พุธ 27  ต.ค.--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
        แม้ต่างชาติขายหุ้นไทยแต่ดัชนีสามารถขึ้นแตะ 1,000 จุดได้ แม้เพียงสั้น ๆ โดยเป็นการสลับขึ้นของหุ้นรายตัว เช่น BANPU และ PTTCH อย่างไรก็ตาม ดัชนีปัจจุบันมีค่า PER 15 เท่า ไม่ยั่งยืน จึงยังแนะนำให้ถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่ และให้สะสมหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี (PTTCH) หรือมี PER ต่ำกว่า 10 เท่า และ Div Yield สูง (ESSO, TCAP, KK, SMT) รวมถึงกองทุนรวมอสังหาฯ SPF 
       คาดการณ์ SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้
SET Index                996.04       
เปลี่ยนแปลง (จุด)             3.80       
มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท)    34,241.77       
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)        
นักลงทุนต่างชาติ            -487.56       
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์           874.66       
นักลงทุนสถาบันในประเทศ   -1,464.48       
นักลงทุนรายย่อย           1,077.38       
        * ต่างชาติชะลอการซื้อหุ้นไทย แต่สลับไปซื้อตลาดเอเซียบางแห่ง..เชื่อยังเป็นปลายขาเข้า ต้นขาออก
        วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นเอเซีย โดยเป็นการซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 (หลังจากที่ขายสุทธิไปก่อนหน้าใน 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา)  ทั้งนี้เฉพาะที่รายงานข้อมูลออกมา 5 ประเทศพบว่า ซื้อสุทธิรวมกันสูงถึง 1,042 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นเพียง 6.88% จากวันก่อนหน้า นำโดยตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ที่ซื้อเข้ามา 411 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นถึง 76 เท่าตัว จากวันก่อนหน้า รองลงมาเป็นตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 30 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 84% และตลาดหุ้นเวียดนามที่กลับมาซื้ออีกครั้งราว 2.9 ล้านเหรียญฯ หลังจากขายออกไปในวันก่อนหน้า ขณะที่บางตลาดแรงซื้อเริ่มหดตัวลงเช่น ตลาดหุ้นเกาหลีที่ซื้อสุทธิ 407 ล้านเหรียญฯ ซื้อลดลง 9.3% จากวันก่อนหน้า  ตามมาด้วย ไต้หวันที่ซื้อสุทธิ 206 ล้านเหรียญฯ ลดลงราว 50% จากวันก่อนหน้า ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่พลิกกลับมาขายอีกครั้ง 16.31 ล้านเหรียญฯ (ครั้งแรกในรอบ  2 วัน) โดยแรงซื้อของต่างชาติดังกล่าว หนุนให้ตลาดหุ้นเอเซียเกือบทุกแห่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของปี ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่ขึ้นสู่ระดับ 3,661.19 จุด ไต้หวัน 8,307.59 จุด เกาหลี 1,923.49 และฟิลิปปินส์ 4,290.16 และตลาดหุ้นไทย 1,001.06 จุด แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นดังกล่าวยังไม่สามารถยืนเหนือจุดสูงสุดเดิมได้ หลังจากถูกเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมา โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ระดับดัชนีเหนือ 999 จุด เชื่อว่าจะยังไม่สามารถยืนระยะได้  โดยฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับแรงขายของต่างชาติ โดย Fund Flow ยังเป็นช่วงปลายขาเข้า หรือต้นขาออก
        * แนะนำขายทำกำไร BANPU เมื่อราคาใกล้ 800 บาท  
        ฝ่ายวิจัยยังคาดหมายว่า Dollar Index มีแนวโน้มทรงตัว ถึงแกว่งตัวในกรอบ 77.5-78 จุด โดยระยะสั้นจะเห็นว่า เงินสกุลดอลลาร์ ทรงตัวถึงแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลหลัก ๆ ของโลก เช่น เงินยูโร เงินปอนด์ และเงินเอเซียบางประเทศ เช่น เงินหยวนของจีน ซึ่งพบว่าเงินหยวนอ่อนค่าต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินบาททรงตัวใกล้เคียง 30 บาทต่อดอลลาร์  ต่อเนื่องมานานกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งสถานการณ์ที่กลับข้างนี้เช่นนี้ ส่วนหนึ่งคาดว่าเกิดจากการเข้ามาแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางเอเซีย หลังจากที่ค่าเงินเอเซียแข็งค่าต่อเนื่องมายาวนาน โดยสรุป   Dollar Index ที่ทรงตัว ยังคงทำให้สินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบน่าจะทรงตัวถึงแกว่งตัวออกด้านข้าง สะท้อนจากที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า (Nymex) ยังมีทิศทางแกว่งตัวออกด้านข้างมากว่า 1 สัปดาห์ แต่ยังสามารถยืนเหนือ 82 เหรียญฯต่อบาร์เรล เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบดูไบ คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 80-81 เหรียญฯ ขณะที่ราคาถ่านหินในตลาดล่วงหน้า พบว่าวันนี้เริ่มอ่อนตัวเป็นครั้งแรก หลังจากปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 9 วัน ติดต่อกัน  ในระยะสั้น แนะนำให้ขายทำกำไรหุ้นปิโตรเลี่ยม ทั้ง PTTEP(FV@B184.67), BANPU(FV@B871.29)
        * กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นให้สะสมหุ้นปันผล ESSO, TCAP, KK, SMT, SC และกองทุนรวมอสังหาฯ
        แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถขึ้นไปแตะระดับ 1,000 จุดได้เมื่อวานนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี แต่ถือว่าเป็นสถานการณ์สั้น ๆ และยังมิได้แตกต่างไปจากเป้าหมายเดิมที่ให้ไว้ในปี 2553 ที่ ASP คาดว่าดัขนีจะ Peak ที่ 999 จุด ขณะที่ดัชนีปัจจุบันที่มีค่า PER 15 เท่า ถือว่ายืนอยู่ยาก และมีโอกาสปรับฐานตลอดเวลา  กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นจึงยังคงแนะนำให้ถือเงินสดในสัดส่วนสูง โดยให้ใช้เงินบางส่วนสะสมหุ้น คาดว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ดี ESSO และ BCP, TCAP, KK, SMT, SC รวมถึงกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์  เช่น  QHPF, SPF (เป็นกองสิทธิการเช่า)  และ TFUND (ถือครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน)