พฤหัสฯ 27 ต.ค.2554--eFinanceThai.com :
อสังหาฯจมบาดาล

         อสังหาริมทรัพย์สำลักน้ำท่วม หลังบ้านจัดสรรนับ100โครงการจมบาดาล วงการ คาดกระทบโครงการรอขาย มูลค่ารวม 1.74แสนลบ. ฉุด หุ้นบ้านส่วนใหญ่ดิ่งเหว มีเพียง PS ที่ยังคงบวกสวนตลาด ด้าน โบรกฯ คาดวิกฤตครั้งนี้บั่นทอนอุปสงค์ซื้อบ้าน Q4/54 พร้อมหั่นประมาณการกำไรปี 54และ55 สอดรับ บิ๊ก MK รับรายได้ปีนี้พลาดเป้า ส่วน SIRIอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ ขณะที่ ASP ยังให้น้ำหนักการลงทุนเท่าตลาด แนะ SPALI, SIRI, PS ราคาลงมาจน Yield น่าสนใจ ส่วน บล.ดีบีเอสฯ เชียร์ LPN และ APเป็นTop pick
         จากวิกฤตการณ์น้ำท่วมที่ลุกลามจากภาคกลางเข้าสู่ย่านปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ และหลายพื้นที่ชานเมืองกรุงเทพฯ จนหลายฝ่ายมองว่าเป็น"มหาอุทกภัย " บ้างก็ว่าเป็ สึนามิน้ำจืด เพราะนอกจากจะสร้างความเสียหายกับประชาชนแล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย เพราะหลายโครงการทั้งของ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท(PS), ควอลิตี้เฮ้าส์, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(QH), ศุภาลัย (SPALI), แสนสิริ (SIRI), พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค (PF) และเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ (AP)ได้รับผลกระทบน้ำท่วม และเป็นภาระให้ผู้ประกอบการต้องทำการฟื้นฟูต่อเนื่อง
         ซึ่งมีการประเมินกันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจกระทบด้านยอดขาย ที่จะลดลงเห็นได้ชัดในไตรมาส 4/54 ทำให้ยอดขายรวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ไม่เติบโตตามคาด บางบริษัทได้ปรับเป้าขายลงกว่า 10% ขณะที่บางแห่งเลื่อนเปิดโครงการใหม่ไปเป็นปี 2555
         ล่าสุด ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ออกมาระบุว่า ขณะนี้ในพื้นที่ที่ ถูกน้ำท่วม มีโครงการอสังหาฯ ที่อยู่ระหว่างรอการขาย และอยู่ในมือของผู้ประกอบการถึง 311 โครงการ 34,203 หน่วย คิดมูลค่าประมาณ 98,008 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด 226 โครงการ ประกอบด้วย หน่วยที่ยังรอการขาย 23,908 หน่วย มูลค่า 76,511 ล้านบาท เป็นโครงการในพื้นที่คลองสามวา-หนองจอก ปิ่นเกล้า ฝั่งธนบุรี รังสิต-คลอง 7-15 รามฯ-มีนบุรี-สุวินทวงศ์ ลาดกระบัง และสายไหม เมื่อรวมทั้งหมด จะมี 537 โครงการ รวมจำนวนหน่วยที่ยังเหลือขายอยู่ 58,111 หน่วย มูลค่ารวม 174,519 ล้านบาท
         ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์วานนี้(26 ต.ค.54) ปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ อาทิ
         - บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ปิดที่ 4.34 บาท ลดลง 0.04บาทหรือ 0.91% มูลค่าการซื้อขาย 14.74ล้านบาท
         - บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ปิดที่ 1.24 บาท ลดลง 0.02 บาทหรือ 1.59 % มูลค่าการซื้อขาย 26.44ล้านบาท
         - บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH ปิดที่ 1.01 บาท ลดลง 0.01บาทหรือ 0.98% มูลค่าการซื้อขาย 0.768ล้านบาท
         - บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ปิดที่ 0.61บาท ลดลง 0.01บาทหรือ 1.61% มูลค่าการซื้อขาย 8.84 ล้านบาท
         - บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALIปิดที่ 11.00 บาทลดลง 0.20 บาท หรือ 1.79% มูลค่าการซื้อขาย 48.28ล้านบาท
         - บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ปิดที่ 5.20 บาท ลดลง 0.05 บาทหรือ 0.95% มูลค่าการซื้อขาย 116.28ล้านบาท
         - บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ RASA ปิดที่ 1.56บาท ลดลง 0.01บาทหรือ 0.64% มูลค่าการซื้อขาย 4.92ล้านบาท
         - บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SC) ปิดที่ 8.90 บาท ลดลง 0.20 บาทหรือ 2.20% มูลค่าการซื้อขาย 4.92ล้านบาท
         - บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ปิดที่ 10.20 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 20.52ล้านบาท
         - บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ปิดที่ 1.06 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 4.78 ล้านบาท
         - บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ปิดที่ 10.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาทหรือ 1.92%มูลค่าการซื้อขาย 69.78ล้านบาท
***ASP ให้น้ำหนัก การลงทุนกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยเท่ากับตลาด เหตุทั้ง Presale และยอดโอนฯ Q4/54 ชะลอตัว แนะ SPALI, SIRI, PS ราคาลงมาจน Yield น่าสนใจ***
         ด้านฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการในงวด Q4/54 ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยในส่วนของ Presale คาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้เป้าหมายรวมของ 14 บริษัทใน Coverage ของฝ่ายวิจัยที่ 1.7 แสนล้านบาทเกิดขึ้นได้ยากทั้งนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมผู้ซื้อที่ชะลอการตัดสินใจ และ ส่วนของผู้ประกอบการที่ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ สำหรับยอดโอนฯ ก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน
         โดยในเบื้องต้นข้อมูลของ AREA รายงานว่าอาจมีจำนวนยูนิตที่ซื้อแล้วยกเลิกสัญญาประมาณ 20% ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงดังกล่าว ฝ่ายวิจัยประเมินว่าน่าจะกระทบในส่วนของ Backlog โครงการแนวราบของ 14 บริษัทใน Coverage ซึ่งมียอดรวม ณ สิ้น Q2/54 ที่ 4 หมื่นล้านบาท และเมื่อหักส่วนที่จะโอนฯในงวด Q3/54 ออกไป ก็เป็นไปได้ว่าจะเห็นผลกระทบต่อการบันทึกรายได้ในงวด Q4/54 ประมาณ 4 – 5 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนักหากเทียบกับเป้าหมายรายได้ทั้งปี แต่ก็น่าจะเป็นสัดส่วนประมาณ 12 – 15% ของประมาณการรายได้จากการขายในงวด Q4/54 อย่างไรก็ตามผลกระทบต่อผลประกอบการงวด Q4/54 ที่ต้องจับตาอีกประการหนึ่งก็คือ ภาระค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากเหตุการณ์น้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณที่ใช้ในการป้องกันโครงการ, ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสินทรัพย์ต่างๆ ตลอดจน งบส่งเสริมการขายที่อาจต้องสูงกว่าปกติ
         สำหรับแนวโน้มปี 2555 คาดว่าจะธุรกิจน่าจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ แต่สินค้าอาจเปลี่ยนไป ทั้งนี้เชื่อว่าการพัฒนาโครงการแนวราบจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาอย่างช้าๆ โดยที่อาจจะต้องมีต้นทุนในการพัฒนาโครงการสูงขึ้น เพื่อป้องกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียม คาดว่าจะได้รับความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันประการหนึ่งให้ผู้ประกอบการหันกลับมาเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น โดยอาจเกาะตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
         ทั้งนี้จากความกังวลที่เริ่มมาตั้งแต่ความไม่ชัดเจนของมาตรการบ้านหลังแรก และตามด้วยสถานการณ์น้ำท่วมทำให้ราคหุ้นกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย หลายบริษัทปรับลดลงมาจนสามารถสร้าง Dividend Yield ในอัตราที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน ซึ่งนักลงทุนอาจถือเป็นโอกาสในการที่จะทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีขีดความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในอัตราปกติได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งฝ่ายวิจัยเห็นว่ามี 3 บริษัทที่น่าสนใจเริ่มจาก SPALI (7 – 8%ต่อปี), SIRI (12 – 13%ต่อปี ), และ PS ( 5.5 – 6%ต่อปี) ส่วนน้ำหนักการลงทุนยังคงเป็นเท่ากับตลาด (ปรับลดลงมาเมื่อ 10 ต.ค.2554)
***บล.ดีบีเอสฯ หั่นประมาณการกำไรบจ. 13 แห่งทั้งปี 54และ55 ลง เชียร์ LPN และ APเป็นTop pick***
         ฝ่ายวิจัยบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส คาดว่าวิกฤติน้ำท่วมในขณะนี้รุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายได้คาดไว้ ภาวะน้ำท่วมได้เกิดขึ้นในเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการบ้านแนวราบของผู้ประกอบการแทบทุกราย จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่ายอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์จะอ่อนลงมาก มาถึงวันนี้ที่ภาวะน้ำท่วมยังดำเนินต่อไป เราจึงคาดว่าทั้งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงอย่างมากในQ4/54 ด้วยความรู้สึกที่เป็นลบกับภาวะน้ำท่วม ความต้องการซื้อบ้านจึงมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเกณฑ์ที่ซบเซามากในระยะเวลาช่วงสั้นนี้ ดังนั้นบริษัทที่มีโครงการหลายแห่งตั้งอยู่ในเขตที่มีน้ำท่วม เช่น ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์,บางบัวทอง และรังสิต ก็จะได้รับผลกระทบทางลบมาก จากการสำรวจพบว่าเป็น PF, LH, QH และ PS ทั้งนี้ไม่คิดว่าผู้ประกอบการจะมีการทำประกันภัยโครงการบ้านแนวราบ เพื่อครอบคลุมความเสียหายอันเกิดจากภาวะน้ำท่วมแต่อย่างใด
         ทั้งนี้เพื่อสะท้อนปัจจัยลบเรื่องน้ำท่วม ได้มีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ทำการวิเคราะห์อยู่ เป็นจำนวน 13 หลักทรัพย์ ทั้งปี 54 และ 55 ลง ส่วน Top Pick ในหมวดที่อยู่อาศัยขณะนี้คือ LPN และ AP สำหรับ LPN นั้นเนื่องจากบริษัทนั้นเน้นจำหน่ายสินค้าคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยเกี่ยวกับน้ำท่วม เทียบกับผู้ประกอบการแนวราบ หรือแบบผสมระหว่างแนวราบกับคอนโดมิเนียม นอกจากนี้เราเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคจะหันมามีความต้องการในสินค้าประเภท คอนโดมิเนียมในเมืองเพิ่มมากขึ้นเพราะมีความกังวลต่อภาวะน้ำท่วมในปีถัดๆไป จากนี้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกหรือไม่ ส่วน AP นั้นมีพอร์ตสินค้าที่กระจายความเสี่ยงดี คือ มีทั้งสินค้าแนวราบและแนวสูง ที่สำคัญคือราคาหุ้นถูก P/E ปี 55 เป็นเพียง 5.3 เท่า ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีปี 54 เป็น 5.7% และปี 55 เป็น7.6%
         ทั้งนี้ LPN คำแนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 12.63 บาท เพราะได้รับผลกระทบน้อยสุดจากน้ำท่วม
         • โครงการที่พัฒนาทั้งหมดเป็นคอนโดมิเนียม
         • ความกังวลเรื่องน้ำท่วมที่รุนแรงจะทำให้ความต้องการคอนโดมิเนียมมีสูงขึ้นมากในอนาคต
         • คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานข้างต้นประเมินด้วย P/E ปี 55 ที่ 8.8 เท่า ปัจจัยบวกระยะสั้นคือ คาดการณ์กำไรสุทธิ Q3/54 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
         ส่วน AP คำแนะนำ ซื้อ ให้ ราคาพื้นฐาน 5.78 บาท (เดิม 6.50 บาท) ได้รับผลกระทบน้ำท่วมน้อย
         • ขณะนี้ไม่มีโครงการใดๆที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมอย่างรุนแรง
         • มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สูงมาก 29.4 พันล้านบาท สร้างเสริมรายได้จนถึงปี 59
         • ที่สำคัญคือราคาหุ้นถูก P/E ปี 55 เป็นเพียง 5.3 เท่า ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีปี 54 เป็น 5.7% และปี 55 เป็น 7.6%
         ด้าน LH คำแนะนำ ซื้อ ให้ ราคาพื้นฐาน 6.52 บาท (เดิม 7.43 บาท) จุดเด่นคือจะขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาฯ
         • มีโครงการน้ำท่วมอยู่ 8 โครงการ ในโครงการบ้านแนวราบ
         • ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 และ 55 ลงในอัตรา 5% และ 3% ตามลำดับ สะท้อนน้ำท่วม
         • คงคำแนะนำ ซื้อ ปรับลดราคาพื้นฐานลงเป็น 6.52 บาท แต่ยังมีส่วนเพิ่มจากราคาพื้นฐานได้ดี แรงกระตุ้นราคาหุ้นในอนาคตคือ จะขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาฯ ทำให้สามารถบันทึกกำไรในอนาคตจำนวนมากเข้ามา
         ทั้งนี้PS คำแนะนำ ถือ ให้ ราคาพื้นฐาน 12.40 บาท (เดิม 19.78 บาท) หลายโครงการโดนน้ำท่วม-หนี้มากขึ้น
         • มีจำนวนหลายโครงการที่โดนน้ำท่วม จากการสำรวจเป็น 13 โครงการ
         • ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 และ 55 ลงในอัตรา 19% และ 12% ตามลำดับ สะท้อนน้ำท่วม
         • แนะนำเพียง ถือ ราคาพื้นฐานปรับลดลงเป็น 12.40 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 55 ที่ 7 เท่า
          รวมทั้ง QH คำแนะนำ ถือ ให้ราคาพื้นฐาน 1.30 บาท (เดิม 2.30 บาท) แม้ถูก แต่ยังไม่มีอะไรตื่นเต้น
         • มีจำนวนหลายโครงการที่โดนน้ำท่วม
         • ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 และ 55 ลงในอัตรา 37% และ 23% ตามลำดับ สะท้อนน้ำท่วม
         • แนะนำเพียง ถือ ราคาพื้นฐานปรับลดลงเป็น 1.30 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 55 ที่ 7.2 เท่า และคิดเป็นส่วนลด 58% จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (RNAV)
         อย่างไรก็ตามสำหรับ SPALI คำแนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 13.46 บาท (เดิม 15.79 บาท)ได้รับผลกระทบน้ำท่วมน้อยกว่าอีกหลายราย
         • แม้มีโครงการน้ำท่วมอยู่ 6 โครงการ แต่ถือว่ายังน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆในอุตสาหกรรม
         • ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ลง 12% เพื่อสะท้อนเรื่องน้ำท่วม
         • คงคำแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปรับลดลงเป็น 13.46 บาท ประเมินด้วย P/E ปี 55 ที่ 8 เท่า ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีปี 54 เป็น 5.8% และปี 55 เป็น 6.7%
*** MK รับรายได้ปีนี้พลาดเป้า 3 พันลบ.แน่นอน หลังผลงานQ3/54หลุดเป้า แถมQ4 เจอน้ำท่วมซ้ำ***
         ด้านนายชูเกียรติ ตั้งมติธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (MK) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 3 พันล้านบาท โดยผลงานในไตรมาส3/54 คาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 2/54 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลูกค้าชะลอการโอน เพื่อติดตามนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาล ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 4/54 คาดว่าจะไม่ดีเช่นกัน จากภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ทำให้บรรยากาศของภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอลง
         อนึ่ง ก่อนหน้านี้ผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์ว่า 9 เดือนที่ผ่านมา MK มียอดขายที่ 1.8 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 10%
         อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินธุรกิจต่างๆในปีนี้ยังคงเดิม แม้ยอมรับว่าจะไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้เท่าที่ควร และพร้อมที่จะมีการปรับเปลี่ยน หากสถานการณ์น้ำท่วมมีความรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯจะไม่เพิ่มสัดส่วนการเปิดโครงการในพื้นที่ต่างจังหวัด แม้ว่าจะมีหลายจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย แต่ประเมินว่า ความเสี่ยงในพื้นที่ต่างหวัดด้านการป้องกันน้ำมีมากกว่าพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร
         ทั้งนี้ ล่าสุดขณะนี้บริษัทได้เลื่อนการเปิดขายพรีเซลทาวน์โฮม 3 ชั้นรวมกว่า 200 ยูนิต มูลค่า 1 พันล้านบาท บริเวณถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 3 เป็นช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 54 จากเดิมที่จะเปิดสำนักงานขายได้ในเดือนตุลาคม 54 เนื่องจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลให้วัสดุก่อสร้างขาดแคลนและไม่สามารถสร้างสำนักงานขายได้ทันตามกำหนดเวลา หากสถานการณ์น้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย หรือมีผลกระทบมากขึ้น บริษัทฯก็พร้อมที่จะพิจารณาเลื่อนโครงการเปิดขายออกไปอีกตามความเหมาะสม
         นายชูเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/54 มานั้นส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบในไตรมาส 3/54 ให้ชะลอลงแล้วกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่คาดว่าในไตรมาส 4/54 จะได้รับผลกระทบมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ จากปกติในไตรมาสสุดท้ายของปีลูกค้าจะเร่งโอนที่อยู่อาศัย แต่ในปีนี้บรรยากาศต่างๆค่อนข้างเงียบเหงา ตามความรู้สึกของประชาชนเมื่อเผชิญกับภาวะน้ำท่วม
         สำหรับมุมมองต่อลักษณะที่อยู่อาศัยจากนี้ นายชูเกียรติ ประเมินว่า ประชาชนน่าจะให้ความสนใจซื้อคอนโดฯเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแม้จะมีพื้นที่น้ำท่วมในชั้นล่างของคอนโด แต่ในพื้นที่ที่พักอาศัยจะไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่ที่อยู่อาศัยแนวราบ ลูกค้าคงพิจารณามากขึ้นในแต่ละพื้นที่
         'ตอนนี้คนเริ่มคิดแล้วว่าจะซื้อคอนโดมากขึ้น ตอนนี้ของบริษัทก็ขายได้แต่คอนโด เพราะเขาคิดว่าต่อให้น้ำท่วมแต่ก็ไม่ขึ้นสูงเข้ามาในพื้นที่ใช้สอย แต่บ้านเดี่ยวคงดูกันมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าถ้าเกิดสถานการณ์น้ำขึ้นอีก แล้วยังมีระบบป้องกันเหมือนเดิม ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าพื้นที่ของกรุงเทพที่น้ำยังไม่ท่วมจะไม่ท่วมตลอดไป แต่ที่ยังไม่ท่วมตอนนี้เป็นเพราะมีแนวกั้นน้ำ เพราะฉะนั้นจึงเหมือนเป็นพื้นที่เสี่ยงทั้งหมด' นายชูเกียรติ กล่าว
         อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า บริษัทฯคาดหวังว่า นโยบายการฟื้นฟูต่างๆของรัฐบาล รวมทั้งนโยบายบ้านหลังแรกที่อนุมัติแล้วก่อนหน้านี้ จะส่งผลบวกให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งระบบพยุงตัวและเติบโตขึ้นได้ และย่อมจะส่งผลดีต่อ MK ด้วย ทั้งนี้ ขอให้รัฐบาลใช้ประสบการณ์เรื่องน้ำในปีนี้เป็นบรรทัดฐานในการวางแผนการรับมือน้ำในปีต่อๆไป ซึ่งหากในปีหน้ายังคงเกิดผลกระทบเช่นเดิมอีก เชื่อว่าภาคเอกชนจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นอีก และอาจชะลอการลงทุนได้
***SIRI อุบรายได้ปีนี้โตเข้าเป้า 1.95 หมื่นลบ.หรือไม่ ระบุอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบน้ำท่วม ***
         ขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่ารายได้ในปีนี้ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.95 หมื่นล้านบาทหรือไม่ เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมได้ขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องทำให้จึงยังประเมินได้แนวโน้มผลการดำเนินงานไม่ได้ในขณะนี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิดโดยล่าสุดโครงการที่ได้รับผลกระทบไปแล้วรวม 2 โครงการแต่เป็นโครงการที่เปิดขายไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯก็ได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้รายได้ในปีนี้เป็นไปตามเป้า
         'ตอนนี้ก็เตรียมตัวป้องกันเต็มที่ในพื้นที่เสี่ยง เราก็เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาหลังจากเมื่อคืนนี้ นายกฯได้แถลงการณ์พื้นที่ที่มีความเสี่ยงจะเกิดอุทกภัย ซึ่งรายได้ในปีนี้เราก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้เป็นไปตามเป้า แต่ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้'นายเศรษฐา กล่าว
         อย่างไรก็ตามแผนการเปิดโครงการในช่วงไตรมาส4/54ยังเป็นไปตามปกติ แม้จะเกิดสถานการณ์น้ำท่วมขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ ทั้งนี้ บริษัทฯก็ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดในพื้นที่เสี่ยงว่าจะเกิดเหตุอุทกภัยและเฝ้าระวังอย่างเต็มที่
         อนึ่งก่อนหน้านี้SIRI ระบุว่า ในปี 54 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่รวม 23 โครงการ ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 2.1 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกเปิดตัวไปแล้ว 7 โครงการ มูลค่ารวม 8.5 พันล้านบาท
         โดยไตรมาส 3/54 จะเปิด 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,758 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ, ทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ และไตรมาส 4/54 อีก 9 โครงการ มูลค่า 14,147 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 2 โครงการ, ทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการและคอนโดมิเนียม 6 โครงการ
***NCH เผยอยู่ระหว่างเฝ้าระวังโครงการบ้านเดี่ยวแถวพุทธมณฑล-ลำลูกกา หลังน้ำเริ่มทะลักเข้า กทม. ***
         ส่วนนายแพทย์สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง (NCH) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังพื้นที่ของโครงการบ้านเดี่ยวซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างบริเวณพุทธมณฑลสาย 1 และสาย 2 รวมถึงโครงการที่ลำลูกกา เพื่อป้องกันผลกระทบจากน้ำท่วม เพราะเชื่อว่าในที่สุดแล้วพื้นที่กรุงเทพมหานครน่าจะโดนน้ำท่วม เพียงแต่ว่าปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่อาจแตกต่างกันไป
         นอกจากนี้ เชื่อว่าในระยะสั้นอาจทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจคอนโดมิเนียมมากขึ้น แต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากโดยพฤติกรรมของคนไทย ยังคงเลือกบ้านเดี่ยวเป็นที่อยู่อาศัยในระยะยาวมากกว่าคอนโดมิเนียม
         ด้านนายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการเงินและบัญชี บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ จนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะประเมินอีกครั้งหนึ่ง เพราะในขณะนี้คาดการณ์สถานการณ์ได้ลำบาก