พฤหัสฯ 29 ก.ย.2554--eFinanceThai.com :
เปิดโผหุ้นราคาถูกฝ่าพิษศก.ยุโรป

        ได้เวลาช้อปหุ้นถูก หลัง SET ทรุดหนักมาต่อเนื่องเพราะพิษศก.สหรัฐฯ - ยูโรโซน โบรกฯ ชี้หุ้นขนาดใหญ่หลายตัวราคาลงต่ำน่าซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ทั้งตระกูล PTT ที่ได้แผนควบรวมในอนาคต ส่วนกลุ่มแบงก์ มี SCB- KBANK สุดเด่น ด้านหุ้นสื่อสารยกให้ให้ ADVANC เป็นเบอร์ 1 ด้าน BANPU พื้นฐานสุดแกร่ง ส่วน GLOW และ HEMRAJ ควงคู่รับโครงการ โรงไฟฟ้า GHECO-1
        หุ้นไทยยังลงต่อเนื่อง หลังนลท.ไม่มั่นใจต่อปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยูโรโซน แม้หลายฝ่ายคาดหวัง แผนการขยายวงเงินกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (EFSF) ในวันนี้ (29 ก.ย.) จะช่วยเรียกความมั่นใจกลับมา
        ทางบล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่าการขายของต่างชาติที่กดดันให้หุ้นร่วงนั้นไม่ได้เกี่ยวกับ Fundamental ของหุ้นไทย แต่เป็นเม็ดเงินมากกว่า จึงแนะนำนักลงทุนให้พิจารณาหุ้นเป็นรายตัว และมองให้เป็นโอกาสในการช้อปของถูก เพื่อลงทุนยาว ซึ่งหุ้นที่เห็นว่าถูกและถือยาวได้ได้แก่ ADVANC, BANPU, GFPT, GLOW, HEMRAJ,KBANK, SAT, SCB, SCC, SPALI, TK สำหรับหุ้นในกลุ่ม ปตท. ถูกกว่าช่วง Subprime หลายตัวแต่ยังมีความเสี่ยงหากต่างชาติกลับมาขาย ให้ซื้อในลักษณะถือยาว PTT, PTTEP, TOP, PTTCH เพื่อไปรอแลกหุ้นใหม่เมื่อมีการควบรวมในอนาคตเกิดขึ้น
        โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดที่ระดับ 931.60 จุด ปรับลดลง 15.02 จุด หรือ - 1.59% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 28,191.93 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้นที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ ปิดการซื้อขายดังนี้
        ADVANC ปิดที่ระดับ 122.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ1.24 %
        BANPU ปิดที่ระดับ 566.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท หรือ 0.71%
        GFPT ปิดที่ระดับ 8.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
        GLOW ปิดที่ระดับ 47 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -1.05%
        HEMRAJ ปิดที่ระดับ 2.04 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
        KBANK ปิดที่ระดับ 117.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -0.43%
        PTT ปิดที่ระดับ 271.00 บาท ลดลง 12.00 บาท หรือ -4.24%
        PTTEP ปิดที่ระดับ 148.50 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ -1.98%
        TOP ปิดที่ระดับ 51.75 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ -2.50 %
        PTTCH ปิดที่ระดับ 100.00 บาท ลดลง -5.00 บาท หรือ -4.76 %
        SAT ปิดที่ระดับ 21.10 บาท ลดลง -0.40 บาท หรือ -1.86 %
        SCBปิดที่ระดับ 108.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ-0.92 %
        SCC ปิดที่ระดับ271.00 บาท ลดลง 15.00 บาท หรือ -5.24 %
        SPALI ปิดที่ระดับ 13.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
        TK ปิดที่ระดับ 10.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
*** กลุ่ม PTT ถือยาวเวิร์คสุด
        จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นในกลุ่ม PTT ขณะนี้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จนต่ำกว่าราคาในช่วงที่เกิดวิกฤต Subprime เมื่อ 2 ปีก่อน ประกอบกับในระยะยาวยังมีประเด็นเรื่องการควบรวมในกลุ่ม PTT เข้ามาช่วยสนับสนุน จึงสามารถถือหุ้นอย่าง PTT, PTTEP, TOP, PTTCH เพื่อไปรอแลกหุ้นใหม่ในอนาคตได้
        บล.เอเซียพลัส มีมุมมองต่อบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ว่าบริษัทจะมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรที่เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่เน้นผลิตภัณฑ์ทั่วไป (Commoditygrade) เป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Technologyadvanced and green products) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ได้ในระยะยาว ซึ่งถือเป็นประเด็นบวกในระยะยาวหาก PTT สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่มีอยู่รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้มีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้ เพราะจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับ PTT ได้อย่างมีนัยสำคัญ ในสภาวะการแข่งขันในปัจจุบัน แนะนำนักลงทุนซื้อหุ้น PTT ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 394.76 บาทต่อหุ้น
        ทางบล.ฟิลลิป ได้ประเมินพื้นฐานของ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ว่าสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านตัน และใช้วัตถุที่เป็นก๊าซอีเทนในสัดส่วนสูงขึ้นจาก 80% เป็น 90% และปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงต่อบริษัทในปี 2554 แตกต่างจากปี 2551-52 ที่ราคาหุ้นลงไปต่ำสุดที่ 27.75-23.80 บาท โดยในปี 2551-52 มีปัจจัยลบกดดันหลายประเด็นดังนี้ 1)อุตสากรรมเป็นช่วงขาลงโดยผลิตภัณฑ์เอทิลีนและ HDPE เป็นช่วงอุปทานส่วนเกิน 2)ราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงกว่าปัจจุบันมาก โดยในปี 2551 ราคาน้ำมันดูไบสูงสุดที่ 139.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีการปรับลดลงแรงถึง 60% ภายใน 4 เดือน ทำให้เกิดขาดทุนจากสต็อคสินค้าคงคลังให้ผลประกอบการเป็นขาดทุน ในขณะที่ในปี 2554 ราคาน้ำมันดูไบล่าสุดอยู่ที่ 101.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำกว่าระดับสูงสุดของปีในเดือน เม.ย.54ที่ 119.44 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อยู่ 14.87% โดยแนะนำให้ “ซื้อ” เพื่อไปแลกหุ้นเป็น PTTGC ที่อัตราส่วน 1 PTTCH ได้ 1.98 PTTGC ราคาพื้นฐาน ปี 2555 ที 200 บาท
        ส่วนทางบล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแนะนำนักลงทุนซื้อเก็งกำไรหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงถึง -21.5% ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับ SET ENERGYที่ปรับลดลง -12.7% และ SET Index ที่ปรับลดลง -11.1% ดังนั้น KELIVE ประเมินว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มดีดกลับได้เร็วกว่าตลาดจากแนวโน้มตลาดเอเชียที่ฟื้นตัวในวันนี้ และซื้อขาย PER 2554 ต่ำเพียง 6.15 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มพลังงานที่ 7.59 เท่า และหุ้นในกลุ่ม เช่น BCP 6.71 เท่า, IRPC 7.83 เท่า, PTTEP 9.67 เท่า และ PTT ที่ 7.83 เท่า ขณะที่การดีดกลับของราคาน้ำมันดิบ NYMEX ขึ้นเหนือ US$80.00/barrel ได้อีกครั้ง จะเป็นอีกปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงสั้นได้เช่นกัน
        ด้านบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ทางบล.เกียรตินาคิน ประเมินว่า บริษัทยังคงเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงถึง 450,000 บาร์เรลต่อวัน และ 900,000 บาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2558 และ 2563 ตามลำดับ ซึ่งจะช่วงเริ่มแรกของเป้าหมายมองว่า PTTEP จำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาในการเพิ่มศักยภาพการผลิต ความคืบหน้าในการสำรวจแหล่ง Cash 2 และ Cash – Maple ถือเป็นการสร้างความมั่นใจต่อการเติบโตของยอดขายปิโตรเลียมในอนาคตของ PTTEP ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 218 บาท
*** กลุ่มแบงก์ต้องยกให้ SCB- KBANK
        ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ถูกพูดถึงในช่วงนี้มากที่สุด เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยซึ่งมีแนวโน้มเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยการขับ เคลื่อนการเติบโตของสินเชื่อให้เติบโตต่อเนื่องได้ในปี 54-55 ด้วยศักยภาพการแข่งขันของ SCB ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานงวด 3Q54 จะสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของธนาคาร
        โดย บล.กรุงศรีอยุธยา แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 2554 ที่ 142 บาท
        บล.เกียรตินาคิน แนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเหมาะสมปี 2555 อยู่ที่ 132 บาท
        บล.บัวหลวง แนะนำ "ซื้อ " เป้าหมายพื้นฐาน 167.00 บาท
        และบล.ทรีนีตี้ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2555 เท่ากับ 155 บาท
        ทางบล.ธนชาต ประเมินทิศทางราคาหุ้น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ตามสัญญาณทางเทคนิคว่า ราคาหุ้นยังมีแรงกดของแนวต้านระยะสั้น แต่การปรับลงของราคาในระดับรุนแรงจะดึงการฟื้นตัวของราคาหุ้นในลักษณะต่อยอดเข้าหาแนวต้าน 122 บาทในเบื้องต้นและ 128 บาทเป็นแนวต้านหลัก รูปแบบการฟื้นตัวที่เกิดขึ้นกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางช่วง 116.50-136 บาทได้แล้ว แนะนำหุ้นทางเทคนิค KBANK ซื้อเก็งกำไร ประเมินแนวรับ: 117 บาท แนวต้าน: 122-124 บาท ตัดขาดทุน 116.50 บาท ทั้งนี้ราคาหุ้น มีโอกาสจะหลุดจากแนวโน้มพักตัว เมื่อทะลุผ่าน 124 บาท
*** หุ้นสื่อสาร ต้อง ADVANC
        นอกจาก บล.ฟินันเซียไซรัส จะแนะนำหุ้น ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เป็นหุ้นเด่นและราคาถูกในกลุ่มสื่อสารแล้ว ยังมีหลายโบรกฯ ที่ยังมองหุ้น ADVANC ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปียงโดดเด่นเช่นกัน ด้วยเหตุที่ว่าผลประกอบการที่คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องโดยเฉพาะตลาด Non-voice ซึ่งใน 3Q54 เริ่มเปิดให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่เดิม 900MHz ช่วยหนุนปริมาณการใช้งานด้านข้อมูลเพิ่มขึ้น ในขณะ 4Q54 นอกจากจะเข้าช่วง High season ของธุรกิจ ADVANC มีความได้เปรียบคู่แข่ง True Move และ DTAC ซึ่งมีต้นทุนสัมปทานจ่ายที่เพิ่มขึ้น ADVANC ยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินต่อทุนในระดับต่ำ และคาดมีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง
        บล.กรุงศรีอยุธยา แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานปี 54 ที่ 129 บาท ในขณะที่มูลค่าพื้นฐานเมื่อรวม 3G บนคลื่นความถี่ใหม่ 2.1 GHz ที่จะประมูลในปี 55 จะเป็น 156 บาท
        บล.เกียรตินาคิน ประเมินมูลค่าเหมาะสมเท่ากับ 130 บาท ปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อเก็งกำไร” ( ทางเทคนิค มีแนวรับ 119 บาท แนวต้าน 125 บาท)
        ส่วน บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ เพราะ 1) กำไรบริษัทสม่ำเสมอ, ความเสี่ยงต่ำ 2) จ่ายเงินปันผลได้จูงใจ คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 54 และ 55 เป็น 6.7% และ 7.7% ตามลำดับ และ 3) ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานที่ 140.00 บาท ได้อีก 16%
*** ธนชาต มอง Glow ที่ 65 บาท - HEMRAJ ที่ 3 บาท
        บล.ธนชาต ประเมินทิศทางของ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) GLOW ว่ากำไรของบริษัทฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 2H11 และจะแตะระดับสูงสุดในปี 2014 กำไรปี 2012 จะเริ่มเติบโตก้าวกระโดด เมื่อโครงการ GHECO-1 กำลังการผลิต 660MW (ถือหุ้น 65%) เริ่มดำเนินงานส่วนแบ่งกำไรอย่างเต็มปี และการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าเฟส 5กำลังการผลิต 382 MW และการกลับมาดำเนินงานอย่างเต็มปีของโรงไฟฟ้าพลังน้ำห้วยเหาะ กำลังการผลิต 157MW (คาดมีกำไร 200 ลบ.vs ขาดทุน 200 ลบ. ในปี 2011) และกำไรจากโครงการ TNP กำลังการผลิต 153MW จากการซื้อกิจการในช่วง 3Q11 GLOW มองว่ากำไรปกติปี2012 น่าจะมีจำนวน 7.5 พันลบ. และน่าจะเพิ่มขึ้นราว 10-15% ในปี 2013และอีก 10% ในปี 2014 จากการดำเนินงานอย่างเต็มปีของ GHECO-1และเฟส 5 ค่าไฟฟ้าของโครงการ IPP ของ GLOW จะลดลงในช่วง 2H14ตามสัญญา PPA ดังนั้นกำไรจึงน่าจะแตะระดับสูงสุดในช่วง 1H14 โดย แนะนำให้ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 65 บาท
        ส่วน บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ บล.ธนชาต ประเมินว่ารายงานยอดขายที่ดินในไตรมาส 3Q11F ค่อนข้างโดดเด่น 500 ไร่ ทำให้เป้าขายที่ดินทั้งปี 1,700 ไร่ มีความเป็นไปได้สูง ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอาจมีผลต่อการเซ็นสัญญาในปีหน้า แต่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2012 มีความแน่นอนสูงจากยอดขาย backlogและรายได้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นจาก GHECO-1 และยอดขายน้ำ แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 3 บาท
*** พื้นฐาน BANPU ยังแกร่ง
        บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ยังมีความสามารถของบริษัทในการรักษาสถานะทางการเงินที่เหมาะสม โดยนอกจากรายได้จากธุรกิจถ่านหินแล้ว บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอัตราส่วน D/E ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 เพียง 0.73 เท่า สำหรับแนวโน้มผลดำเนินงานช่วง 2H54 คาด Norm Profit จะปรับตัวดีขึ้นจากราคาขายถ่านหิน เนื่องจาก BANPU ได้มีการทำสัญญาขายถ่านหินล่วงหน้าจำนวน 85%ของปริมาณการขายในปี 2554 ไว้แล้ว ในระดับราคาที่ดี
        ขณะที่คาดปริมาณการผลิตถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย จะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งยังมีปริมาณการผลิตจากเหมืองใหม่ Barinto เข้ามาช่วยหนุน ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำซื้อลงทุนในหุ้น BANPU สำหรับนักลงทุนระยะยาว แต่เนื่องจากในปัจจุบันยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจทำให้ตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมีความผันผวน จึงแนะนำให้เข้าซื้อเมื่ออ่อนตัว
        ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป สัญญาณเทคนิคราคาหุ้น BANPU พบว่ามีแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ราคาหุ้นดีดตัวกลับในช่วงแรกเปิดตลาดฯ แต่ในช่วงใกล้ปิดตลาดฯได้เริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว ประเมินแนวรับ 550 บาท แนวต้าน 580 บาท
*** SPALI โดดเด่นในกลุ่มอสังหาฯ
        บล.เคจีไอ เชื่อว่ามาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาล จะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อบ้านในระยะสั้นได้ เนื่องจากให้ประโยชน์ต่อผู้ซื้อบ้านระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทโดยตรง ซึ่งคิดเป็นส่วนใหญ่ในตลาดบ้าน อย่างไรก็ตามประเมินว่ายังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายจากภาครัฐได้ในอนาคต แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการหลัก ที่เน้นพัฒนาบ้านกลุ่มระดับกลางถึงล่างจะได้ประโยชน์ คงน้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด แนะนำให้ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เป็นหุ้นเด่น
        ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส แนะนำ ลงทุนน้ำหนักมากกว่าตลาด ในหุ้น SPALI โดยมีราคาเป้าหมายที่ 19.00 บาท
*** SAT - GFPT- TK ยังซื้อได้
        นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบสัญญาณเทคนิคราคาหุ้นบริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) (GFPT) และบริษัทฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK พบว่ายังไม่ค่อยน่าสนใจ เนื่องจากยังมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง จึงทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสรีบาวน์ได้ยาก แนะนำซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว โดยราคาหุ้น GFPT ประเมินแนวรับ 8.50 บาท แนวต้าน 9 บาท ส่วนราคาหุ้น TK ประเมินแนวรับ 9.50 บาท แนวต้าน 10.50 บาท
        ส่วน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินสัญญาณทางเทคนิคของหุ้นบริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ( SAT) ว่า ราคาลงมาทดสอบแนวรับจากฐานเดิมแถว 20 บ. แล้วเริ่มมีแรงซื้อกลับ พร้อมทั้งมีสัญญาณบวกจาก Indicators ต่างๆ ด้วย ทำให้คาดว่ามีสิทธิลุ้นจังหวะดีดกลับขึ้นหาแนวต้านให้ทำกำไรตามรอบได้ แนะให้ซื้อเก็งกำไร ประเมินแนวรับ 21-20 บาท แนวต้าน 23-24 บาท