พฤหัสฯ 13 ต.ค.2554--eFinanceThai.com :
ICT-แบงก์-โรงกลั่นยิ้มรับลดภาษี

        วงการ ฟันธงกลุ่มไอซีที - แบงก์พาณิชย์ และโรงกลั่น เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการลดภาษีนิติบุคคล เหลือ 23% ในปีหน้าและ 20%ในปี 56 ขณะที่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับผลกระทบหนักสุด ตามมาด้วย ชิ้นส่วนอิเล็กฯและชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่มอง มาตรการลดภาษีฯ หนุนกำไรตลาดปีหน้าโต 20%เพิ่มจากปัจจุบันที่คาด โต11%
        หลังจากที่รัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ ผ่านมาตรการรถยนต์คันแรก ตามมาด้วยมาตรการบ้านหลังแรก ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 ต.ค.54มีมติ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในรอบบัญชีปี 2555 และลดเหลือ 20% ในปี 2556 เพื่อชดเชยต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่เสนอให้เพิ่มเป็นวันละ 300 บาท และผู้จบระดับปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท ทั้งนี้เพื่อช่วยเสริมศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 แม้มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ราว 5.25 หมื่นล้านบาท
***ASP คาด ลดภาษีฯ หนุนกำไรบจ.ปี 55 เพิ่มจากเดิม 2% หุ้นที่ได้ประโยชน์มากสุดคือ กลุ่มแบงก์ ประกัน หลักทรัพย์ และ สื่อสาร ***
        ด้านฝ่ายวิจัยบล.เอเซียพลัส ระบุว่า จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า นโยบายลดภาษีนิติบุคคลดังกล่าว เมื่อหักลบผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าวแล้ว จะหนุนให้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาดปี 2555 เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 2% โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์มากสุด คือ ธ.พ. (คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานราว 8%) ประกัน(8%) หลักทรัพย์(8%) สื่อสาร(8%) รองลงมาคือ บันเทิง(5%) โรงพยาบาล(3%) ขนส่ง(3%) วัสดุก่อสร้าง(2%) และค้าส่ง-ค้าปลีก(2%) ตรงกันข้ามกลุ่มที่เสียประโยชน์ได้แก่ รับเหมาก่อสร้าง (กำไรจะลดลงจากเดิม 32%) ชิ้นส่วนอิเล็กฯ(-10%) และชิ้นส่วนยานยนต์(-7%)
        แต่อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้ยังมิได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศที่กำลังลุกลามในขณะนี้ ซึ่งทำให้Domestic Plays อาจจะไม่ได้รับผลประโยชน์เต็มที่ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น Domestic Plays ให้เลือกลงทุนต้องเลือกหุ้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากสถานการณ์น้ำท่วม ได้แก่ แนะนำ BLA, ADVANC, BIGC และ MAKRO
*** KTZMICO คาด หุ้นที่ได้ประโยชน์คือ ไอซีที+11.4% ธนาคารพาณิชย์+8.3% และโรงกลั่น +8.8%***
        ฝ่ายวิจัยบล.เคทีซีมิโก้ คาดว่าลดภาษีนิติบุคคลเป็น 23% ในปี 55 เป็นบวกมากสุดต่อกลุ่มไอซีที ธนาคาร และโรงกลั่นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนการลดอัตราภาษีนิติบุคคลตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยปรับลดจากอัตรา 30% ลงเหลือ 23% ในปี 55 และเหลือ 20% ในปี 56
        ทั้งนี้ ได้ประเมินผลกระทบต่อประมาณการกำไรปี 55 พบว่าการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน จะทำให้ประมาณการกำไรปี 55 ลดลง1.4% แต่เมื่อรวมผลกระทบจากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลเป็น 23% เข้าไป จะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 55 เพิ่มขึ้นราว 5.6% ทั้งนี้ หากมีการปรับลดสมมติฐานอัตราเติบโตเศรษฐกิจลง 1% จะกระทบต่อประมาณการกำไรราว 4-5% ดังนั้น การปรับลดภาษีนิติบุคคลได้ช่วยลดผลกระทบจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลงได้ นอกจากนี้ พบว่ากลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจากนโยบายของรัฐนี้ คือ กลุ่ม ไอซีที(+11.4%) ธนาคารพาณิชย์ (+8.3%) และโรงกลั่น (+8.8%) ขณะที่กลุ่มได้รับผลกระทบเชิงลบมากสุด คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (-34%) กลุ่มส่งออกอาหาร (-9.3%) และกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (-7.9%)
***FSS มอง ลดภาษีนิติบุคคลฯเป็นบวกต่อตลาดหุ้น ทำให้กำไรตลาดเพิ่มอีก 7.7% กำไรปีหน้าโต 20% ***
        บล.ฟินันเซียไซรัส (FSS) ประเมินว่าการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นบวกกับตลาดหุ้นเพราะจะทำให้กำไรของตลาดเพิ่มขึ้นอีก 7.7% ทำให้กำไรปีหน้าเติบโต 20%Y-Y เพิ่มจากปัจจุบันที่คาด +11%Y-Y กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีได้แก่กลุ่มแบงก์ (ยกเว้น TMB) (ลดผลกระทบทันทีจากความวิตกสินเชื่อหด NPL เพิ่ม ดอกเบี้ยขาลง), หลักทรัพย์ (ชดเชยไม่ได้กับค่าคอมเสรี), สื่อสาร (ADVANC, AIT, DTAC), บันเทิง (BEC, MCOT,WORK), ค้าปลีก (HMPRO, MAKRO, GLOBAL, CPALL), ประกัน (BLA), พลังงานและปิโตร (BCP, GUNKUL, PTT, PTTCH, PTTEP, TOP), วัสดุก่อสร้าง (BSBM, TMT, DCC, DRT)
*** บล.กรุงศรีฯ- บล.ฟิลลิป เปิดโผ หุ้นที่รับอานิสงส์ จากมาตรการลดภาษีนิติฯเหลือ 23% ในปีหน้า ***
        บล. กรุงศรีอยุธยา สำหรับประเด็นการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ในปี 55 ถือว่าเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อการขยายตัวของกำไรปีหน้า ซึ่งจะขยายตัวจากที่คาดการณ์ไว้เดิมประมาณ 6%โดยมีรายละเอียดรายหุ้นดังนี้
        กลุ่มที่คาดว่ากำไรมากกว่า 8% ประกอบด้วย KBS BBL KBANK KK KTB SCB TCAP TISCO ASP BLS KEST PHATRA STANLY DCC SCCC SCC AP ITD LH LPN MK NOBLE PS QH SPALI BIGC CPALL HMPRO MAKRO BGH BH KH THAI AOT ADVANC DTACTHCOM TRUE
        กลุ่มที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 5-8% ประกอบด้วย KSL AH SAT STEC PTT MINT
        กลุ่มที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 2-5% ประกอบด้วย CPF PTTCH AMATA PSL
        และกลุ่มที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 0-2% ประกอบด้วย TUF TMB TSC SSI IVL TSTH CK BANPU PTTEP DELTA HANA
         ด้านบล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ประเมิน หุ้นรับประโยชน์นโยบายภาครัฐจากการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งต้องพิจารณาสุทธิกับผลกระทบเชิงลบจากมาตรการเกี่ยวกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน และเงินเดือนปริญญาตรีที่ 15,000 บาท/เดือน
        โดยกลุ่ม ธนาคารหุ้น Top pick คือ BBL, KBANK, KTB, SCB
        กลุ่ม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หุ้น Top pick คือ ADVANC, AIT, DTAC, IT
        กลุ่ม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หุ้น Top pick คือ AP, MK, PS, SIRI, TTCL
        กลุ่ม วัสดุก่อสร้าง หุ้น Top pick คือ SCCC
        ขณะที่ หุ้นรับประโยชน์จากกิจกรรมการซ่อมบำรุง/เยียวยาหลังภาวะน้ำท่วมคลี่คลาย
        กลุ่ม หุ้น Top pick
        กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หุ้น Top pick STEC
        กลุ่ม วัสดุก่อสร้าง หุ้น Top pick DCC, SCC, SCCC
        กลุ่ม พาณิชย์ หุ้น Top pick HMPRO
        หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากแรงกดดันหลักของตลาดยังมาจากภายนอกเป็นสำคัญ ดังนั้น หากตลาดมีความวิตกเรื่องปัญหาหนี้ยุโรปหรือเศรษฐกิจสหรัฐขึ้นมาช่วงใด หุ้นที่มีความเสี่ยงจากการมี Exposure โดยตรงกับตลาดยุโรป, สหรัฐ ในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญจะเป็นเป้าหมายการถูกเทขายก่อน ดังนั้น อาจต้องหลีกเลี่ยงเป็นบางช่วง อาทิ กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์, กลุ่มหลักทรัพย์, กลุ่มขนส่งทางอากาศและทางเรือ, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
***สภาธุรกิจตลาดทุนไทย มอง ดัชนีฯมีโอกาสร่วงแรงอีกรอบ  แต่ระยะยาวในรอบ 1 ปี มีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้น จากมาตรการลดภาษีฯ***
        นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษ จับเทรนเศรษฐกิจโลก รับมือการลงทุน 2012 ว่า เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยรอบ 2 เนื่องจากปัญหาต่างๆ มีความชัดเจนในตำแหน่งที่เกิดปัญหาและสามารถประเมินความรุนแรงของปัญหาได้ชัดเจนมากกว่าปี 2552 แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในด้านมาตรการที่เด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา แต่ขณะเดียวกันพบว่าภาคธุรกิจมีความเข้มแข็งอย่างมาก ดังนั้นโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอยคงไม่เกิดขึ้น แต่จะมีลักษณะการเติบโตที่ช้า ขณะที่เศรษฐกิจในยุโรปอาจถดถอยลงตั้งแต่ไตรมาสนี้ถึงไตรมาสหน้า จนกว่าจะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมา ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2555 เศรษฐกิจยุโรปจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหนึ่ง
        ขณะที่ประเทศจีนแม้จะมีการแตะเบรคเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าเมื่อถึงระดับที่ทางการจีนเห็นว่าเหมาะสมแล้วจะสามารถกลับมาเดินหน้าเศรษฐกิจได้อีกครั้งในครึ่งปีหลัง 2555 เช่นกัน ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่ามีความคุ้มกันในระดับสูงและยังมีเครื่องมือในการบริหารจัดการเศรษฐกิจอีกมาก
        อย่างไรก็ตามภาวะตลาดการเงินและตลาดทุนของโลกใน 6 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มผันผวนหนัก เนื่องจากมาตรการของยุโรปที่จะดูแลกรีซยังไม่ชัดเจน ทำให้ตลาดคาดการณ์และเกิดความหวังในมาตรการหลักมากกว่ามาตรการเฉพาะหน้า ซึ่งอาจมีวิธีที่ทางการยุโรปจะเพิ่มทุนให้ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปเพิ่มขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อการลดหนี้จากพันธบัตรของกรีซที่ตนเองถือครองอย่างน้อยประมาณ 50% ซึ่งอาจต้องใช้เงินอีกประมาณ 2 แสนล้านยูโร เพื่อดูแลในส่วนดังกล่าว ขณะเดียวกันจากการที่ทางการจีนแตะเบรคเศรษฐกิจนั้น จะทำให้การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกมาไม่ดี ซึ่งตลาดทุนจะมีความกังวลและมีความผันผวนสูงมาก ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าจะเป็นการปรับตัวลดลงในสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนจึงยังไม่ควรเก็งกำไรและต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
        ส่วนสถานการณ์ของภาวะเศรษฐกิจไทยถือว่ามีภูมิคุ้มกันในระดับสูง ภาคธุรกิจมีความแข็งแกร่ง แม้ภาคการส่งออกอาจชะลอลงจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรป แต่ขณะเดียวกันดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นระยะหนึ่งแล้วจะสามารถช่วยรองรับหากเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะทำให้มีช่องว่างที่สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงได้
        สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ เนื่องจากราคาหุ้นที่ไม่แพงมากนัก และในปีหน้าบริษัทจดทะเบียนจะได้รับประโยชน์จากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทดีขึ้น ดังนั้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดีและจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้ โดยประเมินเป้าหมายดัชนีในระยะ 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 1,200 จุด จากปัจจัยพื้นฐานในขณะนี้ถือว่ามีความสมเหตุสมผล