พฤหัสฯ 18 พ.ย.--eFinanceThai.com :
ปิโตรฯแรงแซงทางโค้ง
**TPC- PTTCH-IRPC- IVL- TOP- PTTAR-VNT
          กูรูเชียร์ซื้อหุ้นกลุ่มปิโตรฯ-โรงกลั่นยกก๊วน แนะ PTTCH และ IVL เป็นหุ้นเด่น ในกลุ่มปิโตรฯ เหตุได้ผลบวกจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นตัวและการขยายกำลังการผลิตอย่างมีนัยฯ ในปี 2554 ส่วน TOP, PTTAR และ ESSO เป็นหุ้นเด่นกลุ่มโรงกลั่น ขณะที่ TPC และ VNT เป็นหุ้นเด่นกลุ่ม PVC ที่น่าจะสามารถกลับมา outperform กลุ่มฯ ด้านบิ๊ก IRPC มั่นใจ ผลงานQ4/53 โตกว่าQ3/53 หลังแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่ง ส่วนTOP คาดQ4/53 มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน พร้อมมั่นใจกำไรปีนี้เข้าเป้า 7 พันลบ.
          ฝ่ายวิจัยบล.เอเซียพลัส ประเมินว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรฯ ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม PVC, HDPE และ PET ทั้งนี้สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักๆ ล่าสุดยังแข็งแกร่งมากและดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกสายผลิตภัณฑ์ จากที่ทำระดับต่ำสุดของปีในช่วงเดือน ก.ค.53 ยกเว้นกลุ่มอะโรเมติกส์ (Px, Bz) ที่เริ่มอ่อนตัวในช่วงสั้น ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และโรงกลั่นวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอาทิ
บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน)(TPC)ปิดที่23.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.90บาทหรือ3.96 % มูลค่าการซื้อขาย 77.50ล้านบาท
บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) (VNT)ปิดที่ 15.40บาท เพิ่มขึ้น 2.20บาทหรือ 16.67% มูลค่าการซื้อขาย 548.08ล้านบาท
บริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCHปิดที่163.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50บาทหรือ 0.93% มูลค่าการซื้อขาย 1205.88ล้านบาท
บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน)(PTTAR)ปิดที่35.50บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,139.04ล้านบาท
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) TOPปิดที่ 61.50บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาทหรือ 2.93% มูลค่าการซื้อขาย1,085.17 ล้านบาท
บริษัท เอสโซ่ จำกัด(มหาชน) ESSO ปิดที่ 6.45บาท เพิ่มขึ้น 0.10บาทหรือ1.57 % มูลค่าการซื้อขาย 10.59ล้านบาท
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน)IRPCปิดที่ 4.40บาท เพิ่มขึ้น 0.08บาทหรือ 1.85% มูลค่าการซื้อขาย 210.86 ล้านบาท
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL) อยู่ที่ 47.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25บาทหรือ0.53 % มูลค่าการซื้อขาย 1,479.81ล้านบาท,
SET Index ปิดที่ระดับ 1,004.72จุด เพิ่มขึ้น14.59 จุดหรือ 1.47% มูลค่าการซื้อขาย 31,006.80 ล้านบาท

**กูรู มอง Spread PVC สูงสุดในรอบ 9 เดือน เลือกTPC, VNTโดดเด่นสุด **
         ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี และโรงกลั่น มากกว่าตลาด โดยยังคงแนะนำซื้อทั้ง TPC, PTTCH, IRPC, IVL, TPC, TOP, PTTARและยังคงเลือก PTTCH และ IVL เป็นหุ้น Top picks ในกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งจะได้รับผลบวกจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นตัวและการขยายกำลังการผลิตอย่างมีนัยฯ ในปี 2554 และทำให้ EPS ปี 2554 เติบโตอย่างมีนัยฯ ส่วน Top picks กลุ่มโรงกลั่นเลือกโรงกลั่นที่มีธุรกิจปิโตรเคมืทั้ง TOP, PTTAR และ ESSO ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากค่าการกลั่นที่เริ่มฟื้นตัวและราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ที่มีแนวโน้มสดใสมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังเลือกหุ้นกลุ่ม PVC ทั้ง TPC และ VNT ที่น่าจะสามารถกลับมาoutperform กลุ่มฯ และตลาดฯ ได้ในระยะสั้น จากปัจจัยบวกที่สนับสนุนในเรื่องของ Spread ที่จะฟื้นตัวอย่างมีนัยฯ ใน Q4/53
          โดยกลุ่มปิโตรเคมีสาย PVC (TPC, VNT) – Spread ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน: พบว่าราคา PVC ล่าสุดปรับตัวขึ้นแตะระดับ 1 พันเหรียญฯ/ตันอีกครั้งในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาวัตถุดิบขั้นต้นซึ่งได้แก่ เอทิลีนล่าสุดเท่ากับ 995 เหรียญฯ/ตัน เริ่มกระเตื้องขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ลดลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 98 เหรียญฯ/ตัน (ผลจากโรงงาน ระยองโอเลฟินส์หรือ ROC ของกลุ่ม SCGที่มีกำหนดปิดซ่อมบำรุงใหญ่นาน 45 วันตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ย.53 ส่งผลให้ Spread ของราคา PVC-เอทิลีน (เป็น Spread อ้างอิงของ VNT ซึ่งใช้เอทิลีนเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต PVC) ปรับตัวขึ้นมาที่ 503 เหรียญฯ/ตัน
         ขณะที่ Spread ของราคา PVC-EDC (เป็น Spread อ้างอิงของ TPC ซึ่งใช้ EDC หรือ Ethylene Di-chloride ซึ่งเป็นวัตถุดิบขั้นกลางเป็นหลักในการผลิต PVC) ปรับตัวขึ้นมาที่ 563 เหรียญฯ/ตัน ทำระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา
         สถานการณ์ดังกล่าวถือว่าส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิใน Q4/53 ของทั้ง TPC และ VNT อย่างมาก โดยแนวโน้มราคา PVC คาดว่ายังเป็นไปในทิศทางบวกเนื่องจากปํญหาเรื่องของ Supply ที่ขาดแคลนมากขึ้นในภูมิภาค จากการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานที่เข้มงวดของจีน อีกทั้งประเด็นเรื่อง Cost push จากราคาเอทิลีนที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นดังกล่าว

**ราคาผลิตภัณฑ์หนุนผลงาน PTTCH-IRPC ในQ4/53**
          ส่วนกลุ่มปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ (PTTCH,IRPC) - ยังครองความโดดเด่นมากในเรื่องของราคาผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งราคาเอทิลีน โพรพิลีน HDPE และ MEGโดย ราคาเอทิลีนล่าสุดกระเตื้องมาที่ 995 เหรียญฯ/ตัน ดังกล่าวข้างต้น เช่นเดียวกับราคาโพรพิลีนที่ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ 1.29 พันเหรียญฯ/ตัน ส่วนราคาเม็ดพลาสติก HDPE ในขั้นปลาย ยังคงแข็งแกร่งและทำระดับสูงสุดต่อเนื่องในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาที่ 1.32 พันเหรียญฯ/ตัน ขณะที่ราคาแนฟทาวัตถุดิบแม้จะปรับตัวขึ้นมาที่ 786 เหรียญฯ/ตัน แต่ Spread ของราคา HDPE-แนฟทา ยังทรงตัวที่ระดับสูงถึง 539 เหรียญฯ/ตัน สูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะ PTTCH ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องของวัตถุดิบที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้ส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิใน Q4/53
         นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ MEG (สารขั้นกลาง) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ PTTCH อีกประเภท พบว่าอยู่ที่ระดับ 910 เหรียญฯ/ตัน จากที่ลดลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 840 เหรียญฯ/ตันในช่วงเดือน ก.ย.53 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยผลักดันแนวโน้มกำไรสุทธิใน Q4/53
          ส่วนผลิตภัณฑ์ของ IRPC ซึ่งเป็นเม็ดพลาสติก Specialty หรือผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ประกอบด้วย PP (สัดส่วน 15% ของผลิตภัณฑ์รวม) ราคาล่าสุดเท่ากับ 1.44 พันเหรียญฯ/ตัน สูงสุดในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และ ABS (สัดส่วน 4%) พบว่าระดับราคายังแข็งแกร่งมากถึง 2.17 พันเหรียญฯ/ตัน และสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิของ IRPC ใน Q4/53 อย่างมากเช่นกัน

**กลุ่มโรงกลั่นเลือกโรงกลั่นที่มีธุรกิจปิโตรเคมืทั้ง TOP, PTTAR และ ESSO**
          ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ (TOP, PTTAR, ESSO) – โดดเด่นจากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ระดับสูงมาก: ราคาพาราไซลีน (Px) ล่าสุดอยู่ที่ 1.23 พันเหรียญฯ/ตัน อ่อนตัวเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ 1.29 พันเหรียญฯ/ตัน แต่ Spread ของราคา Px-แนฟทา ยังสูงถึง 444เหรียญฯ/ตัน เช่นเดียวกับราคาเบนซีน (Bz) ที่อ่อนตัวช่วงสั้นลงมาเหลือ 930 เหรียญฯ/ตัน ทำให้ Spread ของราคา Bz-แนฟทา เฉลี่ยเท่ากับ 144 เหรียญฯ/ตัน
          อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อแนวโน้ม Spread ของกลุ่มอะโรเมติกส์ใน Q4/53 เนื่องจากแนวโน้มความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ในช่วง peak สุดของปี อีกทั้งการขาดแคลน Supply ของ PTA ซึ่งเป็นสารขั้นกลาง จะยิ่งผลักดันให้ราคา Px ซึ่งเป็นสารขั้นต้นนั้น ยังคงทรงตัวระดับสูงต่อเนื่องได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/53 ของ TOP, PTTAR แล ESSO ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มฯ

** IVL แจ่มจาก ราคา PETในเอเชียทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์**
          และกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลายสายเม็ดพลาสติก PET (IVL) – ราคา PET ในเอเชียทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.59 พันเหรียญฯ/ตัน: ซึ่งสูงกว่าราคา PET ในทวีปยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ที่ระดับเฉลี่ยราว 1.3 พันเหรียญฯ/ตัน ทำให้ส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q4/53 ของ IVL ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มฯ อย่างมาก

**IRPC มั่นใจ ผลงานQ4/53 โตกว่าQ3/53 หลังแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่ง **
         ด้านดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาสที่ 4 จะเติบโตมากกว่าไตรมาส 3 เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรจากปั๊มน้ำมัน (Stock Gain) ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วงไตรมาสที่ 3/2553 ประกอบกับยังเป็นฤดูกาลที่สามารถขนส่งสินค้าได้สะดวกมากขึ้น หลังจากที่ได้ผ่านพ้นฤดูฝนซึ่งถือเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้า
          อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถประเมินผลประกอบการช่วงสิ้นปีนี้ได้ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนยังมีความผันผวน ดังนั้นจะต้องรออีกระยะหนึ่งในการดูรายละเอียด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ปรับกลยุทธ์ในการขายสินค้า โดยเปลี่ยนมาเป็นระบบเรียลไทม์ หลังจากที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนสูงมาก โดย 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ในระดับ 10% ดังนั้นจึงต้องมาดูการซื้อขายสินค้าแบบวันต่อวัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลประกอบการ
          ดร.ไพรินทร์ กล่าวต่อว่า ในปี 2554 บริษัทฯ มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงเดือนพ.ย. ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะปิดเป็นระยะเวลาเท่าใด แต่เชื่อว่าจะไม่นานมากนัก ซึ่งอยู่ในแผนงานของบริษัทฯ อยู่แล้ว

** TOP คาดQ4/53 มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน พร้อมมั่นใจกำไรปีนี้เข้าเป้า 7 พันลบ. ส่วนปีหน้าตั้งเป้ากำไร 8 พันลบ. **
          นายวิรัตน์ เอื้อนามิต ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการด้านการเงิน บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าในไตรมาส 4/53 บริษัทฯจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) และคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในไตรมาส 4 หลังจากที่แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในเดือนตุลาคมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งบริษัทฯมีต้นทุนน้ำมันดิบ 74-75 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนโรงไฟฟ้า IPT ที่บริษัทฯปิดเดินหน้าผลิต จะกลับมาเดือนเครื่องผลิตได้ และสามารถถึงจุดคุ้มทุน เนื่องส่วนหนึ่งบริษัทฯได้มีการทำประกันครอบคลุมไว้แล้ว
          สำหรับในปีหน้าในส่วนของกำลังการกลั่น คาดว่าจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 102% จากกำลังการผลิตเฉลี่ยในปีนี้ที่ใช้กำลังการผลิตประมาณ 95-96% เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯมีการปิดซ่อมบำรุง ส่งผลให้บริษัทฯมีกำลังการกลั่นต่ำกว่ากำลังการกลั่นที่เคยผลิตเดิม ขณะที่ในปีหน้าบริษัทฯจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้อยกว่าปีนี้
          ด้านนายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทฯมั่นใจว่ากำไรจากการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ 7 พันล้านบาท พร้อมทั้งตั้งเป้าในปีหน้าบริษัทฯตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานไว้ที่ 8 พันล้านบาท
          นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเจรจาในการซื้อกิจการ (M&A) จำนวน 2-3 ดีล โดยคาดว่าจะสามารได้ข้อสรุปในปีหน้าอย่างน้อย 1 ดีลโดยในส่วนของโครงการผลิตเอทานอล บริษัทฯกำลังศึกษาอยู่ในหลายโครงการ ในส่วนของเอทานอลจะเน้นการผลิตเพื่อส่งออก ปัจจุบันบริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในการเข้าบริหารเรือ จำนวน 3 ลำ โดยคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในเดือนหน้า ซึ่งเรือดังกล่าวจะนำมารับจ้างในการขนส่งสินค้าให้กับบริษัทในกลุ่มปตท. และไทยออยล์
          ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุน 5 ปี (2554-2558) ไว้ที่ 500-1,000 ล้านเหรียญ โดยเป็นงบลงทุนปกติ ซึ่งเป็นไปตามแผนการเติบโตของบริษัทฯ