ศุกร์ 28 ต.ค.2554--eFinanceThai.com :
กลุ่มปตท.ยังแกร่งทั่วแผ่น

* S&P ฟันธงน้ำท่วมไม่สะเทือนเรตติ้ง
          S&P การันตี ผลประกอบการกลุ่ม ปตท. รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ในไทยไม่มาก ยืนยันไม่กระทบอันดับความน่าเชื่อถือ แต่  ยอมรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการผลิตภาคอุตสาหกรรมหยุดชะงัก อาจส่ง ผลต่อกระแสเงินสดของกลุ่มลดลงในครึ่งหลังปีนี้ต่อเนื่องปีหน้า  ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน อาจส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี-น้ำมันลดลงและกระทบกำไรในไตรมาส 3/54 ขณะที่ล่าสุด PTTEP-IRPC ประกาศผลงานโค้ง3 ทรุดทั้งคู่
***เอสแอนด์พี ชี้น้ำท่วมกระทบงบกลุ่ม PTT ไม่มาก
          รายงานข่าวจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือแสตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือ เอสแอนด์พี เปิดเผยว่าผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อาจได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ในไทยบ้างเล็กน้อย แต่ไม่กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ โดยเอสแอนด์พีระบุว่า เหตุน้ำท่วมใหญ่ในไทยส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อกลุ่ม PTT เท่านั้น แต่การที่เศรษฐกิจชะลอตัวและการที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมหยุดชะงักอาจส่งผล ให้กระแสเงินสดในการดำเนินงานของกลุ่ม PTT ลดลงอย่างน้อยในครึ่งหลังปี 2554 และปี 2555 นอกจากนี้เอสแอนด์พี ยังเตือนว่าผลจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนและแนวโน้มที่ เศรษฐกิจจะชะลอตัวได้ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและน้ำมันลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงในไตรมาส 3 ปีนี้ ทั้งนี้บริษัทในกลุ่ม PTT ประกอบด้วย PTT, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC
***PTTEP ระบุกำไร Q3/54 ลดเหลือ 7.44 พันลบ.
          นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2554 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 250 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่า 7,450 ล้านบาท ลดลง 120 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 32 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 2 จำนวน 370 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่า 11,170 ล้านบาท
          สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาส 3/2554 มีกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ จำนวน 428 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 26 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ซึ่งมีกำไรจากการดำเนินงานปกติจำนวน 402 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่เนื่องจากในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (non-recurring) เกิดขึ้นจำนวน 178 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นการกู้ยืมเงินระหว่างกันของบริษัทฯ และบริษัท พีทีทีอีพี แคนาดา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยมีผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ คงเหลือ 250 ล้านดอลล่าร์ สรอ. นอกจากนี้ในไตรมาสดังกล่าวผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 นี้เงินดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. จากไตรมาสก่อน ทำให้เมื่อแปลงค่าเป็นดอลลาร์ สรอ. เกิดการขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง แต่ในความจริงแล้วไม่ได้มีผลกระทบกับเงินสด ส่วนรายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาสนี้ มีจำนวน 1,422 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 42,837 ล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนจำนวน 1,487 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 45,012 ล้านบาท) ลดลง 65 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 4 โดยส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการขายลดลง เนื่องจากปริมาณการขายเฉลี่ยลดลงเป็น 264,961 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการขายเฉลี่ยไตรมาสก่อนที่ 273,310 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยปริมาณขายที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการขายก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทของโครงการอาทิตย์ โครงการอาทิตย์เหนือ และโครงการบงกชที่ลดลง
          อย่างไรก็ตามปริมาณการขาย ก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสทของโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย-บี 17 และการขาย Diluted Bitumen ของโครงการแคนาดา ออยล์ แซนด์ เคเคดี เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่เป็นเงินดอลลาร์ สรอ. ลดลงเป็น 55.37 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบเมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสำหรับไตรมาสก่อนที่ 56.28 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ สำหรับความก้าวหน้าที่สำคัญในการดำเนินงานในไตรมาส 3 นี้ โครงการบงกชใต้ในอ่าวไทย ได้เสร็จสิ้นการติดตั้งแท่นผลิตกลางและแท่นที่พักอาศัยแล้ว และอยู่ระหว่างการทดสอบระบบการทำงาน คาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตก๊าซธรรมชาติได้ภายในครึ่งแรกของปี 2555 โดยจะมีอัตราการผลิตที่ประมาณ 320 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สำหรับการพัฒนาแหล่งมอนทารามีความคืบหน้าตามลำดับ โดยยังคงเป้าหมายเริ่มการผลิตไว้ที่ปี 2555 เช่นกัน ส่วนโครงการเวียดนาม 16-1 ซึ่งได้เริ่มการผลิตน้ำมันดิบเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมานั้น มีอัตราการผลิตสูงขึ้นเป็น 31,000 บาร์เรลต่อวัน และคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้ที่ประมาณ 40,000 บาร์เรลต่อวันในปลายปีนี้
***PTTEP แจงโครงการเอส1-พีทีทีอีพี1 มีปัญหาขนส่งหลังน้ำท่วม
          นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่าผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ต้องมีการลดการผลิตปิโตรเลียมในโครงการบางส่วนของบริษัทเป็นการชั่วคราว ดังนี้
          1. โครงการเอส 1 ซึ่งอยู่ในบริเวณจังหวัดสุโขทัย จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดกำแพงเพชรพื้นที่การผลิตไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม อย่างไรก็ดี บริษัทฯได้ลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลงโดยเฉลี่ย 10,000 บาร์เรลต่อวัน (จากเดิมที่ผลิตอยู่ที่ 25,000 บาร์เรลต่อวัน) ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบในการขนส่งน้ำมันดิบทางรถไฟซึ่งเป็นเส้นทางหลักในขนส่ง จึงทำให้บริษัทฯจำเป็นต้องเปลี่ยนมาขนส่งทางถนนเพียงทางเดียวและเพิ่มจำนวนรถขนส่งน้ำมัน
          2. โครงการพีทีทีอีพี 1 ที่จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดนครปฐม ซึ่งเดิมมีการผลิตน้ำมันดิบอยู่ประมาณ 380 บาร์เรลต่อวัน ต้องหยุดการขายน้ำมันดิบตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถขนส่งน้ำมันดิบได้ ขณะที่ปริมาณการขายที่ลดลงของทั้งสองโครงการข้างต้นนั้น คิดเป็นร้อยละ 4 ของปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวัน ส่วนโครงการอื่นๆของ ปตท.สผ. ยังสามารถผลิตและดำเนินการได้ตามปกติ สำหรับในส่วนของอาคารสำนักงานใหญ่ ปตท.สผ. อาคาร Energy Complex นั้น ได้มีการจัดเตรียมสถานที่ปฏิบัติงานสำรองเพื่อใช้ปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้ ปตท.สผ. ดำเนินงานได้ตามปกติ รวมทั้งปตท.สผ. ได้ซื้อประกันภัยความเสี่ยงทุกประเภท รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมสำหรับทรัพย์สินของบริษัทฯไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ปตท.สผ. จะติดตามสถานการณ์และผลกระทบอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป
***บล.กิมเอ็ง ชี้ PTTEP โชว์งบ Q3/54 ต่ำกว่าคาด 6.8%
          บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า PTTEP รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2554 ที่ 7,450 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 33.3% จากไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งต่ำกว่าที่คาดไว้ 6.8% เนื่องจากขาดทุนจากการแปลงค่าเงินตราต่างประเทศที่สูงกว่าคาด เนื่องจากค่าเงินเหรียญแคนาดาอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐทำให้เงินกู้ยืมจำนวน 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐที่ PTTEP แคนาดากู้ยืมต้องรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 183 ล้านเหรียญสหรัฐ หากตัดรายการดังกล่าวซึ่งเป็นรายการทางบัญชี กำไรจากการดำเนินการปกติเพิ่มขึ้น 17.7% จากไตรมาสที่ผ่านมาเป็น 13,030 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายจากการสำรวจที่ลดลงตามการตัดจำหน่ายหลุมแห้งที่น้อยลงเป็นหลัก
          ส่วนปริมาณขายในไตรมาส 3/2554 ลดลง 3.1% จากไตรมาสที่ผ่านมาเป็น 264,961 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน (BOED) เนื่องจาก แหล่งบงกชทำการหยุดซ่อมบำรุง 15 วัน อีกทั้งแหล่งอาทิตย์และอาทิตย์เหนือลดการผลิตลง ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 55.4 เหรียญต่อ BOE เพิ่มขึ้น 24.3% จากงวดเดียวกันปีก่อน ตามราคาน้ำมันและก๊าซฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 1.6% จากไตรมาสที่ผ่านมา ตามราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ค่าใช้จ่ายในการผลิต 6.37เหรียญต่อ BOE เพิ่มขึ้น 19.7% จากไตรมาสที่ผ่านมาตามการผลิตของโครงการ KKD ที่เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 7,500 บาร์เรลต่อวันเป็น 13,500 บาร์เรลต่อวัน แต่ค่าใช้จ่ายในการสำรวจลดลง 31.7% จากไตรมาสที่ผ่านมาเป็น 2.09 เหรียญต่อ BOE เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายรวม 3 หลุม ลดลงเหลือ 28 ล้านเหรียญ จาก 52 ล้านเหรียญ ในไตรมาส 2/2554 และไตรมาสนี้ PTTEP ไม่มีการรับรู้รายได้จากประกันความเสียหายกรณีมอนทารา อัตราภาษีจ่ายลดลงเป็น 35.7% จาก 48.9% ในไตรมาส 2/2554 เป็นผลจากผลประโยชน์ทางภาษีของออสเตรเลียที่ให้ผู้ประกอบการสามารถหักค่าใช้จ่ายของเงินลงทุน (Augmentation) ที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมของทุกปี
          ขณะที่ผลประกอบการ 9M54 ที่ 29,598 ล้านบาท คิดเป็น 69.2% ของประมาณการปี 2554 แต่ยังคงประมาณการไว้ที่ 42,769 ล้านบาท แม้ว่ากำไรปกติไตรมาส 4/2554 อาจจะอ่อนตัวลงตามปริมาณขายที่ลดลง แต่มีโอกาสรับรู้รายได้จากเงินชดเชยจากประกันกรณีมอนทาราและการบันทึกกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยนตามการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินเหรียญแคนาดา ส่งผลให้กำไรทั้งปีคาดว่าจะเป็นไปตามคาดการณ์ของฝ่ายวิเคราะห์ อย่างไรก็ตามอาจมี Downside risk จากเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้แหล่ง S1 ที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันบนบกต้องลดการผลิต เนื่องจากอุปสรรคจากการขนส่ง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากประเด็นการเพิ่มทุนที่ยังเป็นประเด็นที่อาจกดดัน ราคาหุ้นจนกว่าจะมีความชัดเจน จึงยังคงคำแนะนำถือ โดยให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 167 บาทต่อหุ้น
***บล.ฟินันเซีย ไซรัส ไม่สนกำไร PTTEP หด แนะซื้อ
          บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่าแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้น PTTEP โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2555 ไว้ที่ 200 บาทต่อหุ้น แม้ว่า PTTEP จะประกาศผลประกอบการในไตรมาส 3/2554 มีกำไรสุทธิ 7,449 ล้านบาท ลดลง -33% จากไตรมาสที่ผ่านมา และลดลง 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากขาดทุนจาก FX สูงถึง 5,581 ล้านบาท ที่เกิดจากเงินกู้ที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐในบริษัท พีทีทีอีที แคนนาดา จำกัด แต่หากไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวจะทำให้มีกำไรจากการดำเนินงานปกติก่อนภาษี 20,275 ล้านบาท ลดลง 6.2% จากไตรมาสที่ แต่เพิ่มขึ้น 41% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
          โดยปริมาณการขายก๊าซลดลง 3% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 264,961 ล้านบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน (BOE/D) ซึ่งต่ำคาดเล็กน้อย เนื่องจากโครงการอาทิตย์และบงกชลดการผลิตลง ส่วนราคาขายปิโตรเลียมเฉลี่ยลดลง 4% จากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้น 24.3% จากงวดเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 55.37 ดอลลาร์/BOE ตามคาด ต่ำกว่า 56.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 2/2554 แต่สูงกว่า 44.54 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาส 3/2553 ส่วนค่าใช้จ่ายในการขุดหลุมสำรวจเป็น 1,550 ลบ. ลดลง 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 23% จากงวดเดียวกันปีก่อน
          อย่างไรก็ตามคาดว่าไตรมาสหน้า PTTEP จะกลับมามีกำไรเป็นปกติ ประกอบกับระดับราคาน้ำมันดิบดูไบยังทรงตัวไม่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือว่าดีสำหรับผู้ผลิตปิโตรเลียมอย่างปตท.สผ และแนวโน้มปีหน้ายังเติบโต 39% จากงวดเดียวกันปีที่ผ่านมาจากโครงการมอนทาราที่จะกลับมาเริ่มผลิตใหม่ และยังมีรายรับค่าสินไหมทดแทนอีกกว่า 112 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่จะบันทึกในปีหน้าด้วย ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ PE ต่ำเพียง 9.16 เท่า ในปี 2555 เทียบกับคู่แข่งระดับภูมิภาคซื้อขายเฉลี่ยกันที่ระดับ 11-14 เท่า ส่วนแผนการระดมทุนเพิ่มในขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานไม่เหมาะกับช่วงของการเพิ่มทุน จึงคาดว่าเรื่องนี้น่าจะเกิดในกลางปีหน้า
***IRPC ระบุ Q3/54 ขาดทุน 177.03 ลบ.หลังค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
          นางสาวนวลวรรณ ภู่ประเสริฐ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่าจากงบการเงินรวมสอบทานสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีผลขาดทุนสุทธิตามงบกำไรขาดทุนรวม 177 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 309 ล้านบาท ลดลงจำนวน 486 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 157 โดยมีสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
          1.บริษัทฯและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 เป็นจำนวนเงิน 67,535 ล้านบาทเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวนเงิน 53,165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,370 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ในขณะที่มีต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 13,901 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 ทำให้มีกำไรขั้นต้น เป็นจำนวนเงิน 1,145 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีกำไรขั้นต้น เป็นจำนวนเงิน 676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 469 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69 มีสาเหตุหลักมาจากราคาตลาดของน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ สูงขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ที่ขายในไตรมาสนี้ มีปริมาณขายสูงขึ้นร้อยละ 4 และราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 23 ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 22 โดยบริษัทฯ มีระดับการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยในไตรมาส 3 ของปี นี้ อยู่ที่175,809 บาร์เรลต่อวัน เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีระดับการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 172,747 บาร์เรล ต่อวัน เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 1.77
          2.บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้อื่นค่าใช้จ่ายอื่น สำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 เป็นจำนวนเงิน 439 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 60 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์ เพื่อค้าเพิ่มขึ้นจำนวน 560 ล้านบาท และกำไรจากสัญญาแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศลดลงจำนวน 145 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรจากสัญญาแลกเปลี่ยนส่วนต่างราคาน้ำมันล่วงหน้าสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 562 ล้านบาท ค่าชดเชยความเสียหายจากประกันภัยเพิ่มขึ้นจำนวน 68 ล้านบาท และอื่นๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 15 ล้านบาท
          3. บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการบริหารสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 เป็นจำนวน 924 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 200 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นจำนวน 101 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น 32 ล้านบาท ค่ารับรองและธุรกิจสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 37 ล้านบาท
          4. บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 เป็นจำนวน 552 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 702 ล้านบาท หรือร้อยละ 468 เนื่องจากมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้เพิ่มขึ้นจำนวน 613 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 112 ล้านบาท ในขณะที่มีขาดทุนจากสัญญาแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศและอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าลดลงจำนวน 23 ล้านบาท
***IRPC หยุดจำหน่ายน้ำมันจากคลังอยุธยา หลังน้ำท่วมสูง
          นางสาวนวลวรรณ ภู่ประเสริฐ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่าผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน ซึ่งคลังจำหน่ายน้ำมันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น บริษัทฯ ได้หยุดดำเนินการจำหน่ายน้ำมันจากคลังอยุธยาแล้ว ตั้งเเต่วันที่ 2 กันยายน 2554 เนื่องจากสภาพจราจรโดยรอบคลังน้ำมันมีน้ำท่วมสูง ทำให้ไม่สามารถสัญจรในพื้นที่ดังกล่าวได้ แต่บริษัทฯ ได้ดำเนินการจำหน่ายจากคลังที่โรงงาน จ.ระยอง,จ.สมุทรปราการ ,จ.ชุมพร เเละ จ.สมุทรสาคร แทน ส่วนสภาพในคลังน้ำมันที่อยุธยาไม่มีน้ำท่วมขังและไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ แต่บริษัทฯ เตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉินในกรณีที่สำนักงานกรุงเทพไม่สามารถปฏิบัติงานได้ โดยบริษัทฯ มีแผนรองรับซึ่งจัดเตรียมพื้นที่และระบบ เพื่อรองรับการปฏิบัติงานไว้ที่สำนักงานใหญ่ จังหวัดระยอง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ สามารถดำเนินการได้ตามปกติ รวมทั้งบริษัทฯ จะติดตามสถานการณ์ต่างๆ และผลกระทบอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์ต่อไป
***บล.เกียรตินาคิน แนะถือ IRPC เหตุผลงานอยู่ในขาลง
          บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2554 ของ IRPC ขาดทุน 177 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2553 และไตรมาส 2/2554 โดยประเด็นหลังที่กระทบผลประกอบการมาจากการรับรู้ Stock Loss ที่มากถึง 4.1 เหรียญต่อบาร์เรล จากไตรมาส 2/2554 ที่มี Stock Gain 4 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้ค่าการกลั่น (Accounting GIM) เหลือเพียง 6.2 เหรียญต่อบาร์เรล แม้บริษัทจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 82% ก็ตาม ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงที่จะรับรู้ Stock Loss ในไตรมาส 4/2554 กดดันผลประกอบการ จึงเชื่อว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/2554 ยังมีความเสี่ยงที่จะรับรู้ Stock Loss เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลง โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2554 อยู่ที่ 103 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 3.2% จากไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นใน H2/2554 มีความเสี่ยงที่ลดลง นอกจากนี้ IRPC จะมีการหยุดโรงกลั่นในเดือน พ.ย. 2554 เพื่อซ่อมบำรุงตามแผน ทำให้กำลังการผลิตรวมลดลง
          ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนถือหุ้น IRPC เนื่องจากผลประกอบการยังมีความเสี่ยงลดลง แม้ราคาหุ้นจะยังมี Upside Gain มาก แต่เชื่อว่าผลประกอบการที่ยังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ IRPC ขาดความน่าสนใจในการลงทุน ขณะที่การหยุดซ่อมของโรงกลั่นจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ TOP มีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่า เนื่องจากเพิ่มสัดส่วนการขายปิโตรเลียมในประเทศที่มี Margin มากกว่าเมื่อเทียบกับการส่งออก
***บล.ทิสโก้ ชี้กำไร 3/54 ของ IRPC ต่ำกว่าตลาดคาด
          บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า IRPC รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3/2554 ต่ำกว่าตลาดคาด โดยรายงานผลขาดทุน 177 ล้านบาทเทียบกับที่มีกำไร 330 ล้านบาทของช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่กำไร 219 ล้าน ในขณะที่รายได้ในงบรวมของบริษัทอยู่ 6.75 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.1% จากไตรมาสที่ผ่านมา แต่สูงขึ้น 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 67.2% ของผลประกอบการคาดการณ์ทั้งปีนี้ของฝ่ายวิเคราะห์ที่ 9.3 พันล้านบาท
          สำหรับผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด เนื่องจากขาดทุนในสินค้าคงเหลือในช่วงไตรมาส 3/2554 โดยคาดว่าค่าการกลั่นจะอยู่ที่ 6.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ บาร์เรล และส่วนต่างของปิโตรเคมีอยู่ที่ 3 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามหลังรวมผลขาดทุนของสินค้าคงเหลือ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ลดต่ำลง โดย GIM ของช่วงไตรมาส 3/2554 เป็นไปได้ที่จะลดลงจาก 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2554 เป็น 5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล และบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากถือหุ้น TOP ในไตรมาสนี้ จึงยังคงแนะนำให้ถือ โดยมีมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 6 บาทต่อหุ้น
***PTT ระบุเร่งฟื้นฟูธุรกิจที่รับผลกระทบจากน้ำท่วมให้กลับมาดำเนินงานเร็วที่สุด
          บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่าขอรายงานผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานบางส่วนในด้านการจัดหา ผลิต จัดเก็บ ขนส่ง จัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของ ปตท. เป็นการชั่วคราว ดังนี้
          - ปริมาณจำหน่ายก๊าซธรรมชาติลดลงจากการดำเนินงานปกติ ประมาณร้อยละ 6
          - คลังน้ำมันบางปะอิน จังหวัดอยุธยาหยุดการจ่ายน้ำมันและสามารถทดแทนโดยคลังน้ำมันอื่น
          - สถานีบริการน้ำมันหยุดให้บริการประมาณร้อยละ 8 ของสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ
          - สถานีบริการ NGV หยุดให้บริการประมาณร้อยละ 11 ของสถานีบริการ NGV ทั่วประเทศ
          ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ปตท.กำลังดำเนินการตามแผนการป้องกัน แก้ไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจของประเทศ และได้เตรียมความพร้อมสำหรับอาคารสำนักงานใหญ่สถานปฏิบัติการต่างๆของปตท. และจัดเตรียมสถานที่ปฏิบัติงานสำรอง เพื่อให้ ปตท.ดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Management) นอกจากนี้ปตท.ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐฯโดยการตั้งศูนย์อำนวยการฉุกเฉินในจังหวัดต่างๆ ที่ประสบอุทกภัยปตท.ได้ซื้อประกันภัยความเสี่ยงทุกประเภท ซึ่งครอบคลุมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมสำหรับทรัพย์สินทั้งหมดของ ปตท.ไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ปตท. จะติดตามสถานการณ์และผลกระทบอย่างใกล้ชิด และเร่งฟื้นฟูธุรกิจต่าง ๆที่ได้รับผลกระทบให้กลับมาดำเนินงานได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด