จันทร์ 6 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
กูรูชี้5ปัจจัยกระทบSETครึ่งปีหลัง

      โบรกฯ เปิดโผ 5 ปัจจัย มีผลต่อ SET ช่วงครึ่งปีหลัง ระบุหนี้ยุโรปเรื้อรัง-ศก.โลกชะลอตัวกดดัน คาดSETขยับช่วง1,187-1,278 จุด แนะสะสมหุ้นแบงก์-รถยนต์-สื่อสาร-ค้าปลีก ส่วนเดือน ส.ค.คาดSETเคลื่อนไหวในกรอบ 1,150-1,200 จุด ด้านเซียนหุ้น มั่นใจหุ้นไทยช่วงต.ค.-พ.ย ฟื้นตัวดีขึ้น
* โบรกฯ เปิด 5 ปัจจัยหลัก มีผลต่อหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลัง
      บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า ปัจจัยที่คาดมีผลต่อ SET ในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย
      1.นักลงทุนต่างชาติยังคงถือครองหุ้นไทยอยู่โดยมีปัจจัยของภาพเศรษฐกิจในเชิงบวกช่วยหนุนอยู่
      2.ปัจจัยเชิงบวกจากการปรับประมาณการณ์ขึ้นได้สะท้อนเข้าไปในราคาแล้ว
      3.ปัจจัยด้านมหภาคยังไม่สนับสนุนจิตวิทยาการลงทุน
      • หนี้สินของยุโรปยังเรื้อรังและมีแนวโน้มไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้น
      • เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ สหรัฐ และยุโรปยังมีสัญญาชะลอตัว
      • การเปิดสภาฯช่วงต้นเดือนส.ค.อาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง
      4.ปัจจัยด้านผลการดำเนินงานของ SET ยังแข็งแกร่งคาดกำไรต่อหุ้นของ SET จะโตต่อเนื่องกว่า 21% ในปี 55 และ 13%ในปี 56 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก
      • อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดจาก 30% เหลือ 23% ในปี55 และ 20% ตั้งแต่ปี 56
      • อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่ทรงตัวในระดับต่ำอย่างน้อยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 55 จะสนับสนุนการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
      • งบลงทุนในระบบสาธารณูปโภคกว่า 2.38 ล้านล้านบาท(+10%YoY) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ยังสนับสนุนการเติบโตของ GDP
      5. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ปัจจุบันมีการฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อยๆแต่เราคิดว่าน่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นกว่านี้ ความเชื่อมั่นอาจถูกกดดันจากข่าวการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วนในปีนี้ และสถานการณ์ทางการเมือง และที่เพิ่งกลับมาก็คือราคาน้ำมัน
* คาดSETขยับ1,187-1,278 จุดปีนี้ แนะสะสมหุ้นแบงก์-รถยนต์-สื่อสาร-ค้าปลีก
      บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุด้วยว่า ปัจจุบัน SET ซื้อขายกันอยู่ที่ 14.3xPE / 2.08xP/BV (1,188 จุด)และคาดว่าสะท้อนปัจจัยบวกไปในราคาหุ้นแล้ว ทำให้การปรับขึ้นอยู่ในขีดจำกัด การไหลเข้าของเงินทุนน่าจะไม่เกิดขึ้น นอกจากจะว่ามีนโยบายทางการเงิน เช่น มาตรการผ่อนคลาย เชิงปริมาณ (Quantitative Easing - QE) หรือมาตรการปล่อยเงินกู้ระยะยาว (Long-Term Refinancing Operatoins - LTRO) เกิดขึ้นอีก
      อิงวิธี P/E กรอบ 13-14 เท่า เราได้ช่วงดัชนีที่ 1,187-1,278 จุด สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี 55 และประเมินความเสี่ยงทางลงที่สำคัญของ SET จะอยู่ที่ 1,096-1,100 จุด (เป็นแนวรับที่สำคัญใน 2วิธีประเมินคือ P/E 12x = P/BV 1.8x)
      ณ ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่สูงกว่า 14 เท่า P/E และกว่า 2 เท่าของP/BV โดยการปรับขึ้นของ SET จากนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ (HigherPrice Premium & Risk) แต่เชื่อว่าจะเป็นในช่วงเวลาสั้น และอาจเผชิญแรงขาย
      กลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากระดับดัชนีใกล้เคียงเป้าหมายสิ้นปีของเราแล้ว และมีโอกาสผันผวนช่วงใกล้ประกาศผลการดำเนินงาน 2Q55การลงทุนแนะนำ ทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศทั้ง ธนาคาร, ชิ้นส่วนรถยนต์, สื่อสาร และค้าปลีกหุ้นที่เป็น Top Pick ของเราได้แก่ KBANK, TCAP, TISCO, STANLY,SAT และ IHL
* ส.ค.นี้คาดSETเคลื่อนไหวที่กรอบ1,150-1,200 จุด
      บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า มีมุมมองทางเทคนิคคาดว่า SET จะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,150-1,200 จุด เป็นกรอบแค่การ reboundเป็นมุมมองทางขึ้นระยะสั้นเท่านั้น เหตุผลก็คือ
      1.การปรับขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว(ก.ค.55)นั้น ไม่สามารถผ่านแนว 1,200 จุดขึ้นไปได้อย่างมั่นคง โดยขึ้นไปได้สูงสุดเพียง 1,230 จุดเท่านั้นตามที่คาด และเกิดสัญญาณกลับลงตัดเส้นค่าเฉลี่ย 10 วันการปรับลงจะมีทิศทางลงไปสู่แนวรับที่ 1,150 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ ความเป็นไปได้นั้นเมื่อพิจารณาจากแพทเทินระยะยาวเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะทดสอบระดับแนวรับดังกล่าว
      ทั้งนี้ ในระยะยาวดัชนีตลาดที่อยู่บริเวณ 1,200 จุดนั้น ถือว่าแนว 1,200 จุดยังเป็นระดับ overbought อยู่นั่นเอง การเข้าไปสู่ระดับ 1,150 จุดใหม่นั้นจะช่วยทำให้ดัชนีตลาดและภาวะราคาของหุ้นเกิดลักษณะ oversold ใหม่ ทำให้ราคาหุ้นและSET INDEX จะมีโอกาสเกิดการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมาเป็นจุดซื้อที่บริเวณ 1,150 จุด ของดัชนีตลาด กรอบที่จะเกิดการฟื้นตัว คาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 จุด
      2.เมื่อตลาดฯมีทิศทางดังกล่าวนั้น หุ้นที่เคลื่อนไหวตาม SET INDEXถ้ามองจากดัชนีกลุ่มหลักๆ เช่น ธนาคาร สื่อสาร พลังงาน อสังหาฯปิโตรเคมี ซึ่งมีน้ำหนักในกลุ่ม SET50 ก็จะพบว่า กลุ่มพลังงานมีทิศทางเคลื่อนตาม SET INDEX มากที่สุด และยังเป็นกลุ่มที่ปรับลงมามากกว่ากลุ่มอื่นๆด้วย และมีภาวะของความเป็น oversold มากมีโอกาสเกิด technical rebound ได้มาก คาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ถูกเลือกมาซื้อเก็งกำไรมากกว่ากลุ่มอื่นๆมากที่สุด
      3.ภาพตลาดในเดือนนี้(ส.ค.55)ถ้ามองแบบระยะสั้น มีโอกาสปรับฐานลงมาทดสอบระดับ 1,150 จุด ก่อนที่จะกลับไปทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 1,200 จุดอีกครั้ง และจะเป็นจุดขายมองในเชิงเทคนิค..เลือกซื้อกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มที่ราคาลงมามากและเคลื่อนไหวตาม SET INDEX
* เซียนหุ้น มั่นใจ SET ช่วงต.ค.-พ.ย ฟื้นตัวดีขึ้น
      นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังคงจะแกว่งตัวโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศเป็นหลัก แบ่งเป็นปัจจัยจากต่างประเทศ ได้แก่ แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ในแถบประเทศยูโรโซนว่าจะมีความคืบหน้าไปในทิศทางใด และการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงเดือน พ.ย.นี้รวมไปถึงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ต้องติดตามแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศจีนว่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วจริงหรือไม่ แต่ในปีนี้ก็ยังคาดว่าเศรษฐกิจจีนยังสามารถขยายตัวได้ในระดับ 8.1% แม้ว่าจะมีสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจก็ตาม
      สำหรับปัจจัยในประเทศคงต้องติดตามแนวโน้มการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร ยานยนต์ ค้าปลีก โรงพยาบาล สื่อสาร อสังหาฯ โดยในเบื้องต้นคาดว่าผลประกอบการโดยเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในประเทศจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนทำให้แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,240-1,300 จุด
      "หากมองรอบตลาดหุ้นไทยข่วงครึ่งปีหลังในเดือน ส.ค.ดัชนีจะแกว่งตัว จนไปถึงเดือน ก.ย.จะปรับตัวลดลงเพราะบจ.ได้เริ่มประกาศ XD แล้ว และจะมาฟื้นตัวดีขึ้นในเดือน ต.ค.-พ.ย. ส่วนเดือน ธ.ค.ต้องติดตามว่าทิศทางจะเป็นอย่างไรเพราะมีวันหยุดเยอะ" นายชัย กล่าว
      ทั้งนี้ หากจะพิจารณาลงทุนควรเน้นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ ส่วนหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ให้พิจารณาตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ SCB -BBL KBANK - SAT- STANLY- CPALL- BH -ADVANC- DTAC และTRUE
*เคจีไอ สั่งลงทุนหุ้นแบงก์มากกว่าตลาดฯชู SCB ดีที่สุด
      บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า ยังคงยืนยันมุมมองว่าการบริโภคในประเทศจะแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปีนี้ดัชนีทางเศรษฐกิจที่สำคัญบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และแข็งแกร่งจะยังคงดำเนินต่อไป และส่งผลให้อุปสงค์สินเชื่อรายย่อยยังคงแข็งแกร่งต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เราประเมินว่าสินเชื่อรายย่อยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 33% ของสินเชื่อรวมทุกประเภท
      เราคิดว่าธนาคารไทยในปัจจุบันมีสถานะที่เข้มแข็ง โดยมี NPL ต่ำ coverage ratio สูง และฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโต และสามารถรองรับเหตุไม่คาดหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ ในแง่การดำเนินธุรกิจธนาคารต่างๆ ยังคงมีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังคงเป็นแรงกดดัน NIM อยู่เนื่องจากการแข่งขันระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อเตรียมรองรับอุปสงค์สินเชื่อที่แข็งแกร่งและการเก็บค่าธรรมเนียม FIDF อัตราใหม่ อย่างไรก็ตาม ธนาคารต่างๆดูเหมือนจะยังคงมีอำนาจในการกำหนดราคา และสามารถเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้
      ซึ่งจากประเด็นดังกล่าว รวมถึงสัดส่วนของรายได้จากค่าธรรมเนียมต่อรายได้รวมที่สูงขึ้น กับอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลง ROE น่าจะเพิ่มสูงขึ้นได้ ซึ่งจะนำไปสู่การที่นักวิเคราะห์จะปรับตัวคูณในการคำนวณราคาเป้าหมายให้สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งแนวโน้มที่แข็งแกร่งของอุปสงค์สินเชื่อ เมื่อบวกกับ ROE ของกลุ่มและราคาเป้าหมายที่เพิ่มขึ้น เราเชื่อว่า SETBANK จะยังคงปรับตัวดีกว่าตลาดต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้
      การเก็บค่าธรรมเนียม FIDF อัตราใหม่จากฐานเงินทุนทั้งหมดของธนาคารทำให้เราชอบธนาคารขนาดใหญ่มากกว่าขนาดเล็กจากความได้เปรียบในแง่ของต้นทุนทางการเงิน เนื่องจากธนาคารขนาดใหญ่มักจะมีเครือข่ายสาขาที่กว้างกว่า ซึ่งทำให้มีเงินฝากที่แข็งแกร่งมากกว่า และช่วยให้สามารถเพิ่มสัดส่วนของบัญชีออมทรัพย์ และกระแสรายวัน (CASA) ให้สูงกว่าธนาคารขนาดเล็ก
      ในบรรดาธนาคารขนาดใหญ่ เราชอบ SCB จากการที่ธนาคารมีสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยสูงถึง 41% รวมถึงการที่ธนาคารมีความสามารถในการแข่งขันในหลายๆ ด้านที่มีการเติบโต และสัดส่วน ROE ที่สูง นอกจากนี้เรายังชอบ BAY จากการที่ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยสูงถึง 48% และโอกาสที่ ROE จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเราคาดว่า ROE ของ BAY จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงที่สุดในช่วง 2554-2556
      เราเชื่อว่าราคาหุ้นของ SCB น่าจะต้องมี premium ทั้งนี้เนื่องจากทั้ง ROE และการเติบโตของสินเชื่อของธนาคารมักจะสูงที่สุดในกลุ่ม ในขณะที่ต้นทุนต่อรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มธนาคารอย่างมาก (มีประสิทธิภาพสูงที่สุด) และธนาคารยังมีสัดส่วน non-NII สูงที่สุด ซึ่งเรามองว่าเป็นรายได้ที่มีคุณภาพดีกว่า NII เพราะไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มเงินกองทุนเพื่อรองรับการขยายตัว เรายังคงคำแนะนำซื้อ SCB โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 189 บาท อิงจาก PBV ปี 2555 ที่ 2.9x
*ดีบีเอสวิคเคอร์ส เชื่อการผลิตรถยนต์ใน 2H55แจ่ม แนะซื้อ SAT-STANLY
      บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่าแนะนำ ถ่วงน้ำหนักมากสำหรับกลุ่มยานยนต์ เรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับ การผลิตรถยนต์ใน 2H55 และคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ SAT (ราคาพื้นฐาน 33 บาท ที่ P/E ปี 55 ที่ 12 เท่า) และ ซื้อ STANLY (ราคาพื้นฐาน 230 บาท ที่ P/E ปี 56 ที่ 12 เท่า (สิ้นงวดปี มี.ค.)) เราคาดว่าทั้งสองบริษัทจะได้รับผลดีจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เติบโตสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้ กอปรกับการเพิ่มกำลังการผลิตและอัตราภาษีเงินได้ที่ลดลงก็ยิ่งเป็นแรงเสริมขึ้นไปอีก
* กูรู สั่ง คงลงทุนหุ้นค้าปลีก 'มากกว่าตลาด”ชู ROBINS เด่นสุด
      บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดอุตสาหกรรมค้าปลีกปี 2555 จะขยายตัว 12.0% YoY โดยการเติบโตดังกล่าวสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 8.0% และสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเงินช่วยเหลือจากภาครัฐในการซ่อมแซมบ้านและกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เราประเมินภาพรวมของการเติบโตของอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังของปี 2555 ยังขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ดังเห็นได้จากการเร่งเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอยู่สูงกว่า 68.5 จุด ดังนั้น แนวโน้มอุตสาหกรรรมค้าปลีกที่ยังเติบโตดี ทำให้เรายังคงน้ำหนักที่ “มากกว่าตลาด” โดยเลือก ROBINS*เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม และมีราคาเป้าหมาย 70 บาท