อังคาร 7 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
เปิดโผหุ้นน่าเล่นสัปดาห์นี้

* ลุยกลุ่มโภคภัณฑ์ - หุ้นงบดีแต่ยัง laggard
        หุ้นไทยสดใสตั้งแต่ต้นสัปดาห์ โบรกฯ มองศก.ยุโรปเริ่มฟื้นทำเงินดอลล์อ่อนค่าหนุนสินค้าโภคภัณฑ์ ชู PTT - BANPU เป็นหุ้นเด็ดในกลุ่ม พร้อมมองสัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์ประกาศงบ ชี้กลุ่มอาหาร บันเทิง ยานยนต์ และโรงไฟฟ้า กำไรจะเพิ่ม QoQ แนะระยะสั้นหาช่องเก็งกำไรหุ้นที่คาดงบดีแต่ราคายัง laggard อย่าง ERW, CPALL, JAS, KH, ROJNA, TVO, TRT และ TOG
        ตลาดหุ้นไทยเปิดสัปดาห์ใหม่ด้วยความสดใส เพราะรับข่าวดีจากทางฝั่งตะวันตก ซึ่งหุ้นฝั่งตะวันตกปรับตัวขึ้นทุกตลาดในวันศุกร์ที่ผ่านมาเฉลี่ยราว 2-4% โดยตลาดหุ้นยุโรปบวกเฉลี่ย 4% และตลาดหุ้นสหรัฐบวกราว 2% โดยทางสหรัฐประกาศตัวเลขดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญเดือน ก.ค. ดีกว่าคาดไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นราว 163,000 ตำแหน่ง ซึ่งนับว่าสูงกว่าที่ตลาดไว้เพียง 1 แสนตำแหน่ง รวมถึงยอดขาดดุลการค้าเดือน 1.914 พันล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวลง 3.8% จากเดือนก่อนหน้า
        ส่วนทางยุโรปเองก็มีข่าวดีหลังจากที่ TROIKA ได้มีการเข้าตรวจสอบแผนการรัดเข็มขัดของกรีซ พร้อมกับมีข้อสรุปในเบื้องต้นว่าจะยังให้ความความช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซตามร้องขอ 2 รอบรวม 240 พันล้านยูโร (หรือ 297 ล้านเหรียญสหรัฐ) และคณะผู้ตรวจสอบทางฝั่งเจ้าหนี้จะกลับมาหาข้อสรุปอีกครั้งในช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่จะถึงนี้ แม้จะทำให้การเบิกเงินช่วยเหลือล่าช้ากว่าแผนก็ตาม
        จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดี และแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปที่เห็นสัญญาณฟื้นตัว ส่งผลให้โบรกเกอร์หลายแห่งของไทย เริ่มแนะนำหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว รวมถึงหุ้นที่รับอานิสงส์จากผลประกอบการไตรมาส 2/2555 ก็ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในสัปดาห์นี้เช่นกัน
***หุ้นโภคภัณฑ์รับอานิสงส์เงินดอลล์อ่อนค่า
        บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ภาวะกดดันของนักลงทุนต่อยุโรปที่ผ่อนคลายลง ส่งผลให้ให้ Dollar Index อ่อนค่าราว 1.4% ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงหรือสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว ซึ่งหากพิจารณาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงที่ผ่านมาพบว่าราคาน้ำมันดิบได้ฟื้นตัวมากสุด คือ เพิ่มขึ้น 10.71% ในช่วงเดือน ก.ค. – 6 ส.ค. 2555 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.27% ในเดือน ส.ค. 2555 ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) PTTEP แต่หุ้น PTTEP ยังต้องเผชิญกับการเพิ่มทุนในระยะสั้นๆ PTT จึงมีความน่าสนใจกว่า ขณะที่ราคาถ่านหินได้ตกต่ำมาเป็นเวลานานกว่า 6 เดือนและในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวบ้างเล็กน้อย ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อผู้ผลิตและส่งออกถ่านหินอย่าง BANPU/LANNA
        โดยเชื่อว่าผลประกอบการ 2Q55 ของ PTT ที่จะประกาศออกมาน่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2555 ซึ่งราคาหุ้นน่าจะตอบสนองไปแล้ว ส่วนทิศทางในช่วง 2H55 คาดว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกอย่างชัดเจนของผลประกอบการซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วย การปรับสูตรคำนวนราคาขายก๊าซใหม่ให้กับ PTTGC ซึ่งทำให้ PTT ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น, การกลับขึ้นมาของส่วนต่างในธุรกิจปิโตรเคมีหลังเริ่มเกิดสัญญาณการกลับมาสต๊อกสินค้าเพิ่มเติม นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว ก็น่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นทั้งราคาหุ้น และผลประกอบการ PTT จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงเวลานี้ โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 390 บาท
*** ฟินันเซียไซรัส ชี้เป็นสัปดาห์แห่งการประกาศงบ แนะเก็งกำไรหุ้นงบดีแต่ราคา laggard
        บทวิเคราะห์บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า สัปดาห์แห่งผลประกอบการ บจ.จำนวนมากจะรายงานกำไรในสัปดาห์นี้ กลุ่มที่เราคาดว่ากำไรปกติจะเพิ่มขึ้น Q-Q ได้แก่ กลุ่มอาหาร บันเทิง ยานยนต์ และโรงไฟฟ้า ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดดเด่น Y-Y ได้แก่กลุ่มยานยนต์ ค้าปลีก โรงแรม โรงพยาบาล สื่อสาร นิคมฯ แต่ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับขึ้นมากแล้ว ที่โดดเด่นสุดในปีนี้คือยานยนต์ +38%YTD แต่เราคาดว่ากำไรอาจน้อยกว่าตลาดคาด อาจมีแรงขายหลังประกาศงบฯ ส่วนราคาหุ้นกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก และโรงพยาบาล outperform SET ไปแล้ว 14-21% สำหรับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจะประกาศกำไรที่ไม่สดใสปลายสัปดาห์ เราเชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนไปแล้ว สำหรับระยะสั้นแนะเก็งกำไรหุ้นที่คาดงบดีแต่ราคายัง laggard เช่น บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW , บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL,บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS , บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) KH, บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ROJNA, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) TVO, บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) TRT, บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG
*** PTT ผ่านจุดต่ำสุด โบรกฯ เชียร์ซื้อเพียบ
        จากความเห็นของนักวิเคราะหลายสำนักต่อหุ้น PTT เปิดเผยว่า PTT จะประกาศกำไรสุทธิ 2Q55 ออกมาประมาณ 10,000 ล้านบาทลดลง 73%qoq และ 69%yoy กำไรสุทธิที่ลดลงแรงมาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ
        1) มีกำไรจาก PTTEP ลดลงเนื่องจากไตรมาสนี้ PTTEP มีผลขาดทุนในรายการพิเศษจากการบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนในแหล่งมอนทาราและมีผลขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนรวมกว่า 7,360 ล้าน
        2) คาดส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรฯมีผลขาดทุนในสินค้าคงคลัง(LCM) และบันทึกผลขาดทุนในสต๊อกน้ำมันดิบจำนวนมากโดยเบื้องต้นเราคาดส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจะออกมาติดลบประมาณ 3,800 ล้านบาทลดลงจากที่มีกำไร 10,289 ล้านบาทใน 1Q55 และ 10,409 ล้านบาทใน 2Q54 และ
        3)คาดมีรายการพิเศษจากบันทึกขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1,600 ล้านบาท บันทึกตัดจำหน่ายเงินลงทุนในอิยิปต์อีกประมาณ 4,000 ล้านบาทและมี Stock Loss ในธุรกิจน้ำมันประมาณ 2,900 ล้านบาท
        แต่อย่างไรก็ตามโบรกเกอร์ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ PTT ใน 3Q55 โดยคาดว่ากำไรสุทธิที่หดตัวแรงใน 2Q55 จะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ใน 3Q55 โดยมีแรงหนุนมาจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมพลิกมีกำไรเนื่องจากไม่ต้องบันทึกขาดทุนในสต๊อกน้ำมันดิบ และคาดผลประกอบการของ PTTEP ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วเนื่องจากรายการพิเศษที่เกิดขึ้นใน 2Q55 จะไม่เกิดขึ้นอีกและยังได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งบงกชใต้ซึ่งมีกำลังการผลิต 24,000 BOED จะทำการผลิตได้เต็มไตรมาส
        บล.โกลเบล็ก แนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายปี 55 ที่ 380 บาท
        บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 392 บาท
        บล.กรุงศรี แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 350 บาท
        บล.ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 55 ที่ 396 บาท
        บล.เกียรตินาคิน PTT แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 390 บาท
*** BANPU ลงรับราคาถ่านหินช่วงขาลงหมดแล้ว
        บล.โกลเบล็กเปิดเผยว่า ราคาหุ้น BANPU ปรับตัวลดลงตามราคาถ่านหินเนื่องจากถูกกดดันจากความกังวลต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมถ่านหินที่ซบเซา อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้วดังจะเห็นได้จากการลดลงของราคาหุ้นที่ลดลงมากกว่าราคาถ่านหินถึง 2 เท่า โดยราคาถ่านหินลดลงจากราคาสูงสุดในเดือนก.พ.เพียง 26% แต่ราคาหุ้นของ BANPU ลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนก.พ. ถึง 41% ขณะเดียวกันเราคาดว่าราคาถ่านหินจะไม่ลดลงมากกว่าระดับที่เป็นอยู่เนื่องจากราคาในปัจจุบันถือเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการส่งออกถ่านหินในสหรัฐอเมริกาแล้วจึงทำให้แนวโน้มปริมาณถ่านหินการส่งออกจากอเมริกาจะเข้าสู่เอเชียมีน้อยลง โดยครึ่งปีหลังราคาถ่านหินจะเคลื่อนไหวทรงตัวในกรอบ 85$/ton -95$/ton ด้านผลประกอบการเราคาดกำไรสุทธิของ BANPU ใน 2Q55 จะออกมาประมาณ 2,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 1%qoq ซึ่งยังดีกว่าหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันที่ผลประกอบการหดตัว ส่วนทั้งปีเพื่อสะท้อนการปรับลดเป้ายอดขายถ่านหินเราจึงปรับลดประมาณการณ์กำไรสุทธิในปีนี้ลง 20% เป็น 12,131 ล้านบาทลดลง 40%yoy แต่หากคิดเป็นกำไรปกติยังทรงตัว YoY ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงเราจึงแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายปี 55 : ที่ 535 บาท(เดิม 736 บาท)
        ส่วนบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 533 บาท
*** ทิสโก้ แนะถือ ERW ให้ราคาเหมาะสม 2.8 บาท
        บล.ทิสโก้เปิดเผยถึงหุ้น ERW ว่าแนวโน้มผลประกอบการ 2Q55ของ ERW มีรายการขาดทุนก่อนกำไรพิเศษ 13 ล้านบาทเนื่องจากในช่วง Q2-3 เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อย แต่อย่างไรก็ตามผลประกอบการยังคงดีขึ้นจากช่วง 2Q54 ที่ขาดทุน 83 ล้านบาทเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นโดยเน้นไปที่กลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น โดยเราคาดว่าผลประกอบการขาดทุนในอนาคตมีแนวโน้มที่ลดลงเนื่องจากการรีแบรนดิ้ง Naka island และการดำเนินงานที่ดีขึ้น
        ทั้งนี้ปรับเพิ่มรายได้ 2% ตามการดำเนินงานที่ดีขึ้น แต่ปรับลดผลประกอบการปกติลง 6% เนื่องจากต้นทุนในการเปิดตัว Mercure Ibis Siam ในช่วง 4Q55 โดยเราคาดว่าในปีนี้รายได้จะเพิ่มขึ้น 18% เป็น 4.4 พันล้านบาทเนื่องจากอุปสงค์ของโรงแรมและรีสอร์ทหรูที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด โดยเราคาดอัตรการเข้าพักจะอยู่ที่ 75% เพิ่มขึ้นจากเดิม 69% จากปีที่แล้ว และมี ARR สูงขึ้น 2% โดยเราได้ปรับผลประกอบการปี 2555F เพิ่มขึ้น 8% เป็น 145 ล้านบาทโดยมีกำไรพิเศษ 19 ล้านบาทจากการขายที่ดินที่ศรีราชา
        ส่วนรายได้ในช่วง 2Q55 ของโรงแรมจะสูงขึ้น เป็น 952 ล้านบาทถึงแม้รายได้จะลดลงจากการปิดปรับปรุงโรงแรม Grand Hyatt Erawan โดย YoY เพิ่มขึ้นจากการดำเนินที่ดีขึ้นและห้องของ Ibis Hua Hin (เปิดในเดือนมกราคม) แต่อย่างไรก็ตามรายได้ยังคงลดลง 15% QoQ เนื่องจากผลของฤดูกาล โดยเราคาด RevPAR ในช่วง 2Q55 จะอยู่ที่ 1,621 บาทเพิ่มขึ้น 9% จากอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นเป็น 73% จากเดิม 67% ในช่วง 2Q54 ในขณะที่ ARR คงที่ YoY ที่ 2,225 บาททั้งนี้ยังคงมูลค่าที่เหมาะสม 2.8 บาท แนะนำให้ “ถือ”
*** Stamp 7-11 หนุน CPALL ถึง Q4/55
        บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยถึงหุ้น CPALL ว่าคาดกำไร 2Q12 ยังแข็งแกร่งโตดี Q-Q และ Y-Y จากการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่สามารถชดเชยผลลบจากค่าแรงที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด และคาดยังดีต่อเนื่องใน 3Q12 แม้เป็น Low Season เพราะจัด Stamp Promotion กระตุ้นยอดขายและยาวไปจนถึง 4Q12 ดังนั้นยังคาดกำไรปีนี้โต 41% Y-Y อยู่ที่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาท และด้วยกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมจากการขยายสาขาในอัตราที่มากกว่าคู่แข่ง และการสร้างความแตกต่างในสินค้าอาหาร จึงคาดจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยคาดจะมีอัตราการเติบโตปี 2013 – 2015 เฉลี่ยปีละ 24% คงราคาเป้าหมาย 44 บาท (DCF, WACC 8.5%) ยังมี Upside 32% คงคำแนะนำซื้อ
        ส่วน บล.ทิสโก้ ได้ปรับสมมติฐานใหม่และปรับมูลค่าที่เหมาะสมไปเป็นปี 2556F ได้มูลค่าที่เหมาะสมของ CPALL เพิ่มขึ้นเป็น 40 บาท (เพิ่มขึ้น 14% จากเดิม 35 บาท) คิดเป็น PER 27.6 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 20.5 เท่า ในปัจจุบัน CPALL ซื้อขายที่ PER 24.5 เท่าและ EV/EBITDA 13.8 เท่าสำหรับปี 2556F และการเติบโตของ EPS 24.4% ราคาหุ้นปัจจุบันมีอัพไซด์ 13.5% จากมูลค่าที่เหมาะสม เรายังคงแนะนำให้ “ถือ” โดยมีความเสี่ยง คือ แผนการขยายสาขาและการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมที่มากกว่าหรือน้อยกว่าคาด
*** โบรกฯคาด งบ JAS เพิ่ม 14% ให้ราคา 3.60 บาท
        บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยถึงหุ้น JAS คาดกำไรปกติ 2Q12 เพิ่ม 14% Q-Q, 53% Y-Y จากจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตบอร์ดแบนด์ทยอยดีขึ้น หลังจาก 1Q12 ที่ยังมีผลกระทบจากน้ำท่วม แต่คาดมี FX Loss ทำให้กำไรสุทธิลดลง 7% จากไตรมาสก่อนที่มี FX Gain แต่เพิ่มเท่าตัวจาก 2Q11 ที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษสูง เรายังคงคาดกำไรปกติทั้งปี 2012 ขยายตัว 31% ปัจจัยหนุนระยะยาวคือตลาดบริการ Internet Broadband ที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากอัตราส่วนผู้ใช้บริการต่อจำนวนครัวเรือนและประชากรทั้งหมดที่ยังต่ำเพียง ~16% และ 4-5% ตามลำดับ และคาดผลกระทบจากการปรับอัตราค่าธรรมเนียมกองทุนสาธารณะโทรคมนาคม (USO) ไม่มากนัก แม้ราคาหุ้นปรับขึ้นมาเร็ว ~14% ในช่วง 1 เดือน แต่ยังมีส่วนลด 12% จากราคาเป้าหมายที่ 3.60 บาท (PE 15 เท่า) คงคำแนะนำ “ซื้อ”
*** งบ KH ช่วง Q3 มีลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่รับ High Season
        บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยถึงหุ้น KH ว่าผลการดำเนินงาน 2Q12 จะชะลอตัวลง Q-Q แต่เติบโตโดดเด่น Y-Y โดยได้รับประโยชน์หลักจากการปรับรูปแบบการจ่ายเงินของสำนักงานประกันสังคม โดยคาดว่ารายได้รวม 2Q12 เพิ่มขึ้นราว 7.5% Y-Y และมีกำไรสุทธิ 217 ลบ. +24.6% Y-Y, -3% Q-Q โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 3Q12 คาดทำจุดสูงสุดใหม่เนื่องจากเป็นช่วง High Season แต่ 4Q12 จะได้รับแรงกดดันจาก WMC ที่คาดว่าจะขาดทุนในช่วงเปิดให้บริการในช่วง 1-2 ปีแรก
        อย่างไรก็ตาม ปรับประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2012 ขึ้น 2.8% เป็น 872 ลบ. (+29.6%Y-Y) จากดอกเบี้ยจ่ายที่ต่ำกว่าที่เคยคาด และปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 10 บาท จาก 8.60 บาท ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก “ถือ”
*** ROJNA ลุ้นทำสถิติกำไรสุทธิในปี 55-56
        บล.บัวหลวงเปิดเผยว่าเรื่องราวของ ROJNA เริ่มน่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทมีแนวโน้มที่จะทำสถิติยอดขายที่ดินใหม่ต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงปี 2556 ทั้งนี้แม้ว่ายังไม่ได้รวมโอกาสที่จะขายที่ดินล็อตใหญ่ที่นิคมฯใหม่ที่ปราจีนบุรีเข้าไปในประมาณการก็ตาม แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถทำสถิติกำไรสุทธิทั้งในปีนี้และปีหน้า เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2555ที่ 10.50 บาท
        ทั้งนี้คาดบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/55 ที่ 217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปีที่แล้ว เนื่องมาจากการโอนที่ดินจำนวน 300 ไร่ให้แก่ Gulf JP (ทั้งนี้กำไรสุทธิจะลดลง 36% เมื่อเทียบจากไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษเหมือนในไตรมาส 1/55) สำหรับยอดขายที่ดินขนาดใหญ่มากกว่า 500 ไร่ ที่สวนอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ระยอง ผู้บริหารกล่าวว่าน่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ในไตรมาส 3/55
        นอกจากนี้ ROJNA วางแผนที่จะเริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าในช่วงปลายไตรมาส 3/55 (หลังปิดซ่อมจากน้ำท่วม) และคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มที่ใน
        ช่วงปลายไตรมาส 4/55 นอกจากนี้กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ขนาด 55 เมกะวัตต์น่าจะเริ่มเดินเครื่องในไตรมาส 2/56 และอีก 110 เมกะวัตต์ (โครงการ SPP) ในไตรมาส 3/56 โดยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าใหม่ส่วนใหญ่ได้ถูกจองไปเกือบหมดแล้ว โดยคาดรายได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ 214% ในปี 2556 และเพิ่มขึ้นอีก 24% ในปี 2557
*** TVO ได้ทั้งงบQ2/55 - เงินปันผลช่วยหนุน
        บล.เคจีไอ เปิดเผยว่า ได้กลับมาศึกษา TVO ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 31.00 บาท อิง PER 16 เท่า กำไรที่คาดว่าจะโตแข็งแกร่ง และปันผลที่อยู่ในระดับสูงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้น TVO ให้ Outperform ตลาดได้ในระยะสั้น เราคาดกำไร 2Q55 จะโตราว 113% YoY และ 64% QoQ เป็นประมาณ 500 ล้านบาท และคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานจะยังโดดเด่นใน 3Q55 ตามแนวโน้มขาขึ้นของ Crushing margin เราประเมิน TVO จะจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.70 บาท/หุ้น และปันผลทั้งปี 2555 ที่ 1.37 บาท/หุ้น (Dividend yield 5.5%)
        แม้ราคาถั่วเหลืองจะปรับขึ้นถึง 35% YTD และได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้ว แต่คาดโรงสกัดถั่วเหลืองในประเทศจะมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น เนื่องจากราคากากถั่วเหลืองในประเทศที่ปรับตัวขึ้นถึง 54% YTD และทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน โดยปกติ TVO จะทำการซื้อวัตถุดิบ เมล็ดถั่วเหลือง โดยกำหนดราคาซื้อใน 1-3 เดือนก่อนหน้า แล้วจึงนำมาสกัดเป็นกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลือง ดังนั้นขาขึ้นของราคาถั่วเหลืองตั้งแต่ต้นปี 2555 จะเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นของ TVO จากการคำนวณของเรา เราประเมิน Crushing margin ของโรงสกัดถั่วเหลืองในประเทศปัจจุบันอยู่ที่ 1.8 บาท/กก. หากอิงราคาต้นทุนวัตถุดิบถั่วเหลืองย้อนหลัง 1 เดือนและย้อนหลัง 3 เดือน Crushing margin ปัจจุบันจะอยู่ที่ 3.9 บาท/ก.ก. และ 5.3 บาท/ก.ก. ตามลำดับ
*** Back log สูง - กำไรเด่น ต้อง TRT
        บล.เคจีไอ เปิดเผยว่า TRT ผนึกพันธมิตรรุกธุรกิจเหล็กและธุรกิจพลังงานทดแทน โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรและคาดจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งธุรกิจแรกที่เกี่ยวเนื่องกับเหล็กจะทำให้บริษัทบริหารต้นทุนเหล็กได้ดีขึ้น เนื่องจากแผนการขยายการผลิตหม้อแปลงของบริษัทสู่หม้อแปลงขนาดใหญ่ จำเป็นต้องมีความมั่นคงทางวัตถุดิบเหล็ก ซึ่งการผลิตหม้อแปลงจะมีเหล็กเป็นต้นทุน 15-25% ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการประหยัดพลังงาน กำลังศึกษาโครงการร่วมกับพันธมิตรจากประเทศเยอรมัน
        ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมผลบวกที่คาดจะเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าวในประมาณการ เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านข้อมูล อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงผลประกอบการในปี2555 นี้ คาดงานในมือที่อยู่ในระดับสูง จะหนุนให้ TRT มีการเติบโตของกำไรที่โดดเด่นเท่ากับ25.3% YoY เป็น 250 ล้านบาท ดังนั้น แนวโน้มธุรกิจที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ประกอบกับความสามารถในการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอในอัตราไม่ต่ำกว่าปีละ 7.0-8.0% ทำให้ยังคงคำแนะนำ 'ซื้อ' ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท
*** TOG ถือได้ เป้าหมาย 4 บาท
        บล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่าคาดกำไรสุทธิของ TOG ใน 2Q12 ที่ 35 ลบ. เติบโตโดดเด่น 56% Y-Y แต่ลดลง 55% Q-Q เนื่องจาก 1Q12 มีรายการพิเศษเป็นรายได้เคลมประกันจากน้ำท่วมราว หากตัดรายการพิเศษออกกำไรปกติจะทรงตัว Q-Q เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิเดิมที่ 167 ลบ. พลิกจากขาดทุน 66 ลบ.ในปีก่อน กำไรปกติที่ 127 ลบ. โตก้าวกระโดด 225% Y-Y คงราคาเป้าหมายที่ 4 บาท (DCF) ปรับคำแนะนำลงเป็น “ถือ”