1.4%M-M (~8.6 หมื่นลบ.) หลายธนาคารมีการออกโปรแกรมเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษเพื่อเตรียมปล่อยสินเชื่อและล็อกต้นทุนดอกเบี้ยในยามดอกเบี้ยกำลังปรับขึ้น ธนาคารขนาดเล็กอย่าง KK และ BAY มีเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุด +10.9%M-M และ +3.4%M-M ตามลำดับ LDR เฉลี่ยของกลุ่มธนาคารยังอยู่ที่ 93% เทียบกับอัตราที่เหมาะสมที่ราว 95% จึงยังไม่เห็นสัญญาณการแข่งระดมเงินฝาก
ประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q10 ของกลุ่มธนาคารจะอ่อนตัวลงราว 8.8%Q-Q จาก 1.กำไรจากเงินลงทุนลดลง 2.ไม่มีรายได้จากเงินปันผลวายุภักษ์ และ 3.ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และถ้าหากเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรสุทธิยังคงปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูงราว 21%Y-Y ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารส่วนใหญ่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้น Y-Y ยกเว้น TMB ตรงกันข้ามกับเมื่อเทียบกับ Q-Q ซึ่งคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะแสดงกำไรลดลง ยกเว้น KK (มีกำไรจากการขาย NPA ต่อเนื่อง) เราคงคำแนะนำ Overweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่ รับสินเชื่อที่จะเติบโตสูงใน 4Q10 และปี 2011 TOP Pick ยังคงเป็น KBANK, SCB
* พัฒนสิน แนะ ทยอยสะสมหุ้นแบงก์ลงทุนระยะยาว ชู KBANK, BBL และ SCB เป็นหุ้น top picks ของกลุ่ม
บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า กลุ่มแบงก์ สินเชื่อธนาคารส่วนใหญ่เดือน ต.ค. 10 เติบโตดี m-m ตามคาด โดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่อาทิ SCB และKTB หลักๆ ผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่ เราคาดว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่นจะรายงานสินเชื่อเดือน ต.ค. 10 เติบโตดี m-m เช่นกัน โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสินเชื่อเพื่อการเข้าซื้อกิจการของ TUF และBANPU ในขณะที่ ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คาดว่าจะไม่กระทบต่อการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดกระทบไม่น่าเกิน 1% โดยเรายังคงเป้าการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารที่ +9% และ +11% ในปี 2010-11F ตามลำดับ และยังคง KBANK, BBL และSCB เป็นหุ้น top picks ใน
กลุ่มธนาคาร โดยเรามองว่าการปรับฐานของตลาดฯและหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นธนาคารเพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้น Top picks ของเรา และ KTB
สินเชื่อธนาคารเดือน ต.ค. 10 เติบโตดีตามคาด โดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่: ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ได้ประกาศสินเชื่อเดือน ต.ค. 10 ออกมาเติบโตดี m-m ตามที่เราคาดไว้ว่า สินเชื่อของธนาคาร โดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่ จะเริ่มเติบโตในอัตราที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 โดยเฉพาะเดือน ธ.ค. อาทิ SCB และ KTB ที่สินเชื่อเดือน ต.ค. 10 เติบโตถึง +2.3% m-m และ +1.1% m-m ตามลำดับ หลักๆ ผลักดันจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ในขณะที่ สินเชื่อของธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่องคาดธนาคารขนาดใหญ่จะรายงานสินเชื่อเดือน ต.ค. 10 เติบโตดี m-m เช่นกัน: โดยแรงผลักดันหลักคาดว่าจะยังคงมาจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสินเชื่อเพื่อการเข้าซื้อกิจการของ TUF และ BANPU ในขณะที่ ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ คาดว่าจะไม่กระทบต่อการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารอย่างมีนัยสำคัญนัก คาดกระทบไม่น่าเกิน 1% โดยสินเชื่อธุรกิจการเกษตรอาจชะลอลงบ้างจากผลกระทบของภาวะน้ำท่วม แต่น่าจะชดเชยด้วยสินเชื่อซ่อมแซมบ้าน และสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่เติบโตแข็งแกร่ง ได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเรายังคงเป้าการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารที่ +9% และ +11% ในปี 2010-11F ตามลำดับ
คง KBANK, BBL และ SCB เป็นหุ้น top picks ในกลุ่มธนาคาร โดยเรามองว่าการปรับฐานของตลาดฯและหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้น Top picks ของเรา และ KTB เพื่อการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากการทำกำไรและฐานะทางการเงินของกลุ่มธนาคารยังคงแข็งแกร่ง
*ฟาก เอเซียพลัส ชี้ กลุ่มแบงก์ สินเชื่อและกำไรจะ peak สุดใน 4Q53 พร้อมระบุ ดอกเบี้ยขาขึ้นยิ่งดีในปี 2554
บทวิเคราะห์ เอเซียพลัส ระบุว่า สินเชื่อสุทธิ ต.ค.53 ของ ธ.พ. 9 แห่ง เติบโต 1.2% mom SCB, KBANK, KK เด่นสุด ธ.พ. 9 แห่งที่ฝ่ายวิจัยศึกษา รายงานยอดสินเชื่อสุทธิ (หลังหักค่าเผื่อหนี้ฯ) คงค้าง ณ สิ้นเดือน ต.ค.53 เท่ากับ 5.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 6.94 หมื่นล้านบาท จากเดือน ก.ย.53 หรือเติบโต 1.2% mom และ 9.9% yoy (เดือน ก.ย.53 สินเชื่อสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% mom) เนื่องจากเริ่มย่างเข้าสู่ช่วงฤดูกาลสินเชื่อใน ไตรมาสที่ 4 ของทุกปี ทั้งนี้ ธ.พ. ทุกแห่ง (ยกเว้น TCAP ที่แสดงยอดลดลงของสินเชื่อสุทธิในเดือนนี้ราว 0.2% mom ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบปี 2553 เนื่องจากอยู่ในช่วงของการควบรวมกิจการกับ SCIB ซึ่งฝ่ายวิจัยได้นำเสนอไปแล้วว่า TCAP ต้องเร่งกระบวนการโอนหลักประกันสินเชื่อของลูกหนี้เข้ามาเป็นชื่อของ TCAP จากเดิมที่เป็นของ SCIB เพื่อใช้ประโยชน์ทางภาษีในการควบรวมกิจการที่จะได้รับยกเว้นเพียงแค่สิ้นปี 2553 จึงทำให้การปล่อยสินเชื่อใหม่ๆ อาจไม่ได้เร่งมากเท่ากับคู่แข่งอื่นๆ ในกลุ่มฯ) ล้วนแสดงการเติบโตของสินเชื่อสุทธิในเดือนนี้ นำโดย SCB, KBANK และ KK โดยรวมแล้ว สินเชื่อสุทธิในระยะ 10M53 เพิ่มขึ้น 6.1% จากสิ้นปี 2552 ยังสอดคล้องกับเป้าหมายสินเชื่อสุทธิทั้งปี 2553 ที่ฝ่ายวิจัยคาดคือ 7.4% yoy สำหรับสถานการณ์ด้านเงินฝากและเงินกู้ยืมรวมในเดือน ต.ค.53 มียอดคงค้างรวม 6.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.20 แสนล้านบาท หรือเติบโต 1.9% mom และ 6.9% yoy โดย TCAP, KK และ TISCO เป็น ธ.พ. ที่มีการเพิ่มขึ้นของเงินฝากสูงสุดในเดือน ต.ค.53 ส่วน BBL และ KBANK เป็น ธ.พ. 2 แห่งที่มียอดลดลงของเงินฝากในเดือนนี้
คาดหวังสินเชื่อและกำไรจะ peak สุดใน 4Q53…ดอกเบี้ยขาขึ้นยิ่งดีในปี 2554 ฝ่ายวิจัยคาดทิศทางสินเชื่อและแนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มใน 4Q53 จะยังมีทิศทางที่สดใสและทำระดับ peak สุดในรอบปี 2553 ผลักดันด้วยการเติบโตของกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่และ SME ที่จะฟื้นตัวกลับมาเติบโตในเชิงรุกมากขึ้น จากปัจจัยผลักดันเรื่องของโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ความต้องการสินเชื่อในภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวเนื่องเติบโตสูงขึ้น นอกจากนี้สถานการณ์ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ได้ข้อสรุป ทำให้โครงการต่างๆ ที่หยุดผลิตไปในช่วงที่ผ่านมา เริ่มกลับมาเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ใน 2H53 รวมถึงความต้องการสินเชื่อของภาคเอกชนในกลุ่ม Blue chip ที่เริ่มทยอยเบิกใช้สินเชื่อมากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีลักษณะธุรกิจเป็น Supply chain ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปได้กว้างขวางมากขึ้น ขณะที่สินเชื่อ SME นั้น แนวโน้มการเติบโตใน 4Q53 จะยิ่งสดใสกว่าในช่วง 9M53 เนื่องจากย่างเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก ทำให้ความต้องการสินเชื่อสูงขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อสุทธิและการทำกำไรของกลุ่มฯ ใน 2H53 และต่อเนื่องถึง ปี 2554 ภายใต้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ NIM เนื่องจากโครงสร้างสินเชื่อที่ส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากกว่าครึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่
ให้น้ำหนักลงทุนเท่ากับตลาด...Top picks คือ BBL, KBANK และ TCAP ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ธ.พ. เท่ากับตลาด โดยคาด EPS ปี 2553-54 จะเติบโตในเชิงรุกถึง 20.5% yoy และ 14.4% yoy ตามลำดับ โดยฝ่ายวิจัยเลือก BBL, KBANK และ TCAP เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ ซึ่งคาดว่าราคาหุ้นจะสามารถ outperform ตลาดฯ ได้ในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า โดย BBL และ KBANK จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากศักยภาพการเติบโตของธุรกิจและกำไรสุทธิที่คาดว่าจะเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้นใน 4Q53 ต่อเนื่องถึงปี 2554 อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside ที่น่าสนใจให้เข้าลงทุน สำหรับ TCAP ด้วยราคาหุ้นที่ยังถูกมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตเชิงรุกมากขึ้นในปี 2554-55 ถือเป็นโอกาสที่ดีมากให้เข้าสะสมหุ้นในปัจจุบัน ส่วน SCB นั้น ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา จนเกิด upside เกิน 10% ให้เข้าลงทุน จึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับมา outperform ได้อีกครั้งเพื่อตอบรับปัจจัยบวกของการเติบโตของสินเชื่อเชิงรุกมากใน 4Q53 และต่อเนื่องถึงปี 2554
* ยูโอบีเคย์เฮียน ชี้ เดือน ต.ค SCB สินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.4% จากเดือนก่อนหน้า สูงสุดในกลุ่ม รองลงมาได้แก่ KK และ KBANK ที่เพิ่มขึ้นราว 1.9%
บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน ระบุว่า สินเชื่อสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในเดือน ต.ค. 53 ของกลุ่มเพิ่มขึ้น 1.2% Momเงินฝากของกลุ่มเพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า นำโดยธนาคารขนาดกลางและเล็กเป็นหลักแนะนำซื้อธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ BBL , KTB และ KBANK ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ธนาคาร 9 แห่ง รายงานยอดสินเชื่อสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในเดือนต.ค. 53 รวมกันที่ 5.789 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า และเป็นทิศทางที่ดีขึ้นตามคาดไว้ โดยเฉพาะ SCB ซึ่งรายงานการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ 2.4% จากเดือนก่อนหน้า สูงสุดในกลุ่ม รองลงมาได้แก่ KK และ KBANK ที่เพิ่มขึ้นราว 1.9% จากเดือนก.ย. 53 อย่างไรก็ดี KBANK เป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่รายงานการลดลงของสินเชื่อสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ โดยลดลง 0.16% จากการลดลงของสินเชื่อของ SCIB เป็นหลัก
ด้านเงินฝากของกลุ่มในเดือนต.ค. 53 อยู่ที่ 6.242 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า นำโดย KK ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 11% ตามด้วย TCAP ที่เพิ่มขึ้น 7% และ BAY เพิ่มขึ้น 3% ทำให้อัตราส่วนสภาพคล่องของกลุ่มต่ำลงเป็น 80.7% จาก 81.62% ในเดือนก่อนหน้า
แม้จะได้รับผลกระทบจากการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่บ้าง แต่การขยายตัวของสินเชื่อในเดือนต.ค. 53 ที่ดีขึ้นตามคาด จากการเข้าสู่ฤดูกาลเบิกจ่ายสินเชื่อในไตรมาส ที่ 4 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่มีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูง โดยธปท.ประเมินไว้ที่ 7.3-8.0% แม้จะได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทำให้เราเชื่อมั่นว่าการขยายสินเชื่อในเดือนที่เหลือของปีนี้จะดีต่อเนื่อง ซึ่งทำให้การขยายตัวของสินเชื่อรายไตรมาสในไตรมาสที่ 4/53 เป็นไตรมาสที่สินเชื่อขยายตัวสูงสุดของปี แนะนำซื้อ BBL เป้าหมายปี 54 ที่ 192 บาท , KTB เป้าหมายปี 54 ที่ 19.70 บาทและ KBANK เป้าหมายปี 54 ที่ 135 บาท
* ดีบีเอสวิคเคอร์ส มอง กำไรสุทธิปี 54 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดจะเติบโตน่าประทับใจ 16%
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส สินเชื่อต.ค.ขยายตัวแกร่งตามคาด สินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เดือนต.ค.53 เติบโต 1.2%MoM (+9.8%YoY) ทั้งนี้สินเชื่อทุกธนาคารขยายตัวแข็งแกร่งเมื่อเทียบ MoM นำโดยสินเชื่อ Corporate ธนาคารที่มีสินเชื่อเติบโตสูงสุดในเดือนนี้ คือ SCB (+2.3%MoM) โดยหลักมาจากการปล่อยสินเชื่อระยะยาวให้กับ Corporate ขนาดใหญ่ ตามมาด้วย KBANK (+1.8%MoM) โดยหลักเป็นการขยายตัวของสินเชื่อ Corporate และสินเชื่อรายย่อย การเติบโตที่แข็งแกร่งดังกล่าวยืนยันสมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 53 ของฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ที่ 7.8% (+3.0%QoQ ใน 4Q53) ทั้งนี้ไตรมาส 4 เป็นช่วงที่กลุ่ม Corporate และ SMEs มีความต้องการใช้สินเชื่อสูง
สำหรับสินเชื่อของธนาคารขนาดเล็กอย่างKK, TCAP และ TISCO เติบโตชะลอลง ซึ่งเป็นไปตามอัตราการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงใน 4Q53 นับได้ว่าธนาคารต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อในปี 53 ได้เนื่องจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย
คาดสินเชื่อและกำไรสุทธิขยายตัวแข็งแกร่งในปี 54 นักเศรษฐศาสตร์ของ DBS Bank ประมาณการว่า GDP ปี 54 จะเติบโต 4% หลังขยายตัวสูง 9% ในปีนี้ เราจึงคาดว่าสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะเติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินอัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 53-54 ไว้ที่ 7.8% และ 7.6% ตามลำดับ หนุนโดยความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของ Corporate และ SMEs สำหรับกำไรสุทธิปี 54 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดการณ์ว่าจะเติบโตน่าประทับใจ 16% โดยคาดว่าสินเชื่อปี 54 ขยายตัว 7.6%, NIM เพิ่มขึ้น 0.05%, รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 13% และตั้งสำรองค่าเผื่อฯลดลงเป็น 0.68% ของสินเชื่อรวม
ให้ BBL, KBANK และ KTB เป็นหุ้น Top Picks เนื่องจากงบดุลแข็งแกร่งและได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้เราชอบ KBANK เนื่องจากมีคุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำที่สุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม สำหรับ BBL มีจุดเด่นเรื่องงบดุลแข็งแกร่ง และมีสำรองสะสมต่อ NPL (NPL Coverage Ratio) สูงมากด้าน KTB คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 และการใช้จ่าย & ลงทุนของภาครัฐ เราเชื่อว่าKBANK และ BBL จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้สินเชื่อของกลุ่ม Corporate และ SMEs ที่เพิ่มขึ้นในปี 53 นอกจากนั้นยังแนะนำซื้อ SCB รวมทั้งแนะนำถือ BAY, TCAP และ TISCO
เซียนหุ้น แนะลุยหุ้นแบงก์ หลังแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อแจ่ม เผย14 แบงก์พาณิชย์ โชว์สินเชื่อ 10 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 3.63 แสนลบ. จากสิ้นปีก่อน ที่มีจำนวน 6.15 ล้านล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 6.29 % ส่วนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 7.68 หมื่นลบ.จากเดือนก่อน เชียร์ Overweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่ พัฒนสิน ชู KBANK- BBL -SCB เป็น top picks ของกลุ่ม ฟาก เอเซียพลัส ชี้ สินเชื่อและกำไร กลุ่มแบงก์ จะ peak สุดใน 4Q53 ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาด กำไรสุทธิปี 54 กลุ่มแบงก์ โตน่าประทับใจ 16%
สินเชื่อรวมกลุ่มแบงก์ 10 เดือนแรกปีนี้ น่าประทับใจ หลังเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขณะที่สภาพคล่องดอกเบี้ยไม่อยู่ในอัตราสูงเกินไป และแนวโน้มยังอยู่ในทิศทางที่ดี1
*เซียนหุ้น แนะลุยหุ้นแบงก์ หลังแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อแจ่ม
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. คันทรี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของกลุ่มสถาบันการเงินในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้เติบโตออกมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส4/53 จะยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากในช่วงไตรมาสดังกล่าวเป็นฤดูกาลของการปล่อยสินเชื่อของธนาคารอยู่แล้ว หลังจากผู้ประกอบการต้องการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในช่วงสิ้นปี ประกอบกับยังได้รับอานิสงส์จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าหลังระดับน้ำลดลงแล้วจะมีประชาชนเข้ามาขอสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อไปซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรืออุปกรณ์ เครื่องใช้ที่เกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการภาคการส่งออกให้ชะลอตัวลง เพราะได้รับผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
สำหรับแนวโน้มการขยายตัวของการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารแต่ละแห่ง คาดว่าจะชะลอลงมาจากปี53 โดยเบื้องต้นประเมินไว้ว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อรวมปี54 เติบโต 5-6% เมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้ที่เติบโต 9-10% โดยเป็นค่าเฉลี่ยการเติบโตของตัวเลขการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารแต่ละแห่ง โดยเป็นผลมาจากค่าเงินมีทิศทางแข็งค่าขึ้นในช่วงปีหน้า ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า อย่าง จีน และประเทศแถบยุโรป
ขณะเดียวกัน การปล่อยสินเชื่อของธนาคารของภาครัฐที่เร่งออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำนั้น เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์บ้าง แต่ไม่ได้ถือว่ามีนัยสำคัญ เนื่องจากการแข่งขันของธนาคารคงจะไม่เน้นหนักไปถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงอย่างเดียว แต่คงจะต้องดูเกี่ยวกับคุณภาพของลูกค้าด้วยว่ามีความสามารถในด้านการชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดเป็นหนี้เสียได้ในอนาคต
ด้านกลยุทธ์การลงทุน หากจะพิจารณาลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร ควรเข้าลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ 4 ตัว ได้แก่ BBL(ราคาพื้นฐาน 182 บาท) SCB(ราคาพื้นฐาน 125 บาท) KTB(19.80 บาท) KBANK(ราคาพื้นฐาน 142 บาท ) โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีพื้นฐานทางด้านการเงินที่มีความแข็งแกร่งมากพอสมควร ทำให้การขยายตัวของผลประกอบการจึงมีสูงกว่าหุ้นตัวอื่นๆที่ทำธุรกิจเดียวกัน
* KBANK เผย14 แบงก์พาณิชย์ โชว์สินเชื่อ 10 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 3.63 แสนลบ. จากสิ้นปีก่อน ที่มีจำนวน 6.15 ล้านล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 6.29 % ส่วนเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 7.68 หมื่นลบ.จากเดือนก่อน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เดือน ต.ค. 53 สินเชื่อเพิ่มด้วยขนาดที่มากกว่าการเพิ่มขึ้นของเงินฝาก โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 ยอดเงินให้สินเชื่อสุทธิ (หักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) ของ 14 ธนาคารพาณิชย์ไทย มีจำนวน 6.15 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.68 หมื่นล้านบาท จาก 6.07 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 (จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในทุกกลุ่มธนาคาร นำโดยกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่) ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีแรงส่งของการขยายตัวแม้ด้วยอัตราที่ชะลอลง ขณะที่ธนาคารพาณิชย์น่าจะเร่งขยายสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปีเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้สำหรับทั้งปี
ด้านยอดเงินฝาก ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 มีจำนวน 6.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.43 หมื่นล้านบาท จาก 6.53 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 (ตามการเพิ่มขึ้นของเงินฝากในกลุ่มธนาคารขนาดกลางและกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ขณะที่เงินฝากในกลุ่มธนาคารขนาดเล็กลดลง) และเงินกู้ยืม เพิ่มขึ้น 8.52 หมื่นล้านบาท จาก 8.97 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน มาที่ 9.82 แสนล้านบาท อันเป็นผลจากการออกหุ้นกู้เสนอขายในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ตลอดจนการที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ยังคงมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากและตั๋วแลกเงินที่ให้ผลตอบแทนจูงใจ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและเสริมสภาพคล่องไว้รองรับการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเพื่อรับมือกับภาวะการแข่งขันกับทางเลือกการออมอื่นๆ ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงของแหล่งที่มาและใช้ไปของเงินทุนดังกล่าว ที่แม้สินเชื่อจะเพิ่มขึ้นด้วยขนาดที่มากกว่าเงินฝาก แต่เงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น ก็ได้ช่วยชดเชยและสนับสนุนให้สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือนกันยายน 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
สินทรัพย์สภาพคล่องในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ไทยตามความหมายกว้าง (รวมเงินสด เงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้น และเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์) เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดือนก่อน โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2553 สภาพคล่องดังกล่าวมีจำนวน 2.26 ล้านล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 1.05 แสนล้านบาท จาก 2.16 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นในองค์ประกอบอย่างเงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้นและเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์ ขณะที่เงินสดลดลงจากเดือนก่อน ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องดังกล่าว สะท้อนการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องในทุกกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 : สภาพคล่องธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552 สินเชื่อเพิ่มมากกว่าเงินฝาก แต่สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืม ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ต่างจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 เงินให้สินเชื่อสุทธิ (หักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) เพิ่มขึ้น 3.63 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตร้อยละ 6.29 จาก ณ สิ้นปี 2552 ขณะที่เงินฝากเพิ่มขึ้น 8.78 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 1.35 จาก ณ สิ้นปี 2552 ส่วนเงินกู้ยืม เพิ่มขึ้น 2.74 แสนล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2552 สภาพคล่องตามความหมายกว้างเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2553 สภาพคล่องดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1.42 แสนล้านบาท จากระดับ 2.12 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2552
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2553 แม้โมเมนตัมการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจมีแนวโน้มอ่อนแรงลงจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากอุทกภัย ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจคู่ค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเบิกใช้วงเงินสินเชื่อในบางภาคธุรกิจ อย่างไรก็ดี คาดว่าความต้องการสินเชื่อของภาคเอกชนในภาพรวมยังมีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในช่วงฤดูการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่สถาบันการเงินต่างๆ จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายและจูงใจมาตอบสนองลูกค้า ส่งผลให้ยอดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับทั้งปี
ด้านเงินฝากและสภาพคล่องในช่วงท้ายปีนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารพาณิชย์น่าจะยังมีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากและตั๋วแลกเงินที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจและรักษาฐานลูกค้า ตลอดจนเพื่อรับมือกับการโยกเงินออมของผู้ฝากเงินไปยังทางเลือกการลงทุนอื่นๆ ซึ่งลูกค้ามุ่งหวังจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก ทั้งนี้ จากภาพการแข่งขันในตลาดเงินฝากดังกล่าว อาจส่งผลให้มีการไหลกลับของเงินออมบางส่วนเข้าสู่เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ และทำให้สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปีปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากยอดเงินฝากในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีที่มักขยับขึ้นเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาทขึ้นไปในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มในปี 2554 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภายใต้แรงส่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลง สภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยน่าจะสามารถรักษาระดับสูงและเพียงพอที่จะรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีได้ อย่างไรก็ตาม คงจะต้องติดตามหลากหลายปัจจัย ทั้งพัฒนาการทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในประเทศ ตลอดจนอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยากจะควบคุม (อาทิ การขยายตัวของเศรษฐกิจหลัก ตลอดจนการดำเนินนโยบายของทางการในแต่ละประเทศ ที่จะมีอิทธิพลต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ ความเคลื่อนไหวของตลาดเงินตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก) ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยของทางการไทยแล้ว ยังอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยในแต่ละช่วงเวลา และในท้ายที่สุดก็คงจะมีผลต่อกลยุทธ์การบริหารจัดการสภาพคล่อง ตลอดจนการพิจารณาจังหวะเวลาของการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ นอกเหนือไปจากภาวะการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่คงจะมีผลต่อการกระจายตัวของสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ในช่วงเวลาต่างๆ ด้วยเช่นกัน
* โบรกฯ แนะOverweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า สินเชื่อเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.2%M-M การกลับมาของสินเชื่อตามฤดูกาลและสินเชื่อเพื่อการลงทุน ธนาคารขนาดใหญ่นำสินเชื่อเพิ่มขึ้น ส่วนธนาคารเล็กที่เน้นเช่าซื้อสินเชื่อชะลอตัวรวม 10 เดือนแรกของปี สินเชื่อ +11.6%YTD แต่หากไม่รวมผลของ TCAP ที่รวมสินเชื่อของ SCIB เข้ามาในการคำนวณตั้งแต่เดือน มิ.ย. สินเชื่อ 10M10 เพิ่มขึ้นราว 6.5%YTD
ด้านเงินฝากรวมเพิ่มขึ้น +1.4%M-M หลายธนาคารมีการออกโปรแกรมเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษเพื่อเตรียมปล่อยสินเชื่อและล็อกต้นทุนดอกเบี้ยในยามดอกเบี้ยกำลังปรับขึ้นจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อในเดือน ต.ค. และความต้องการสินเชื่อตามฤดูกาลในช่วงที่เหลือของปี ทำให้มั่นใจการขยายตัวของสินเชื่อปี 2010 น่าจะทำได้ที่ ~8.5-9% และคาดการณ์สินเชื่อปีหน้าเพิ่มขึ้น 9.4% แนวโน้ม 4Q10 เพิ่ม ~ 21%Y-Y แต่ ลดลง ~8.8%Q-Q
คงคำแนะนำ Overweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่ รับสินเชื่อที่จะเติบโตสูงใน 4Q10 และปี 2011 TOP Pick ยังคงเป็น KBANK, SCB
รายงาน ธ.พ.1.1 ประจำเดือน ตุลาคม 2010 ของ 9 ธนาคาร มีเงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 1.2%M-M (~6.9 หมื่นลบ.) จากการสอบถาม สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเพื่อธุรกิจรายใหญ่ (Corporate loan) และเป็นสินเชื่อเพื่อการลงทุน ส่วนสินเชื่อเพื่อการผลิตและการส่งออกตามฤดูกาลน่าจะเกิดมากใน 2 เดือนสุดท้ายของปี ธนาคารส่วนใหญ่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นนำโดย SCB (+2.4%M-M), KBANK และ KK (+1.9%M-M) ส่วน BBL สินเชื่อเดือนนี้ยังน่าผิดหวัง เพิ่มขึ้นเพียง 0.5%M-M ถือว่าน้อยกว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ด้วยกัน
รวม 10 เดือนแรกของปี สินเชื่อของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 11.6% YTD แต่หากไม่รวมผลของ TCAP ที่รวมสินเชื่อของ SCIB เข้ามาในการคำนวณตั้งแต่เดือน มิ.ย. สินเชื่อ 10M10 เพิ่มขึ้นราว 6.5%YTD
ในส่วนของกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ (TISCO, TCAP, KK) เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 0.18%M-M ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยที่สุดในรอบปี โดย TCAP เป็นแห่งเดียวที่มีสินเชื่อลดลง 0.2%M-M เกิดจากการจ่ายชำระคืนสินเชื่อในส่วนของ SCIB จากอัตราการเติบโตของสินเชื่อในเดือน ต.ค. และความต้องการสินเชื่อตามฤดูกาลในช่วงที่เหลือของปี ทำให้มั่นใจการขยายตัวของสินเชื่อปี 2010 น่าจะทำได้ที่ ~8.5-9% และคาดการณ์สินเชื่อปีหน้าเพิ่มขึ้น 9.4%
ด้านเงินฝากรวมเพิ่มขึ้นตามสินเชื่ออีก +1.4%M-M (~8.6 หมื่นลบ.) หลายธนาคารมีการออกโปรแกรมเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษเพื่อเตรียมปล่อยสินเชื่อและล็อกต้นทุนดอกเบี้ยในยามดอกเบี้ยกำลังปรับขึ้น ธนาคารขนาดเล็กอย่าง KK และ BAY มีเงินฝากเพิ่มขึ้นมากที่สุด +10.9%M-M และ +3.4%M-M ตามลำดับ LDR เฉลี่ยของกลุ่มธนาคารยังอยู่ที่ 93% เทียบกับอัตราที่เหมาะสมที่ราว 95% จึงยังไม่เห็นสัญญาณการแข่งระดมเงินฝาก
ประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q10 ของกลุ่มธนาคารจะอ่อนตัวลงราว 8.8%Q-Q จาก 1.กำไรจากเงินลงทุนลดลง 2.ไม่มีรายได้จากเงินปันผลวายุภักษ์ และ 3.ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และถ้าหากเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรสุทธิยังคงปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูงราว 21%Y-Y ทั้งจากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารส่วนใหญ่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้น Y-Y ยกเว้น TMB ตรงกันข้ามกับเมื่อเทียบกับ Q-Q ซึ่งคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะแสดงกำไรลดลง ยกเว้น KK (มีกำไรจากการขาย NPA ต่อเนื่อง) เราคงคำแนะนำ Overweight เน้นธนาคารขนาดใหญ่ รับสินเชื่อที่จะเติบโตสูงใน 4Q10 และปี 2011 TOP Pick ยังคงเป็น KBANK, SCB
* พัฒนสิน แนะ ทยอยสะสมหุ้นแบงก์ลงทุนระยะยาว ชู KBANK, BBL และ SCB เป็นหุ้น top picks ของกลุ่ม
บทวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า กลุ่มแบงก์ สินเชื่อธนาคารส่วนใหญ่เดือน ต.ค. 10 เติบโตดี m-m ตามคาด โดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่อาทิ SCB และKTB หลักๆ ผลักดันจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่ เราคาดว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่นจะรายงานสินเชื่อเดือน ต.ค. 10 เติบโตดี m-m เช่นกัน โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสินเชื่อเพื่อการเข้าซื้อกิจการของ TUF และBANPU ในขณะที่ ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คาดว่าจะไม่กระทบต่อการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดกระทบไม่น่าเกิน 1% โดยเรายังคงเป้าการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารที่ +9% และ +11% ในปี 2010-11F ตามลำดับ และยังคง KBANK, BBL และSCB เป็นหุ้น top picks ใน
กลุ่มธนาคาร โดยเรามองว่าการปรับฐานของตลาดฯและหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นธนาคารเพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้น Top picks ของเรา และ KTB
สินเชื่อธนาคารเดือน ต.ค. 10 เติบโตดีตามคาด โดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่: ธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ได้ประกาศสินเชื่อเดือน ต.ค. 10 ออกมาเติบโตดี m-m ตามที่เราคาดไว้ว่า สินเชื่อของธนาคาร โดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่ จะเริ่มเติบโตในอัตราที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 โดยเฉพาะเดือน ธ.ค. อาทิ SCB และ KTB ที่สินเชื่อเดือน ต.ค. 10 เติบโตถึง +2.3% m-m และ +1.1% m-m ตามลำดับ หลักๆ ผลักดันจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ ในขณะที่ สินเชื่อของธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังคงเติบโตต่อเนื่องคาดธนาคารขนาดใหญ่จะรายงานสินเชื่อเดือน ต.ค. 10 เติบโตดี m-m เช่นกัน: โดยแรงผลักดันหลักคาดว่าจะยังคงมาจากสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ โดยส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสินเชื่อเพื่อการเข้าซื้อกิจการของ TUF และ BANPU ในขณะที่ ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ คาดว่าจะไม่กระทบต่อการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารอย่างมีนัยสำคัญนัก คาดกระทบไม่น่าเกิน 1% โดยสินเชื่อธุรกิจการเกษตรอาจชะลอลงบ้างจากผลกระทบของภาวะน้ำท่วม แต่น่าจะชดเชยด้วยสินเชื่อซ่อมแซมบ้าน และสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่เติบโตแข็งแกร่ง ได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเรายังคงเป้าการเติบโตสินเชื่อของกลุ่มธนาคารที่ +9% และ +11% ในปี 2010-11F ตามลำดับ
คง KBANK, BBL และ SCB เป็นหุ้น top picks ในกลุ่มธนาคาร โดยเรามองว่าการปรับฐานของตลาดฯและหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะหุ้น Top picks ของเรา และ KTB เพื่อการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากการทำกำไรและฐานะทางการเงินของกลุ่มธนาคารยังคงแข็งแกร่ง
*ฟาก เอเซียพลัส ชี้ กลุ่มแบงก์ สินเชื่อและกำไรจะ peak สุดใน 4Q53 พร้อมระบุ ดอกเบี้ยขาขึ้นยิ่งดีในปี 2554
บทวิเคราะห์ เอเซียพลัส ระบุว่า สินเชื่อสุทธิ ต.ค.53 ของ ธ.พ. 9 แห่ง เติบโต 1.2% mom SCB, KBANK, KK เด่นสุด ธ.พ. 9 แห่งที่ฝ่ายวิจัยศึกษา รายงานยอดสินเชื่อสุทธิ (หลังหักค่าเผื่อหนี้ฯ) คงค้าง ณ สิ้นเดือน ต.ค.53 เท่ากับ 5.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 6.94 หมื่นล้านบาท จากเดือน ก.ย.53 หรือเติบโต 1.2% mom และ 9.9% yoy (เดือน ก.ย.53 สินเชื่อสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% mom) เนื่องจากเริ่มย่างเข้าสู่ช่วงฤดูกาลสินเชื่อใน ไตรมาสที่ 4 ของทุกปี ทั้งนี้ ธ.พ. ทุกแห่ง (ยกเว้น TCAP ที่แสดงยอดลดลงของสินเชื่อสุทธิในเดือนนี้ราว 0.2% mom ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบปี 2553 เนื่องจากอยู่ในช่วงของการควบรวมกิจการกับ SCIB ซึ่งฝ่ายวิจัยได้นำเสนอไปแล้วว่า TCAP ต้องเร่งกระบวนการโอนหลักประกันสินเชื่อของลูกหนี้เข้ามาเป็นชื่อของ TCAP จากเดิมที่เป็นของ SCIB เพื่อใช้ประโยชน์ทางภาษีในการควบรวมกิจการที่จะได้รับยกเว้นเพียงแค่สิ้นปี 2553 จึงทำให้การปล่อยสินเชื่อใหม่ๆ อาจไม่ได้เร่งมากเท่ากับคู่แข่งอื่นๆ ในกลุ่มฯ) ล้วนแสดงการเติบโตของสินเชื่อสุทธิในเดือนนี้ นำโดย SCB, KBANK และ KK โดยรวมแล้ว สินเชื่อสุทธิในระยะ 10M53 เพิ่มขึ้น 6.1% จากสิ้นปี 2552 ยังสอดคล้องกับเป้าหมายสินเชื่อสุทธิทั้งปี 2553 ที่ฝ่ายวิจัยคาดคือ 7.4% yoy สำหรับสถานการณ์ด้านเงินฝากและเงินกู้ยืมรวมในเดือน ต.ค.53 มียอดคงค้างรวม 6.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.20 แสนล้านบาท หรือเติบโต 1.9% mom และ 6.9% yoy โดย TCAP, KK และ TISCO เป็น ธ.พ. ที่มีการเพิ่มขึ้นของเงินฝากสูงสุดในเดือน ต.ค.53 ส่วน BBL และ KBANK เป็น ธ.พ. 2 แห่งที่มียอดลดลงของเงินฝากในเดือนนี้
คาดหวังสินเชื่อและกำไรจะ peak สุดใน 4Q53…ดอกเบี้ยขาขึ้นยิ่งดีในปี 2554 ฝ่ายวิจัยคาดทิศทางสินเชื่อและแนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มใน 4Q53 จะยังมีทิศทางที่สดใสและทำระดับ peak สุดในรอบปี 2553 ผลักดันด้วยการเติบโตของกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่และ SME ที่จะฟื้นตัวกลับมาเติบโตในเชิงรุกมากขึ้น จากปัจจัยผลักดันเรื่องของโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้ความต้องการสินเชื่อในภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวเนื่องเติบโตสูงขึ้น นอกจากนี้สถานการณ์ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ได้ข้อสรุป ทำให้โครงการต่างๆ ที่หยุดผลิตไปในช่วงที่ผ่านมา เริ่มกลับมาเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ใน 2H53 รวมถึงความต้องการสินเชื่อของภาคเอกชนในกลุ่ม Blue chip ที่เริ่มทยอยเบิกใช้สินเชื่อมากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีลักษณะธุรกิจเป็น Supply chain ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าไปได้กว้างขวางมากขึ้น ขณะที่สินเชื่อ SME นั้น แนวโน้มการเติบโตใน 4Q53 จะยิ่งสดใสกว่าในช่วง 9M53 เนื่องจากย่างเข้าสู่ช่วงฤดูกาลส่งออก ทำให้ความต้องการสินเชื่อสูงขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อศักยภาพการเติบโตของสินเชื่อสุทธิและการทำกำไรของกลุ่มฯ ใน 2H53 และต่อเนื่องถึง ปี 2554 ภายใต้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ NIM เนื่องจากโครงสร้างสินเชื่อที่ส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากกว่าครึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่
ให้น้ำหนักลงทุนเท่ากับตลาด...Top picks คือ BBL, KBANK และ TCAP ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ธ.พ. เท่ากับตลาด โดยคาด EPS ปี 2553-54 จะเติบโตในเชิงรุกถึง 20.5% yoy และ 14.4% yoy ตามลำดับ โดยฝ่ายวิจัยเลือก BBL, KBANK และ TCAP เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ ซึ่งคาดว่าราคาหุ้นจะสามารถ outperform ตลาดฯ ได้ในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า โดย BBL และ KBANK จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากศักยภาพการเติบโตของธุรกิจและกำไรสุทธิที่คาดว่าจะเป็นไปในเชิงรุกมากขึ้นใน 4Q53 ต่อเนื่องถึงปี 2554 อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside ที่น่าสนใจให้เข้าลงทุน สำหรับ TCAP ด้วยราคาหุ้นที่ยังถูกมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตเชิงรุกมากขึ้นในปี 2554-55 ถือเป็นโอกาสที่ดีมากให้เข้าสะสมหุ้นในปัจจุบัน ส่วน SCB นั้น ฝ่ายวิจัยมีความเห็นว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา จนเกิด upside เกิน 10% ให้เข้าลงทุน จึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับมา outperform ได้อีกครั้งเพื่อตอบรับปัจจัยบวกของการเติบโตของสินเชื่อเชิงรุกมากใน 4Q53 และต่อเนื่องถึงปี 2554
* ยูโอบีเคย์เฮียน ชี้ เดือน ต.ค SCB สินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.4% จากเดือนก่อนหน้า สูงสุดในกลุ่ม รองลงมาได้แก่ KK และ KBANK ที่เพิ่มขึ้นราว 1.9%
บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน ระบุว่า สินเชื่อสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในเดือน ต.ค. 53 ของกลุ่มเพิ่มขึ้น 1.2% Momเงินฝากของกลุ่มเพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า นำโดยธนาคารขนาดกลางและเล็กเป็นหลักแนะนำซื้อธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ BBL , KTB และ KBANK ซึ่งได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ธนาคาร 9 แห่ง รายงานยอดสินเชื่อสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในเดือนต.ค. 53 รวมกันที่ 5.789 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า และเป็นทิศทางที่ดีขึ้นตามคาดไว้ โดยเฉพาะ SCB ซึ่งรายงานการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ 2.4% จากเดือนก่อนหน้า สูงสุดในกลุ่ม รองลงมาได้แก่ KK และ KBANK ที่เพิ่มขึ้นราว 1.9% จากเดือนก.ย. 53 อย่างไรก็ดี KBANK เป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่รายงานการลดลงของสินเชื่อสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ โดยลดลง 0.16% จากการลดลงของสินเชื่อของ SCIB เป็นหลัก
ด้านเงินฝากของกลุ่มในเดือนต.ค. 53 อยู่ที่ 6.242 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า นำโดย KK ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 11% ตามด้วย TCAP ที่เพิ่มขึ้น 7% และ BAY เพิ่มขึ้น 3% ทำให้อัตราส่วนสภาพคล่องของกลุ่มต่ำลงเป็น 80.7% จาก 81.62% ในเดือนก่อนหน้า
แม้จะได้รับผลกระทบจากการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่บ้าง แต่การขยายตัวของสินเชื่อในเดือนต.ค. 53 ที่ดีขึ้นตามคาด จากการเข้าสู่ฤดูกาลเบิกจ่ายสินเชื่อในไตรมาส ที่ 4 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่มีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูง โดยธปท.ประเมินไว้ที่ 7.3-8.0% แม้จะได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทำให้เราเชื่อมั่นว่าการขยายสินเชื่อในเดือนที่เหลือของปีนี้จะดีต่อเนื่อง ซึ่งทำให้การขยายตัวของสินเชื่อรายไตรมาสในไตรมาสที่ 4/53 เป็นไตรมาสที่สินเชื่อขยายตัวสูงสุดของปี แนะนำซื้อ BBL เป้าหมายปี 54 ที่ 192 บาท , KTB เป้าหมายปี 54 ที่ 19.70 บาทและ KBANK เป้าหมายปี 54 ที่ 135 บาท
* ดีบีเอสวิคเคอร์ส มอง กำไรสุทธิปี 54 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดจะเติบโตน่าประทับใจ 16%
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส สินเชื่อต.ค.ขยายตัวแกร่งตามคาด สินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์เดือนต.ค.53 เติบโต 1.2%MoM (+9.8%YoY) ทั้งนี้สินเชื่อทุกธนาคารขยายตัวแข็งแกร่งเมื่อเทียบ MoM นำโดยสินเชื่อ Corporate ธนาคารที่มีสินเชื่อเติบโตสูงสุดในเดือนนี้ คือ SCB (+2.3%MoM) โดยหลักมาจากการปล่อยสินเชื่อระยะยาวให้กับ Corporate ขนาดใหญ่ ตามมาด้วย KBANK (+1.8%MoM) โดยหลักเป็นการขยายตัวของสินเชื่อ Corporate และสินเชื่อรายย่อย การเติบโตที่แข็งแกร่งดังกล่าวยืนยันสมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 53 ของฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ที่ 7.8% (+3.0%QoQ ใน 4Q53) ทั้งนี้ไตรมาส 4 เป็นช่วงที่กลุ่ม Corporate และ SMEs มีความต้องการใช้สินเชื่อสูง
สำหรับสินเชื่อของธนาคารขนาดเล็กอย่างKK, TCAP และ TISCO เติบโตชะลอลง ซึ่งเป็นไปตามอัตราการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงใน 4Q53 นับได้ว่าธนาคารต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อในปี 53 ได้เนื่องจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย
คาดสินเชื่อและกำไรสุทธิขยายตัวแข็งแกร่งในปี 54 นักเศรษฐศาสตร์ของ DBS Bank ประมาณการว่า GDP ปี 54 จะเติบโต 4% หลังขยายตัวสูง 9% ในปีนี้ เราจึงคาดว่าสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะเติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินอัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 53-54 ไว้ที่ 7.8% และ 7.6% ตามลำดับ หนุนโดยความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของ Corporate และ SMEs สำหรับกำไรสุทธิปี 54 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดการณ์ว่าจะเติบโตน่าประทับใจ 16% โดยคาดว่าสินเชื่อปี 54 ขยายตัว 7.6%, NIM เพิ่มขึ้น 0.05%, รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 13% และตั้งสำรองค่าเผื่อฯลดลงเป็น 0.68% ของสินเชื่อรวม
ให้ BBL, KBANK และ KTB เป็นหุ้น Top Picks เนื่องจากงบดุลแข็งแกร่งและได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้เราชอบ KBANK เนื่องจากมีคุณภาพสินทรัพย์ดี, NPL ratio ต่ำที่สุดในกลุ่ม และรายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับกลุ่ม สำหรับ BBL มีจุดเด่นเรื่องงบดุลแข็งแกร่ง และมีสำรองสะสมต่อ NPL (NPL Coverage Ratio) สูงมากด้าน KTB คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 และการใช้จ่าย & ลงทุนของภาครัฐ เราเชื่อว่าKBANK และ BBL จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้สินเชื่อของกลุ่ม Corporate และ SMEs ที่เพิ่มขึ้นในปี 53 นอกจากนั้นยังแนะนำซื้อ SCB รวมทั้งแนะนำถือ BAY, TCAP และ TISCO