อังคาร 23 พ.ย.--eFinanceThai.com :
ปัจจัยลบรุมเร้าตลาดหุ้น
          สารพัดปัญหารุมเร้าตลาดหุ้นไทย ทั้งหนี้สินประเทศแถบยุโรป มาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีน ปัญหาการเมืองภายในประเทศไทยเอง และความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ดึงหุ้นไทยร่วงแรง โบรกฯ แนะรอดูสถานการณ์ และหาจังหวะเก็บเมื่อดัชนีฯ หลุด 1,000 จุด ในหุ้นกลุ่มอิเล็กฯ-ส่งออก-อาหาร
          เรื่องร้ายๆ ยังไม่หมดไปจากตลาดหุ้นไทย กลิ่นควันจากความกังวลหนี้ไอร์แลนด์และประเทศอื่นๆ ในยุโรป บวกกับมาตรการดับร้อนทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาการเมืองในประเทศไทยยังไม่ทันจางหาย กลับมีข่าวความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่ปะทุเข้ามาอีกครั้ง ทำตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกปรับลดลงถ้วนหน้า
          โดยตลาดหุ้นไทยเริ่มมีแรงเทขายออกมาอย่างหนัก หลังจากมีข่าวความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเข้ามาในช่วงบ่ายของวันที่ 23 พฤศจิกายน ส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับลดลงหลุดระดับ 1,000 จุด โดยร่วงแรงเกือบ 20 จุด ก่อนจะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา หนุนให้ดัชนีฯ ยืนเหนือ 1,000 จุดได้อีกครั้ง และปิดที่ 1,009.47 จุด ลดลง 9.72 จุดในที่สุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขาย 37,070.56 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิ 1,923.93 ล้านบาท
* หุ้นไทยเผชิญมรสมหนัก
          นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวว่า ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นจนส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก มีทั้งเรื่องสถานการณ์การสู้รบระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ปัญหาหนี้สินของประเทศในแถบยุโรป การใช้มาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีน การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการเรียกร้องต่อการเมืองไทย
          รวมถึงในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันค่าเงินบาทได้เคลื่อนไหวอ่อนค่าลง ซึ่งปัจจัยทั้งหมดล้วนแล้วแต่แตกต่างจากช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งขณะนั้นมีเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนจากมุมมองปัจจัยที่อยู่ในเชิงบวก
          ดังนั้น การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องมีความระมัดระวัง โดยแนะนำว่ายังไม่ควรลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ แต่สามารถเลี่ยงเก็งกำไรตามกระแสค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากปัจจัยดังกล่าว อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ส่งออก และอาหาร เป็นต้น
          สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ในช่วงนี้ ประเมินแนวรับอยู่ที่ 995 จุด และ 986 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,015 จุด
* รอเก็บหุ้นช่วงดัชนีฯ หลุด 1,000 จุด
          นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะมีสัญญาณการรีบาวน์ หลังจากที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลจากปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าตลาดหุ้นในวันก่อนแล้ว โดยเฉพาะประเด็นเหตุการณ์ปะทะระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
          ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหาวิกฤติทางด้านการเงินของประเทศไอร์แลนด์ รวมไปถึงธนาคารขนาดใหญ่ของประเทศจีนได้รายงานว่าจะยุติการปล่อยสินเชื่อในช่วงที่เหลือของปีนี้หลังจากที่ 11 เดือนแรกตัวเลขการปล่อยสินเชื่อเป็นจำนวนโควต้าที่รัฐบาลจีนได้กำหนดไว้ ทำให้ตลาดหุ้นในแถบเอเชียปรับตัวลดลงอย่างหนัก
          โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ จะอยู่ที่ 1,000-1,010 จุด ซึ่งกลยุทธ์การลงทุน แนะนำว่าควรพิจารณาเข้าซื้อเมื่อดัชนีฯ หลุด 1,000 จุด และขายเมื่อดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นสูง โดยมีแนวรับ 1,000 จุด แนวต้าน 1,010 จุด
* 1,000 จุดรับไม่อยู่ ต้องลดพอร์ตเหลือ 25%
          นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่า ภาพรวมของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวันที่ 23 พฤศจิกายนว่า ปรับตัวลงมากว่า 19 จุด เป็นเพราะนักลงทุนตกใจกับเหตุยิงโต้ตอบกันระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือบริเวณหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทระหว่างกัน
          แต่ในที่สุดดัชนีฯ ก็สามารถฟื้นตัวได้จนอยู่ในลักษณะทรงตัวมากขึ้น รวมถึงประเด็นความกังวลถึงวิกฤตการเงินของไอร์แลนด์ ที่เกรงว่าจะลุกลามไปทั่วประเทศในยุโรป ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ ดีดกลับขึ้นมาแข็งค่ามากขึ้น และค่าเงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น
          สำหรับแนวโน้มดัชนีฯ ในวันนี้ (24 พ.ย.) นั้น คาดว่า ดัชนีฯ มีลักษณะปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันก่อน แต่ไม่ปรับตัวลดลงแรงเท่ากับวันดังกล่าว และมองว่าดัชนีฯ จะผันผวนอยู่ในแดนลบมากกว่าแดนบวกในตลอดสัปดาห์นี้
          ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุน หากดัชนีฯ หลุดที่ 1,000 จุด แนะนำให้นักลงทุนลดพอร์ตการลงทุนให้เหลือประมาณ 25% เนื่องจากมองว่ายังมีปัจจัยลบต่างๆ ที่ส่งผลให้ดัชนีฯ มีลักษณะผันผวนมากขึ้นในช่วงนี้ ทั้งความกังวลว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตรการควบคุมอัตราเงินเฟ้ออย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยมองว่าจีนพร้อมจะออกมาตรการออกมาช่วงไหนก็ได้
          รวมถึงปัญญาการเมืองในประเทศไทยเอง ทั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และในวันที่ 29 พฤศจิกายน จะมีกรณีศาลรัฐธรรมนูญแถลงปิดคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่มองว่าไม่ส่งผลต่อเคลื่อนไหวของดัชนีฯ มากนัก
          ทั้งนี้ได้ประเมินแนวรับดัชนีฯ ไว้ที่ 1,000-992 จุด และแนวต้านที่บริเวณ 1,015-1,020 จุด