อังคาร 1 พ.ย.2554--eFinanceThai.com :
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส-เล่นหุ้นน้ำท่วม

           ได้เวลาเก็บหุ้นที่ถูกน้ำท่วม โบรกฯ แนะเริ่มทยอยซื้อหุ้นกลุ้มนิคมฯ อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ หลังน้ำทางพื้นที่ตั้งนิคมฯ อย่างอยุธยา - ปทุมธานีเริ่มลดระดับลง มอง ROJNA - NNCL จะฟื้นก่อนเพื่อเตรียมไฟฟ้า และน้ำ ส่วนหุ้นชิ้นส่วนให้จับตา HANA ,KCE รถยนต์ SAT ,AH เพราะจะกลับมาเดินสายการผลิตก่อนใคร ด้านหุ้นที่อยู่อาศัยอย่าง PS LH และ QH ได้อานิสงส์เช่นกัน เชื่อจะเริ่มซ่อมแซมบ้านเสร็จรอการขาย
           บล.ไอร่า ประเมินถึงทิศทางน้ำท่วมในสัปดาห์นี้ว่า น้ำจะค่อยๆ ทยอยลดลงจาก นครสวรรค์ ถึง อยุธยา และ ปทุมธานี ซึ่งจะเป็นจังหวะที่จะสามารถเข้ามาทยอยสะสมหุ้นที่ถูกน้ำท่วม โดยหุ้นนิคมอุตสาหกรรมอย่าง บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA และ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) หรือNNCL จะฟื้นตัวก่อนเพื่อเตรียมไฟฟ้าและน้ำสำหรับโรงงานต่างๆ
           ส่วนหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และหุ้นรถยนต์ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT และ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH จะกลับมาเริ่มเดินการผลิตอีกครั้ง
           นอกจากนี้หุ้นที่อยู่อาศัย อย่าง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH จะได้รับประโยชน์เช่นกันเพราะเริ่มซ่อมแซมบ้านเสร็จรอการขาย
           โดยราคาหุ้นดังกล่าวปิดตลาดในแดนบวกกันถ้วนหน้า ดังนี้
           ROJNA ปิดการซื้อขายที่ระดับ 6.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 หรือ 10.17% มูลค่าการซื้อขาย 35.35ล้านบาท
           NNCL ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 หรือ 0.72 % มูลค่าการซื้อขาย 1.09 ล้านบาท
           HANA ปิดการซื้อขายที่ระดับ 16.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 หรือ 1.22 % มูลค่าการซื้อขาย 22.70 ล้านบาท
           KCE ปิดการซื้อขายที่ระดับ 4.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.72 หรือ 20.11% มูลค่าการซื้อขาย 122.49 ล้านบาท
           SAT ปิดการซื้อขายที่ระดับ 17.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 หรือ 1.16% มูลค่าการซื้อขาย 8.52 ล้านบาท
           AH ปิดการซื้อขายที่ระดับ 8.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 หรือ 2.98% มูลค่าการซื้อขาย 2.89ล้านบาท
           PS ปิดการซื้อขายที่ระดับ 10.70 บาท ลดลง 0.20 หรือ -1.83 % มูลค่าการซื้อขาย 123.83 ล้านบาท
           LH ปิดการซื้อขายที่ระดับ 5.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.15 หรือ 2.70% มูลค่าการซื้อขาย 131.92 ล้านบาท
           QH ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 หรือ 1.50 % มูลค่าการซื้อขาย 16.69 ล้านบาท
*** ROJNA - NNCL เตรียมเดินหน้าเร่งฟื้นฟูเต็มที่
           นางอมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJNA)ระบุว่าขณะนี้บริษัทได้เตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วม โดยรอให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติและน้ำลด ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้ตั้งงบไว้ประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการฟื้นฟูและการซ่อมแซมเขื่อนกันน้ำ
           นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) หรือ NNCL เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมอย่างหนักในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯในขณะนี้ทำให้คาดว่าจะกระทบต่อรายได้ในปีนี้ให้ลดลงเล็กน้อย จากเดิมที่คาดว่าจะทำรายได้ทั้งปีเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,113.95 ล้านบาท หลังจากประเมินแนวโน้มสถานการณ์ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ว่ารายได้ในส่วนของสาธารณูปโภคอาจจะลดลงไปประมาณ 10% จากสัดส่วนที่มีอยู่ทั้งหมด 50%
           ทั้งนี้บริษัทฯก็จะเร่งดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว โดยในเบื้องต้นได้มีการว่าจ้างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (ITD) เข้ามาช่วยฟื้นฟู โดยเป็นการเร่งสูบน้ำออกจากในพื้นที่ ซึ่งได้นำข้อมูลจากภาครัฐเข้ามาพิจารณาประกอบการดำเนินงานที่คาดว่าระดับน้ำจะลดลงในช่วงกลางเดือนพ.ย.นี้ ทำให้คาดว่าจะสามารถฟื้นฟูพื้นที่ได้ในช่วง 15-30 วัน หลังจากที่ระดับน้ำได้ลดลงไปแล้ว และคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วง 2-3 เดือน
           นอกจากนี้ยังได้มีการประชุมกับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจและมีโรงงานอยู่ในพื้นที่นิคม ซึ่งก็จะนำข้อเสนอไปหารือกับภาครัฐเพื่อให้ช่วยในเรื่องของภาษีและมาตรการช่วยเหลือในด้านของแรงงาน เพื่อเป็นการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้
           ทั้งนี้รัฐบาลควรจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทยอย่างโดยเร็ว เพื่อไม่ให้นักลงทุนตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศคู่แข่ง แต่ในขณะนี้นักลงทุนก็ยังไม่มีการยกเลิกสัญญาที่มีความต้องการจะใช้พื้นที่ในนิคมเป็นฐานการผลิต
           ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ เปิดเผยว่าหุ้น NNCL มีแนวรับอยู่ที่ 1.36 บาท และแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1.35 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1.41 บาท และ 1.46 บาท ตามลำดับ กลยุทธ์แนะขายที่แนวต้านหรือซื้อเก็งกำไรที่แนวรับ
           ส่วนหุ้น ROJNA แนะนำเล่นสั้น ให้แนวรับ 5.90 บาท แนวต้าน 6.15 บาท
*** KCE มีทั้งประกัน - ปันผลถึง 11.7%
           บล.ไอร่า เปิดเผยว่า ทาง KCE ได้ทำประกันความเสียหายต่อทรัพย์สินและการหยุดชะงักทางธุรกิจไว้อย่างเพียงพอ ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันสูงมี ROA ถึง 15.5% และ ROE ถึง 18.5% นอกจากนี้ยังมีมูลค่าทางบัญชี 5.6 บาท และมีปันผลถึง 11.7% จ่าย 2 ครั้ง
           นายปัญจะ เสนาดิศัย กรรมการ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า คาดว่าเดือนม.ค.ปีหน้า โรงงานของบริษัทฯที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทคน่าจะกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิต 900,000 ตารางฟุตต่อเดือน แลถือเป็นโรงงานที่ใหญ่กว่าโรงงานของบริษัทฯอีก 2 แห่ง ซึ่งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังและบางปูส่วนช่วงไตรมาส 4 ยอมรับว่าสินค้าอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า แต่บริษัทฯก็เลือกจะส่งสินค้าให้กับลูกค้าที่เลือกจะสั่งสินค้ากับบริษัทฯเจ้าเดียว
           ทั้งนี้คาดว่ายอดขายปีหน้าจะโตไม่ต่ำกว่า 15% ส่วนปีนี้ยอดขายไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมายอดขายรวมสูงกว่ายอดขายรวมของปีก่อน และแม้ว่ายอดขายไตรมาส 4 อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค แต่โดยปกติแล้วในบางเดือน โรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทคก็ขาดทุนทำให้เป็นตัวฉุดยอดขายทั้งปี ดังนั้นสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น จึงไม่น่าจะกระทบกับบริษัทฯมากนัก แม้ว่ายอดขายจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาส 3
           สำหรับปีหน้าบริษัทฯวางแผนขยายโรงงานแห่งที่ 4 ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการก่อสร้างโรงงานปลายไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งระยะเวลาการก่อสร้างจนเดือนเครื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน แต่ขณะนี้จะต้องเร่งปรับปรุงโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทคก่อน
           ส่วนการจ่ายปันผลระหว่างกาลในงวดครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯจะประชุมคณะกรรมการบริษัทฯก่อนในเดือนเม.ย.ปีหน้า ว่าจะตัดสินใจจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีหลัง หรือจะเก็บเงินไว้ใช้ขยายโรงงาน เนื่องจากบริษัทฯไม่ต้องการเพิ่มทุน เพราะไม่อยากให้เป็นภาระกับผู้ถือหุ้น โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 1 ครั้ง
           นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่าราคาหุ้น KCE เมื่อประเมินสัญญาณเทคนิคแล้วมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้ต่อในระยะสั้น จึงแนะนำ "เก็งกำไร" ประเมินแนวรับ 3.90 บาท และประเมินแนวต้าน 4.20 บาท
           ส่วนหุ้น HANA จากการตรวจสอบสัญญาณเทคนิคราคาหุ้น HANA มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวแตะระดับแนวต้านที่กำหนดไว้ได้ ปริมาณการซื้อขายเข้ามาเบาบางหลังจากบริษัทฯ ดังกล่าวได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมโรงงาน แนะนำ "ซื้อถือ" ประเมินแนวรับ 16.00 บาท และประเมินแนวต้าน 17.00 บาท
*** ทรีนีตี้ ให้เป้าหมาย SAT ปี 55 ที่ 22 บาท
           บล.ทรีนีตี้ สรุปทิศทางของ SAT ว่าในไตรมาส 3/54 มีกำไรสุทธิ 195 ล้านบาท: (กำไรต่อหุ้น 0.57 บาท) เพิ่มขึ้น 123% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากไตรมาส 2/54 ถูกกระทบจากเหตุการณ์สึนามิในญี่ปุ่น ในขณะที่ลดลงจากปีก่อน 9% ถ้าหากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 ล้านบาท SAT จะมีกำไรปกติที่ทำจุดสูงสุดใหม่ได้เท่ากับ 220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117% จากไตรมาสก่อน และ 8% จากปีก่อน โดยได้แรงหนุนจาก ยอดขายในไตรมาส 3/54 จะสูงถึง 1,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อน และ 18% จากปีก่อน แรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไตรมาสสาม อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะปรับดีขึ้นเป็น 19% เทียบกับ 15.2% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากการผลิตเต็มกำลังการผลิตมากขึ้น แต่ลดลงจากปีก่อนซึ่งเท่ากับ 20% เนื่องจากค่าเสื่อมที่สูงขึ้นจากโรงหล่อเหล็กใหม่ (ICP2)
           ทั้งนี้ทางบริษัทได้มีการประกันภัยที่คุ้มครองค่าเสียหายของสินทรัพย์จากน้ำ ท่วมไว้แล้ว ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท โรงงานของ SAT มีอยู่ 2 โรงงาน คือ ที่ ถนนบางนา-ตราด อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และ อีกแห่งที่จังหวัดระยอง โดยที่โรงงานบางพลีได้มีการสร้างคันกันน้ำในแต่ละอาคารไว้และได้ขนย้าย อุปกรณ์และเครื่องจักรเท่าที่สามารถทำได้ขึ้นไปอยู่ในที่ปลอดภัยจาก เหตุการณ์ใด ๆที่อาจเกิดขึ้น
           ส่วนผลกระทบน้ำท่วมปัจจุบันทางทำให้ค่ายรถยนต์ได้ประกาศหยุดผลิต คือ โตโยต้า อีโน่ อีซูซุ นอกจาก ฮอนด้าที่โรงงานประสบน้ำท่วม ที่ยังมีผลิตอยู่คือ ฮีโน่ ใช้กำลังการผลิต 60% นิสสัน (50%) AAT (20%) มิตซูบิชิ (45%) และ GM (55%) ทำให้ SAT มีการใช้กำลังการผลิตประมาณ 20-30% โดยจะผลิตที่โรงงานระยอง ภายใต้สมมติฐานค่ายรถยนต์ต่างๆกลับมาผลิตในระดับปกติในเดือน ธันวาคม ส่วน Honda และ Kubota ผลิตได้ประมาณในเดือน ม.ค. SAT ประเมินยอดผลิตรถยนต์ปีนี้จะเท่ากับ 1.57 ล้านคัน เทียบกับปีก่อน 1.65 ล้านคัน ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของ SAT ขาดทุนในไตรมาส 4/54
           สำหรับแนวโน้มปี 2555 หลังจากที่ค่ายรถยนต์ต่างๆกลับมาผลิตในระดับปกติคาดจะเติบโตโดดเด่น แรงหนุนจากแรงซื้อที่อั้นมาจากในปี 2554 นอกจากนี้เราคาดอุตสาหกรรมรถยนต์จะยังได้แรงหนุนจาก นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อ และ ค่ายรถต่างๆมีการเปิดตัวรถอีโค-คาร์มากขึ้น รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆยังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในการส่งออก โดยในปี 2555 เราประเมินยอดผลิตรถยนต์จะกลับมาเท่ากับเป้าหมายใน 2554 ซึ่งเท่ากับ 1.8 ล้านคัน หรือ เติบโตจากปี 2553 เท่ากับ 15% และคาดจะทำให้ยอดขายของ SET ในปี 2554 เท่ากับ 7,078 ล้านบาท เติบโต 15% และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 749 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 2.20 บาท) เติบโต 66%
           ทางบล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า SAT เป็นหุ้นที่มีศักยภาพที่จะเติบโตสูงในอนาคต แต่เนื่องจาก โรงงานของ SAT ตั้งที่ บางพลี ซึ่งปัจจุบันมวลน้ำยังเดินทางมาไม่ถึง ซึ่งยังมีความเสี่ยง เราประเมินราคาเป้าหมายในปี 2555 เท่ากับ 22 บาท บนฐาน P/E ประมาณ 10 เท่า รวมแล้วเราแนะนำ ถือ
           นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป ประเมินหุ้น AH พบว่าราคาหุ้นแนวโน้มที่จะฟื้นตัวแตะระดับแนวต้านที่กำหนดไว้ได้ แต่ในระยะสั้นในช่วง 1-2 วันคงจะรีบาวน์ได้ยากเพราะมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาเบาบางหลังจากบริษัทฯดังกล่าวได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมโรงงาน ดังนั้น จึงแนะนำ "ซื้อถือ" เพื่อรอราคาหุ้นรีบาวน์ในระยะต่อไป ประเมินแนวรับ 8.40 บาท และประเมินแนวต้าน 9.00 บาท
***LH รับยอดขาย Q4/54 วูบ แต่โบรกฯ ยังแนะซื้อ
           นายอดิศร ธนนันท์นราพูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ยอดขายในไตรมาส 4/54 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ทำให้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมโครงการได้ลำบากมากขึ้นและชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วง2 เดือนนับตั้งแต่ปลายเดือน ต.ค.54เป็นต้นไป ส่งผลให้ยอดขายทั้งปี 54 มีโอกาสจะลดลงจากเป้าเล็กน้อยจากที่ตั้งไว้เติบโต 25% หรือ 2.5 หมื่นล้านบาท
           สำหรับในช่วงไตรมาส4/54บริษัทฯคาดว่าอาจจะต้องเลื่อนการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวในบริเวณพื้นที่ ศาลายา จ.นครปฐม เนื่องจากขณะนี้ระดับน้ำได้ไหลเข้าสู่ในโครงการจนได้รับผลกระทบแล้ว แต่ถือว่าเป็นโครงการที่ขนาดเล็กมูลค่าเกือบ 1 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งในอีก 6-7 โครงการที่มีเเผนจะเปิดในช่วงไตรมาส4/54ก็ยังเป็นไปตามเดิมมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านบาท
           ขณะที่แนวโน้มรายได้ปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมเล็กน้อยจากเดิมคาดว่าจะเติบโต 20-30% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม แต่ยอมรับว่าในช่วงไตรมาส4/54ยังมียอดการโอน(ยอดรับรู้รายได้)จากคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้มากกว่า 50% ของมูลค่าทั้งหมด
           นายอดิศร กล่าวต่อเพิ่มว่า บริษัทฯคาดว่าจะสามารถบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ในกองทุนอสังหาฯ มูลค่าเกือบ 5 พันล้านบาท ในช่วงไตรมาส1/55จากเดิมในช่วงไตรมาส4/54 ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการบริษัทฯในปีหน้า
           อนึ่งขณะนี้บริษัทจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ LHPF เพื่อขายสินทรัพย์ทั้งหมด 4 แห่ง แบ่งเป็น Freehold 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นเตอร์พ้อยท์ ทองหล่อ (เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์) และ พร้อมพงษ์ (อพาร์ทเม้นท์) และ Leasehold 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นเตอร์พ้อยท์ โฮเตล แอนด์ เรซิเด้นซ์ วิทยุ และโครงการบ้านพักอาศัย แอล แอนด์ เอช วิลล่า สาทร โดยที่บริษัทฯจะเข้าลงทุนในกองทุนนี้ในสัดส่วน 15-30% ของขนาดกองทุน
           ด้านบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่าจุดเด่นของ LH คือจะขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาฯ แม้จะมีโครงการที่ถูกน้ำท่วมอยู่ 8 โครงการ ในโครงการบ้านแนวราบก็ตาม ซึ่งจะทำให้บริษัทถูกปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 และ 55 ลงในอัตรา 5% และ 3% ตามลำดับ ดังนั้นยังคงคำแนะนำ ซื้อ ปรับลดราคาพื้นฐานลงเป็น 6.52 บาท แต่ยังมีส่วนเพิ่มจากราคาพื้นฐานได้ดี แรงกระตุ้นราคาหุ้นในอนาคตคือ จะขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาฯ ทำให้สามารถบันทึกกำไรในอนาคตจำนวนมากเข้ามา
           ส่วนหุ้น QH ทาง บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ 'ถือ' ราคาพื้นฐาน 1.30 บาท เนื่องจากยังไม่มีข่าวใหม่เข้ามากระตุ้น ในขณะที่มีจำนวนหลายโครงการที่โดนน้ำท่วม และถูกปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 และ 55 ลงในอัตรา 37% และ 23% ตามลำดับ โดยประเมินด้วย P/E ปี 55 ที่ 7.2 เท่า และคิดเป็นส่วนลด 58% จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (RNAV)
           สำหรับหุ้น PS แนะนำ 'ถือ' ราคาพื้นฐาน 12.40 บาท เพราะ มีจำนวนหลายโครงการที่โดนน้ำท่วม จากการสำรวจเป็น 13 โครงการ และถูกปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 และ 55 ลงในอัตรา 19% และ 12% ตามลำดับ ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 55 ที่ 7 เท่า