อังคาร 26  ต.ค.--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
        แม้ Sentiment จากตลาดต่างประเทศ จะเป็นปัจจัยบวกหนุน แต่ยังเชื่อว่า Fund Flow ยังอยู่ในช่วงปลายขาเข้า ต้นขาออก ความเสี่ยงต่อการปรับฐานจึงยังมีอยู่ ยังคงคำแนะนำให้ถือเงินสดเป็นส่วนใหญ่ และเลือกสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี Dividend Yield สูง เช่น ESSO, TCAP, KK, SMT, กองทุนรวมอสังหาฯ SPF และ PTTCH ที่ปัจจัยพื้นฐานกลับมาแข็งแกร่งต่อเนื่องตลอด 3 ปีนับจากนี้
คาดการณ์ SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้
SET Index              992.24          
เปลี่ยนแปลง (จุด)           3.44          
มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท)  29,622.65          
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)         
นักลงทุนต่างชาติ         1,584.23          
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์        -756.09          
นักลงทุนสถาบันในประเทศ    395.03          
นักลงทุนรายย่อย        -1,223.16          
* PTTCH พร้อมกลับมาวิ่งรอบใหม่ ภายใต้แรงขับเคลื่อนของกำไรที่เติบโตก้าวกระโดด
        สถานการณ์ของ PTTCH ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ถือได้ว่าเข้าสู่ช่วงปีทองอย่างแท้จริง โดยจากการทำประมาณการในระยะยาวของฝ่ายวิจัยพบว่า ฐานกำไรของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.06 หมื่นล้านบาทในปี 2553 ไปสู่ระดับ 1.96 หมื่นล้านบาทในปี 2554 และไปสู่ระดับ Peak ที่ 2.89  หมื่นล้านบาทในปี 2555 ทั้งนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2554 โดยโรงงานอีเทนแครกเกอร์ที่มีกำลังการผลิต เอทิลีน 1 ล้านตัน, โพรพิลีน 2.5 หมื่นตัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายต่างๆ (HDPE, LDPE, LLDPE) จะสามารถสร้างรายได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ในปี 2555 คาดหมายว่าวัฎจักรของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะกลับเป็นขาขึ้นเต็มตัว ทั้งนี้ประเมินจาก Demand ที่เติบโตตามเศรษฐกิจในอัตราเฉลี่ย 5.06% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ Supply ส่วนเพิ่มจะลดลงจาก 7.7 ล้านต้นในปี 2553 มาอยู่ที่เฉลี่ยเพีรยง 3 - 4 ล้านตันต่อปี  นอกจากนี้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะยืนอยู่เหนือ 75 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งองค์ประกอบดังกล่าวน่าจะทำให้ Spread ของสินค้าปิโตรเคมีปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในการจัดทำประมาณการของฝ่ายวิจัย กำหนดสมมุติฐานอย่างอนุรักษ์นิยม โดยคาดว่า Spread ของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 410 เหรียญฯ/ตันในปี 2553 ไปสู่ระดับ 550 เหรียญฯ/ตันในปี 2555  เชื่อว่าแรงขับเคลื่อนของกำไรที่ชัดเจนดังกล่าวข้างต้น จะผลักดันให้ราคาหุ้น PTTCH จากนีไปเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขึ้น นอกจากนี้ราคาหุ้น PTTCH ยังมีปัจจัยขับเคลื่อนราคาในระยะสั้นเสริมอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ประเด็นการควบรวมกิจการของกลุ่ม PTT ซึ่งในเบื้องต้นเห็นว่าคู่ที่มีศักยภาพในการควบรวมมากที่สุดได้แก่ PTTCH และ PTTAR ทั้งนี้หากใช้วิธี Amalgamation จะให้อัตราส่วนการ SWAP หุ้นกับบริษัทใหม่ที่จะตั้งขึ้นโดย 1 หุ้น PTTCH จะแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 1 หุ้น ส่วน PTTAR 1 หุ้นจะแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 0.22 หุ้น จากภาพรวมทั้งหมดเห็นได้ว่า PTTCH นับป็นหุ้นเด่นที่น่าลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยฝ่ายวิจัยกำหนด Fair Value ด้วยวิธี DCF จะให้มูลค่าที่เหมาะสม ณ สิ้นปี 2554 ที่ 204.14 บาท แนะนำ ซื้อ (อ่านรายงานฉบับยาวที่จะนำเสนอในวันนี้ประกอบ)
* ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นในตลาดเอเซีย SET มีโอกาสทดสอบ 999 อีกครั้ง
        วานนี้นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิเพิ่มขึ้น ในตลาดหุ้นเอเซียอีกครั้ง เป็นการซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ต่อจากวันศุกร์ เฉพาะที่รายงานข้อมูลออกมา 4 ประเทศ พบว่า ซื้อสุทธิรวมกันสูงถึง 975 ล้านเหรียญฯ นำโดยตลาดหุ้นไต้หวันที่ซื้อสุทธิสูงถึง 510 ล้านเหรียญฯ รองลงมาเป็นตลาดหุ้นเกาหลีที่ซื้อสุทธิ 449 ล้านเหรียญฯ  และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 16 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามกลับลำมาขายสุทธิ 0.5 ล้านเหรียญฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน โดยแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว หนุนให้ตลาดหุ้นเอเซียหลายแห่งขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิม หรือทำจุดสูงสุดใหม่ของปี ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ไต้หวัน เกาหลี และฟิลิปปินส์ แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นดังกล่าวไม่สามารถยืนเหนือจุดสูงสุดเดิมได้ หลังถูกเทขายทำกำไรระยะสั้นออกมา ดังนั้นด้วย Sentiment เชิงบวกจากตลาดต่างประเทศ เชื่อตลาดหุ้นไทยซึ่งมีโอกาสได้รับแรงขับเคลื่อนจาก Fund Flow ต่อเนื่องในระยะสั้น อาจทำให้ SET Index ปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 999 จุดอีกครั้งในวันนี้ แต่เชื่อว่าจะไม่สามารถยืนระยะได้ เพราะ ณ ระดับดังกล่าว มีระดับ PER 15 เท่า ที่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้ง อีกทั้งแนวโน้มค่าเงินเอเซียส่วนใหญ่ รวมทั้งค่าเงินบาท เริ่มมีทิศทางทรงตัว ทำให้ผลตอบแทนจากค่าเงินเอเซียลดความน่าสนใจลงในระยะสั้น  อีกทั้งหากเม็ดเงินจาก Quantitative Easing 2 ของสหรัฐฯ ออกมาน้อยกว่าคาด หรือเป็นไปตามที่ตลาดคาด  เชื่อว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ฟื้นตัว และกดดันเงินเอเซียอ่อนตัวได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดเงินทุนไหลออกนั่นเอง โดยสรุป ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่า Fund Flow ยังเป็นช่วงปลายขาเข้า หรือต้นขาออกแล้ว
* หุ้น High Dividend  อย่าง ESSO, TCAP, KK, SMT, SC และกองทุนรวมอสังหาฯ
        หุ้นอีกลุ่มหนึ่งที่ฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี และมีกลไกป้องกันความเสี่ยงระดับหนึ่งได้แก่ หุ้นที่ให้ Dividend Yield สูงซึ่งฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีตัวเลือกอยู่ค่อนข้างหลากหลาย และกระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยในกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งนอกจากจะได้กระแสจากค่าการลั่นที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของฤดูมรสุมและฤดูกาลในงวด 4Q53 แล้ว หุ้นอย่าง ESSO และ BCP ก็ยังสร้างผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สูงอีกด้วย กลุ่มถัดไปที่น่านสนใจได้แก่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ให้ Dividend Yield สูง ประกอบด้วย TCAPและ KK ซึ่งในกลุ่มนี้มีปัจจัยที่สร้างแรงขับเคลื่อนราคาในระยะสั้นได้แก่ ยอดขายรถยนต์ในประเทศที่เติบโตในระยะสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงวดไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มียอดขายรถยนต์สูงสุดของปี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มาขนาดกลาง-เล็ก ได้แก่ SMT ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ SC จากกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งมี Dividend Yield สูง และมีศักยภาพในการเติบโตสูงใน 2 ปีข้างหน้า และสำหรับเงินลงทุนระยะยาว กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี แนะนำ QHPF, SPF ซึ่งเป็นกองสิทธิการเช่า และ TFUND สำหรับรองทุนรวมที่ถือครองกรรมสิทธิ์