พุธ 28 ก.ย.--eFinanceThai.com :
LTF-RMF พระเอกตัวจริง
          หุ้นไทย หวัง LTF-RMF เป็นฮีโร่ดัน SET Index หลังตลาดฯ รูดหนัก พลิกวิกฤตเป็นโอกาสช้อนซื้อของดีราคาถูก เป็นแรงหนุนทำวินโดว์ เดรสซิ่ง ช่วงก่อนปิดงวดบัญชีไตรมาส 3 โบรกฯ แนะหาจังหวะเลือกลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดี โดยเฉพาะในกลุ่ม Domistic Play ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศน้อยเช่น กลุ่มโรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และธนาคาร ขณะที่ "ยิ่งลักษณ์" ยันไม่จำเป็นตั้งกองทุนพยุงหุ้น เหตุพื้นฐาน ศก.ไทยยังแกร่ง
          ตลาดหุ้นไทยยังไม่สิ้นหวัง ท่ามกลางความผันผวนที่รุนแรงและรวดเร็ว ยังมีความหวังว่า LTF-RMF จะเข้ามาเป็นตัวดันดัชนีฯ ตามแผนการทำราคาหุ้นเพื่อปิดงบบัญชี หรือ Window Dressing ประจำไตรมาส 3/54 ซึ่งความคาดหวังนี้ มาจากความเชื่อว่ากองทุนต้องการผลงานดีๆ เพื่อที่จะได้ลูกค้ามากขึ้น ขณะที่ประชาชนหรือนักลงทุนรายย่อยเอง ต้องการซื้อกองทุนเพื่อนำมาลดหย่อนภาษี
          ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันที่ 27 กันยายน 2554 พลิกมาเป็นบวก 42.56 จุด มาปิดที่ 946.62 จุด คิดเป็น 4.71% พร้อมมูลค่าการซื้อขายกว่า 35,000 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3,416.16 ล้านบาท จากวันที่ 26 กันยายน 2554 ดัชนีฯ ร่วงลงเกือบ 100 จุด
*บิ๊ก mai ระบุหุ้นเด้งแค่กลับสู่ภาวะปกติ ชี้ 208 บจ. ราคาต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์
          นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปต้องย้อนกลับมาดูที่พื้นฐานซึ่งไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทำให้วันนี้ดัชนีฯ หุ้นกลับมายืนในระดับปกติ หลังจากที่วานนี้ (26 ก.ย.54) ดัชนีฯ ได้ปรับลดลงหนักแบบผิดปกติ ซึ่งเกิดจากนักลงทุนรายย่อยขายหุ้นออกมากับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงผิดปกติ ซึ่งในวันนั้นมีบริษัทจดทะเบียนจำนวน 208 บริษัท หรือคิดเป็นประมาณ 38-40% ของบจ. ทั้งหมดในตลาดหุ้นไทย ที่มีราคาปิดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์
          'การที่ราคาปิดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์พร้อมๆ กันไม่น่าเกิดขึ้นได้แน่นอนแปลว่ามันผิดปกติ มันถึงรีบาวน์ในวันนี้ เพื่อกลับสู่ปกติ' นายชนิตร กล่าว
* รอบนี้ Windows dressing อาจไม่เด่นชัด
          นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการสายงานเงินทุน บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 3/2554 คงไม่เกิด Windows dressing อย่างเด่นชัดเหมือนกับทุกไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากในไตรมาสดังกล่าวถือว่าสถานการณ์แตกต่างไปจากทุกไตรมาส นอกจากนี้นักลงทุนควรติดตามกรณีที่ภาคีสมาชิกกำลังพิจารณาการขยายวงเงินกองทุน เพื่อความช่วยเหลือทางการเงินของยุโรป (EFSF) จากเดิม 440 พันล้านยูโร (ซึ่งเป็นเม็ดเงินเดิมที่อนุมัติในการช่วยเหลือกรีซ 2 รอบ และโปรตุเกส-ไอร์แลนด์ 1 รอบ แต่ต้องแลกกับแนวทางการตัดลดการขาดดุลงบประมาณลง)
          โดยล่าสุดมีประเทศสมาชิก 5 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยี่ยม สเปน และลักเซมเบิร์ก ผ่านร่างกฎหมายในประเทศ อนุมัติในประเด็นดังกล่าวแล้ว เหลืออีก 9 ประเทศ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการประชุม ซึ่ง 1 ในนั้น คือ เยอรมัน จะมีการประชุมในวันพฤหัส ที่ 29 กันยายน 2554 ซึ่งหากเยอรมันสามารถผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเช่นเดียวกับ 5 ประเทศดังกล่าวข้างต้นคงส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นได้ ฉะนั้นหากดัชนีฯ ปรับลงมาที่ระดับ 900 จุด สามารถเข้าไปลงทุนได้
          "Windows dressing ในไตรมาสนี้อาจจะไม่เหมือนกับทุกไตรมาสที่ผ่านมา เพราะการเกิด Windows dressing ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ช่วงนั้นๆ ด้วย ส่วนดัชนีฯ ที่ปรับขึ้นก็เป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาปรับลดลงแรง แต่ที่ต้องติดตามคือดูวันที่ 29 กันยายน ว่าเยอรมันจะมีข้อสรุปอย่างไรถ้าไม่ช่วยตลาดหุ้นก็มีโอกาสลงต่อ" นายเผดิมภพ กล่าว
* หุ้นไทยรีบาวน์จากความหวังกรีซแก้ปัญหาหนี้ได้
          นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันที่ 27 กันยายนนี้รีบาวน์ขึ้นมาได้ ถือว่าเป็นผลบวกที่เกิดขึ้นจากปัจจัยระยะสั้น ที่พบว่านักลงทุนมีความหวังมากขึ้นต่อประเด็นปัญหาการชำระหนี้ในยุโรป ซึ่งยังไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าจะเกิดภาวะวิกฤติลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป หากกรีซผิดนัดชำระหนี้ และจะทำให้ไม่ได้ความช่วยเหลือทางการเงิน
          อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะมีความอ่อนไหวต่อความกังวลและการตัดสินใจของนักลงทุนได้ง่าย
          ขณะที่ในส่วนของ Window Dressing นั้น ท่ามกลางภาวะความผ่อนคลายของบรรยากาศการลงทุนอาจเกิดขึ้นได้ แต่หากยังคงมีความกังวลในรูปแบบเดิมอีกก็จะไม่เกิดขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากการกระทำดังกล่าวไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทำแต่อย่างใด ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการประเมินสถานการณ์และโอกาสมากกว่า
* มองผลงาน บจ. ไตรมาส 3/54 ยังไม่ส่งผลบวก
          นายสมชาย กล่าวต่อว่า ด้านแนวโน้มการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/54 ในเร็วๆ นี้ เชื่อว่าคงไม่สามารถส่งผลบวกต่อภาพรวมของตลาดฯ ในปัจจุบันได้มากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มีความกังวลต่อสถานการณ์ในยุโรปเป็นแรงกดดันมากกว่า แต่ในช่วงถัดไปหากมีการรายงานที่ออกมาก็น่าจะพอสนับสนุนได้บ้าง
          อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมตลาดหุ้นจะยังมีความผันผวนสูง แต่จากที่ดัชนีฯ และราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ทำให้พบความน่าสนใจว่าราคาหุ้นหลายตัวอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุนซื้อเผื่อถือในระยะ 3-6 เดือน โดยต้องพิจารณาจากหุ้นที่มีพื้นฐานดีรองรับเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่ม Domistic Play ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศน้อยเช่น กลุ่มโรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาริมทรัพย์ และธนาคาร เป็นต้น ทั้งนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 900-950 จุด
* มอง SET Index สัปดาห์นี้เริ่มแกว่งทรงตัว
          ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่า สัปดาห์นี้มีโอกาสที่ SET Index จะเริ่มแกว่งทรงตัวได้บ้าง หลังจากปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงมากในช่วงท้ายของสัปดาห์ก่อน ทั้งจากแรงซื้อในช่วงปิดงวดงบฯ รายไตรมาส (windows dressing) และแรงซื้อเก็งกำไรมาตรการบรรเทาวิกฤติหนี้ยูโรโซน ที่นักลงทุนเริ่มมีความคาดหวังมากขึ้นว่าจะมีออกมาในช่วงใกล้ๆ นี้ รวมทั้งนักลงทุนยังรอลุ้นว่ากรีซน่าจะได้รับเงินช่วยเหลือจากทาง EU และ IMF เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ภายในสัปดาห์นี้ด้วย
          อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการลุกลามของปัญหาหนี้ยุโรป และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ดีขึ้น FSS คาดว่า SET Index ก็จะมีลักษณะแกว่งตัวผันผวนอยู่เช่นเดิม ดังนั้นจึงยังเน้นเป็นเพียงการเข้าเก็งกำไร เล่นตามรอบสั้นๆ อยู่ ส่วนที่แนะนำให้ทยอยเลือกหุ้นเข้ารับเพื่อถือลงทุนไปบ้างแล้วนั้นให้เน้นถือต่อเนื่องแต่ยังไม่ซื้อเพิ่มอีก
          ขณะที่สัปดาห์นี้ นอกจากไฮไลท์จะยังอยู่ที่ยุโรปแล้ว (29 ก.ย. สภาเยอรมันจะลงมติเพิ่มเงินในกองทุน ESFS) ฝั่งสหรัฐก็มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญท้ายทายตลาดเช่นยอดขายบ้านใหม่ (26 ก.ย.2554) คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (28 ก.ย.) GDP ไตรมาส 2/2554 และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (29 ก.ย.2554) โดยรวมแล้วตลาดหุ้นยังไม่พ้นภาวะหมี
          นอกจากนี้ยังหวังว่า SET Index จะหา bottom เจอในเดือน ต.ค. นี้และปรับขึ้นในช่วงปลายปีด้วยแรงซื้อจาก LTF, RMF แม้ว่าตลาดจะยังอยู่ในภาวะหมี แต่หุ้นหลายตัวก็ถูกขายจนมี Valuation ถูกกว่าในช่วงวิกฤตหลายครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าหุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดเมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง หุ้นเหล่านี้ได้แก่ ADVANC, BANPU, GFPT, GLOW, HEMRAJ, KBANK, SAT, SCB, SCC, SPALI
* แนะจะเก็งกำไรระยะสั้น ต้องระวังกับดักตลาด
          ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวของ SET Index เป็นเพียงช่วงสั้น KimEng คาดว่าจะเป็นการฟื้นตัวเพื่อปรับฐานลงต่อ และมีโอกาสหลุดแนว 1,000 จุดได้เช่นกัน น่าจะเป็นในช่วงต้นเดือน ต.ค 54 ส่วนภาพรวม KimEng ยังคงมีมุมมองอย่างระมัดระวังต่อการลงทุน ยิ่งภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เห็นการฟื้นตัว เครื่องมือจากนโยบายการเงินที่จำกัดมากยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจมีผลเพียงเล็กน้อย
          ขณะที่นโยบายการคลังยังคงต้องใช้เวลาในการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย อาจกลายเป็นจุดที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนี้ไปจนถึงสิ้นปี เสี่ยงต่อการออกมาแย่กว่าคาดเป็นสำคัญ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกประเมิน และกลายเป็นจุดที่ ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก
          ทั้งนี้ ประเมินว่า SET Index อาจยังไม่ปรับฐานลงแรงเพราะ Window Dressing ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ตรวจสอบบัญชีจะอนุมัติให้กองทุน / Prop Trade ของแต่ละกองใช้ราคาปิด ณ วันใด ในแต่ละงวดบัญชี ซึ่งน่าจะเป็นระหว่างวันที่ 20-30/31 ของเดือนสุดท้ายของไตรมาส แม้ว่าจะมีแรงกดดันจาก Prop Trade ข้างต้น แต่จะไม่เกิดแรงขายอย่างรุนแรงจากสถาบันภายในประเทศ แต่อาจกลายเป็นการเข้าสะสมหุ้นหลักบางส่วนได้เช่นกัน เพื่อประคอง NAV ณ สิ้นไตรมาส หลัง KimEng แนะนำให้ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนบริเวณ 1,020-1,030/35 จุดมา 4 วันทำการในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะมากเพียงพอที่จะปิดความเสี่ยงของวิกฤติหนี้ในยุโรปได้ค่อนข้างมากแล้ว
          ดังนั้นในช่วงสั้น KimEng เสนอให้นักลงทุนถือพอร์ตการลงทุนในส่วนที่เหลือ แต่หากจะเข้าซื้อขายเก็งกำไรช่วงสั้น นักลงทุนควรระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง อาจกลายเป็นกับดักของตลาดหุ้นได้เช่นกัน
* ยิ่งลักษณ์ ชี้ ไม่จำเป็นตั้งกองทุนพยุงหุ้น เหตุพื้นฐานศก.ไทยยังแกร่ง
          นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง กรณีที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลงค่อนข้างแรงเมื่อ 26 กันยายนว่า ในวันนี้ได้มีการหารือกันในคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยพบว่าตลาดหุ้นไทยที่ได้ปรับตัวลดลงแรง สาเหตุมาจากนักลงทุนเกิดความตื่นตระหนกจากความผันผวนและความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจโลก
          โดยเฉพาะในฝั่งยุโรปที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับวิกฤตทางการเงินทำให้นักลงทุน ชะลอการลงทุนออกไป อย่างไรก็ตามยังไม่มีความจำเป็นในการจัดตั้งกองทุนมาพยุงตลาดหุ้น แต่ยินดีรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน โดยเห็นว่าการที่หุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแรงเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้นจึงยัง ไม่มีความจำเป็นและตลาดหุ้นไทยได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นใน ประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย
          'ขณะนี้รัฐบาลเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนกลับมาเช่นเดิม โดยเห็นว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แต่ที่ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลงมองว่าเป็นความตื่นตระหนกของนักลงทุนจากความไม่มั่นใจเศรษกิจโลก ซึ่งรัฐบาลได้คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว โดยจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเน้นการเพิ่มรายได้ให้กับภาคครัวเรือน เพื่อรองรับความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกต่อไป' นายกฯ กล่าว