ศุกร์ 30 ก.ย.2554--eFinanceThai.com :
กูรู ชี้ ฝรั่งเล็งทิ้งหุ้นPTTCH-PTTAR * แนะทำ Short Against Port

         วงการ เปิดกลยุทธ์ยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) หุ้นปิโตรฯ PTTCH และ PTTAR หวั่น นลท.ต่างชาติขายทิ้งแถมอาจถูกปรับลดกำไรปี 55 หากความต้องการใช้ทั่วโลกชะลอตัวลง ขณะที่อุปทานมีอัตราเติบโตช้ากว่าความต้องการ ส่วนกระบวนการควบรวมชี้หนุนมูลค่าตลาดใหญ่เป็นลำดับ 6 ในตลท. ฟากผู้บริหาร PTTCH แย้มกำไร Q3/54 หด! ตามสเปรดที่อ่อนตัว แต่ PTTAR มั่นใจรายได้จากการขายปีนี้เข้าเป้าที่ 3.5 แสนลบ.
***บล.กิมเอ็ง แนะงัดกลยุทธ์ SBL หุ้นกลุ่มปิโตรฯ หวั่นต่างชาติขายทิ้ง
         บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่ากลยุทธ์การลงทุนแนะนำ Short Against Port / SBL (ยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ) หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายในการถูกขายของนักลงทุนต่างชาติและแนวโน้มที่จะถูกปรับลดประมาณการกำไรปี 2555 ลงหากความต้องการใช้ทั่วโลกชะลอตัวลง นอกจากนี้ทั้ง บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR และบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH จะหยุดซื้อขายระหว่างวันที่ 11-20 ตุลาคม 2554 เพื่อควบรวมกิจการเป็น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC จึงเป็นอีกความเสี่ยงที่ต่างชาติจะลดการถือครองหุ้นลงเช่นกัน โดย PTTCH ราคาปิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554 อยู่ที่ 100.00 บาท จึงแนะนำ SBL ที่ระดับราคา 98-100 บาท และปิดสถานะทำกำไรบริเวณ 95 บาท +/- พร้อม Stop loss หากราคาปรับตัวขึ้นสูงกว่า 102.00 บาท ส่วน PTTAR ราคาปิด (28 ก.ย.54) อยู่ที่ 25.25 บาท จึงแนะนำ SBL ที่ระดับราคา 25 บาท +/- และปิดสถานะทำกำไรบริเวณ 23.50 บาท +/- พร้อม Stop loss หากราคาปรับตัวขึ้นสูงกว่า 26.00 บาท พร้อม ขาย/ ตัดขาดทุน
         ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ Downside ของราคาหุ้นยังเปิดกว้าง หากราคาน้ำมันดิบ NYMEX ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานจะยังคงแข็งแกร่ง แต่ KELIVE ประเมินว่าการถือเงินสดเพิ่มขึ้น จะช่วยสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเมื่อถึงจังหวะในการเข้าซื้อกลับอีกครั้ง ขณะที่ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ที่แนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/2554 จะชะลอตัวลงมาก เนื่องจากจะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นถึง 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 เป็นต้นไป และนานกว่าคาดของตลาดที่ประเมินไว้ก่อนหน้าที่ 1 เดือน เพื่อซ่อมบำรุงและเชื่อมต่อระบบโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (Euro 4) สำหรับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2554 เสี่ยงต่อการบันทึกขาดทุนจากสต็อกน้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบดูไบปรับฐานลงสู่บริเวณ US$100/barrel ณ ปัจจุบัน แม้ว่าค่าการกลั่นโดยรวมในไตรมาส 3/2554 จะอยู่ในระดับสูงก็ตาม อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงต่อการเติบโตมากขึ้นเป็นลำดับ ย่อมเป็นอีกเหตุผลของการกดดันราคาหุ้นทางอ้อมมากยิ่งขึ้น แม้ว่าราคา ณ ปัจจุบันจะปรับฐานลงมามากแล้วก็ตาม
***บล.ธนชาต ชี้อุปทานปิโตรฯ มีอัตราโตช้ากว่าความต้องการ
         บล.ธนชาต เปิดเผยว่าจากกรณีที่ PTTGC มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำในเอเชียแปซิฟิกด้วยมีแผนการลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในอนาคต ผ่านทางการทำ M&As หรือร่วมทุน โดยบริษัทยังคงมองบวกต่อ chemicals price cycle เนื่องจากเห็นว่าอุปทานมีอัตราการเติบโตที่ช้ากว่าความต้องการ ขณะที่ PTTAR ได้ยืนยันถึงกระบวนการควบรวมในเดือนตุลาคม 2554 ดังนี้คือ จัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมกันในวันที่ 18 ตุลาคม 2554 โดยบริษัทใหม่จะได้รับการจดทะเบียนภายใต้ชื่อใหม่ในวันที่ 19 ตุลาคม 2554 ส่วนระยะเวลาพักการซื้อขายคือระหว่างวันที่ 11-20 ตุลาคม 2554 และวันซื้อขายวันแรกคือวันที่ 21 ตุลาคม 2554
***บล.กสิกรไทย แนะลดพอร์ตหุ้นคอมโมดิตี้
         นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า คาดว่าตลาดหุ้นในไตรมาส4/2554 อาจจะปรับขึ้นได้บ้าง แต่ก็ต้องติดตามต่างประเทศอย่างใกล้ชิด สำหรับกลุ่มที่แนะนำลงทุน คือหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ ซึ่งจะปลอดภัยกว่าหุ้นพลังงาน โรงกลั่น ปิโตรเคมี ซึ่งควรจะหลีกเลี่ยงในช่วงนี้
         'กลุ่มพลังงานอย่าเพิ่งเข้า ให้โยกจากพลังงานมาซื้อหุ้นในกลุ่มที่อิงกับการบริโภคใน ประเทศเพราะเราจะตกน้อยกว่า สังเกตอย่างวันนี้หุ้นพลังงานหลายตัวลง ' นายกวีกล่าว
         สำหรับหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ BGH ADVANC BIGC GRAMMY CPF และ BLA อย่างไรก็ตาม ควรจะลดพอร์ตการลงทุนหุ้นลงมาเล็กน้อยสำหรับช่วงนี้เพราะตลาดยังผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจยุโรป และกรีซ จึงต้องติดตามใกล้ชิดสำหรับข่าวสารต่างประเทศ
***บล.เคจีไอ คาดหลัง PTTCH ควบรวมมูลค่าตลาดใหญ่เป็นลำดับ 6 ในตลท.
         บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากกรณีที่ PTTCH และ PTTAR คาดว่าแผนการควบรวมกิจการจะเสร็จเรียบร้อยในเดือนตุลาคม 2554 โดย PTTCH ระบุว่าแผนการควบรวมกิจการยังเดินหน้าและคาดว่าจะสามารถควบรวมได้อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 21 ตุลาคม 2554 ซึ่งหลังจากควบรวมกิจการกันแล้วจะส่งผลให้ PTTCH และ PTTAR รวมเป็นบริษัทใหม่ชื่อ PTT Global Chemical หรือ PTTGC จึงคาดว่าจะขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และจะเริ่มได้ประโยชน์จากการควบรวมในช่วงปลายปี 2555
***บล.เกียรตินาคิน ชี้ PTTCH -PTTAR เหมาะลงทุน หลังราคาร่วงในรอบ 2 สัปดาห์
         บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการควบรวมกิจการ ขณะที่ราคาหุ้นตอบรับปัจจัยลบเรื่องผลประกอบการในไตรมาส 3/2554 ไปหมดแล้ว เป็นจังหวะที่ดีต่อการเข้าลงทุน โดยประเมินราคาที่เหมาะสมหลังควบรวมกิจการไว้ที่ 97 บาทต่อหุ้น เนื่องจากราคาหุ้น PTTCH และ PTTAR ที่ลดลงกว่า 16% และ 17% ตามลำดับ ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากภาพรวมของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และความกังวลที่มีต่อผลประกอบการไตรมาส 3/2554 การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น จึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีต่อการเข้าลงทุน โดยปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่งแม้ผลประกอบการจะอ่อนตัวในระยะสั้น แต่จะฟื้นตัวหลังควบรวมกิจการ ซึ่งจากการสอบถามทางบริษัท ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยการควบรวมยังคงเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนด (ไม่เกิน 21 ต.ค. 54)
         ส่วน PTTCH แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2554 ลดลง จากแผนการหยุดซ่อม จึงคาดว่าจะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเหลือ 65% จากระดับ 85% ในไตรมาส 2/2554 ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์สำคัญในไตรมาส 3/2554 อย่าง HdPE และ LLDPE ยังคงมีแนวโน้มทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวชัดเจน หลังควบรวมกิจการ จากกำลังการผลิตที่กลับมาสู่ระดับปกติในเดือนตุลาคม 2554 และราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
         ขณะที่ PTTAR แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2554 ลดลง โดยคาดว่ากลุ่มธุรกิจโรงกลั่นจะมีความเสี่ยงที่ผลประกอบการจะรับรู้ Stock Loss หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ซึ่งล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบไตรมาส 3/2554 ลดลงกว่า 3.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา เหลือ 106.7 เหรียญต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานถือว่าแข็งแกร่งขึ้น โดยปัจจุบันค่าการกลั่นไตรมาส 3/2554 อยู่ที่ 8.87 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 110% เมื่อเปรียบเทียบปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา นอกจากนี้ส่วนต่างราคาพาราไซลีนในเดือนสิงหาคม 2554 สูงถึง 637 เหรียญต่อตัน ทำให้ส่วนต่างราคาพาราไซลีนเฉลี่ยไตรมาส 3/2554 อยู่ที่ 568 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 115% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการ อย่างไรก็ตามยังประเมินราคาที่เหมาะสมของบริษัท หลังควบรวมกิจการไว้ที่ 97 บาทต่อหุ้น (จากการประเมินราคาที่เหมาะสมของ PTTCH และ PTTAR ไว้ที่ 197 บาทต่อหุ้น และ 47 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ) เชื่อว่าผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น หลังควบรวมกิจการจะสร้างความน่าสนใจ ในการลงทุน ทำให้ยังคงแนะนำซื้อ เพราะเป็นจังหวะที่ดีต่อการลงทุน หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากภาวะตลาดฯ และความกังวลต่อกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2554
***บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะซื้อสะสม PTTCH รับวัฏจักรปิโตรฯ ขาขึ้น
         บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่าราคาหุ้นปิโตรเคมีถูกกดดันจากความวิตกกับปัจจัยภายนอก ในระยะสั้น ซึ่งราคาหุ้น PTTCH ปรับลดลงมากกว่าตลาดฯ เพราะวิตกว่าปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากและวิกฤตหนี้สินยูโรโซนจะทำให้อุป สงค์อ่อนแอลงและการโยกย้ายเม็ดเงินเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย กว่าอาจทำให้มีแรงขายหุ้น PTTCH ต่อ ราคาหุ้น PTTCH ได้ปรับลดลงมาแล้ว 23% ซึ่งลดลงมากเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย รองจาก Hanwha Chemical ซึ่งสวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่ดีแข็งแกร่งของ PTTCH เนื่องจากบริษัทเป็น Lowest Cost Producer นอกจากนี้ในทางแย่ที่สุดคือวัฏจักรขาขึ้นยังมีแต่เลื่อนออกไป ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมียังคงอ่อนแอ ซึ่งจะเห็นได้จาก Spread ของ HDPE ที่เท่ากับ 450 US$/ตัน ในปัจจุบัน ( เพิ่มขึ้น 5-10% จากไตรมาสที่ผ่านมา)
         ขณะที่ Spread ของระดับคุ้มทุนเท่ากับ 400 US$/ตัน ผู้ซื้อมีความระมัดระวังสูง ซึ่งอาจทำให้ปิโตรเคมีขาลงเกิดขึ้นไปถึงต้นปี 2555 ซึ่งเห็นว่าความเสี่ยงขาลงของผลประกอบการของ PTTCH ต่ำมาก เพราะความเสี่ยงจากกำลังการผลิตลดลงและปริมาณขายเติบโตเป็นเท่าตัว จึงแนะนำทยอยซื้อสะสม เพื่อรับกับวัฏจักรขาขึ้นในอนาคต โดยให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 170 บาทต่อหุ้น ณ ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/E ปี 2554 ที่ 7.0 เท่า ซึ่งต่ำสุดในรอบ 6 ปี โดยหุ้นจะหยุดการซื้อขายในช่วง 11-20 ตุลาคม 2554 เพื่อทำการแลกเป็นหุ้นใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการกับ PTTAR และหุ้นใหม่จะเข้าซื้อขายในตลาดฯ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2554 คาดว่าจะลดลง 25-30% จากไตรมาสที่ผ่านมาเป็น 4.5 พันล้านบาท เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานแห่งหนึ่งจำนวน 42 วัน ทำให้ปริมาณขายลดลงไป 16% แต่จะกลับมาผลิตเต็มที่ในไตรมาส 4/2554
*** PTTCH คาดกำไร Q3/54 หด! ตามสเปรดปิโตรฯ ที่อ่อนตัว
         นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH เปิดเผยว่าแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/2554 คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นไปตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์ราคาขายปิโตรเคมี (สเปรด) ที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย โดยปัจจุบันส่วนต่างราคาขายระหว่างเม็ดพลาสติก HDPE และแนฟทา (สเปรด) อ่อนตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 490-500 เหรียญต่อตัน นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากปริมาณการผลิตที่จะลดลงในไตรมาสนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน Cracker ขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี รวมถึงมีการผลิตโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LDPE และ LLDPE เป็นระยะเวลา 40 วัน คือในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม-ปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา
         ขณะเดียวกัน ยังส่งผลต่อกำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังให้มีโอกาสอ่อนตัวลงจากช่วงครึ่งปีแรก มาจากกำลังการผลิตที่หายไปในช่วงที่ปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมีดังกล่าว อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 3/2554 นี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่จากโรงงาน Cracker ขนาด 1 ล้านตันต่อปี โดยในขณะนี้ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ส่วนต่างราคาขายผลิตภัณฑ์ระหว่างเม็ดพลาสติก HDPE และแนฟทาในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ 490-500 เหรียญต่อตัน นอกจากนี้ประเมินว่าสถานการณ์ระหว่าง Supply และ Demand น่าจะเริ่มดีขึ้น ขณะเดียวกันยังประเมินสถานการณ์ในปีหน้าทั้งด้าน Supply และ Demand จะทยอยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และถึงจุดที่ดีที่สุดในช่วงปี 2557 สำหรับการบริโภคปิโตรเคมีของทั้งโลกในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านตัน โดยมีการเติบโตต่อการบริโภคเฉลี่ย 3% ต่อปี ทั้งนี้ในช่วง 5 ปีข้างหน้าที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีกำลังผลิตใหม่เข้ามาประมาณ 3 ล้านตัน มองว่าจะไม่กระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี เนื่องจากเป็นระดับการเติบโตเดียวกับบริโภคต่อปี
*** PTTAR มั่นใจรายได้ปีนี้เข้าเป้าที่ 3.5 แสนลบ.
         นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ การเงินและบัญชี บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR เปิดเผยว่าแนวโน้มรายได้จากการขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 28% บนสมมติฐานที่ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 105 เหรียญต่อบาร์เรล จากในช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 110 เหรียญต่อบาร์เรล ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิต ผลิตภัณฑ์พาราไซลีนเพิ่มขึ้น หลังจากที่โรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 (AR2) ได้หยุดเดินเครื่องผลิต เพื่อปรับปรุง
ประสิทธิภาพการผลิตจำนวน 12 วัน และกลับมาผลิตได้ในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตพาราไซลีนเพิ่มขึ้นอีก 3-4 หมื่นตันต่อปี
         พร้อมทั้งในส่วนของโรงกลั่น ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 2.9 แสนบาร์เรลต่อวัน จากครึ่งปีแรกที่ใช้กำลังการกลั่นเฉลี่ยที่ 2.3 แสนบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ทั้งปีจะใช้กำลังการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือใช้กำลังการกลั่นอยู่ที่ประมาณ 90% ของกำลังการกลั่นรวม ส่วนคาดว่าแนวโน้มกำไรและรายได้ในไตรมาส 3/2554 จะดีกว่าช่วงไตรมาส 2/2554 เนื่องจากหากพิจารณาความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังมีการเติบโตที่ดี รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่ยังขยายตัวได้ดีเช่นกัน เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3 จะเข้าสู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว ส่งผลให้มีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดีเซลอากาศยานเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความต้องการใช้จะยังคงดีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/2554 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันดีเซลไปใช้ในพลังงาน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น
         นอกจากนี้ยังคาดว่าแนวโน้มค่าการกลั่นรวม (GIM) ในช่วงครึ่งปีหลังจะไม่ต่ำกว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ทำได้ที่ 7.7 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากประเมินว่าความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและน้ำมันยังสามารถขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชีย แม้ในระยะสั้นจะมีความกังวลจากปัญหาที่ S&P ปรับลดเครดิตสหรัฐฯลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุน ขณะที่เงินลงทุนยังเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯและทองคำ และส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน โดยบริษัทฯได้พยายามบริหารจัดสัดส่วน ซึ่งป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในเงินสกุลดอลลาร์ให้เหมาะสมกับรายได้ของบริษัทฯ
***วงการหุ้น! ส่องกล้อง PTTAR-PTTCH
หลักทรัพย์ PTTAR
โบรกเกอร์          คำแนะนำ        ราคาพื้นฐาน(บาท)
บล.เอเซีย พลัส        ซื้อ                  48.04
บล.ทรีนีตี้               ซื้อ                   49.00
บล.ธนชาต             ซื้อ                    49.00
บล. เกียรตินาคิน      ซื้อ                    47.00
บล. เคทีซีมิโก้          ซื้อ                    34.00
บล. กสิกรไทย          ซื้อ                    51.60
บล. คันทรี่ กรุ๊ป         ซื้อ                  42.00

หลักทรัพย์ PTTCH
โบรกเกอร์        คำแนะนำ            ราคาพื้นฐาน(บาท)
บล.เอเซีย พลัส       ซื้อ                    190.22
บล.ทรีนีตี้        รอซื้อเมื่ออ่อนตัว       200.00
บล.เคทีซีมิโก้        ซื้ อ                       161.00
บล.ธนชาต             ซื้อ                        195.00
บล.เกียรตินาคิน       ซื้อ                     198.00
บล.กสิกรไทย           ซื้อ                      204.00
บล.คันทรี่ กรุ๊ป          ซื้อ                      156.00
บล.ฟินันเซีย ไซรัส     ซื้อ                       195.00