ศุกร์ 31 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
ดีเดย์ระบบเทรดใหม่ตลท. ทำขาปั่นเสียว

* 3 ก.ย. เริ่มวันแรก ซื้อขายเร็วขึ้น 50-60 เท่า
ขาปั่นมีหนาว "จรัมพร" เผย 3 ก.ย.55 ตลท.ดีเดย์ใช้ระบบกำกับการซื้อขายใหม่ 3 ระบบรวด หวังให้การตรวจจับความผิดปกติของหุ้นด้วยรูปแบบที่หลากหลาย ขณะที่การจับคู่ซื้อขายเร็วขึ้น 50-60 เท่า และยังรองรับการซื้อขายเป็นสกุลเงินต่างประเทศได้จากเดิมต้องเป็นเงินบาทเท่านั้น ขณะที่โบรกฯ มั่นใจจับความผิดปกติหุ้นได้ดี-ลดความหวือหวา ไม่ฉุดวอลุ่มหด แต่มีคุณภาพ ส่วนหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 55 ถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนสูงสุด 20%
*** 3 ก.ย.55 ตลท. ดีเดย์ ใช้ระบบ SET CONNECT
          นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเปิดใช้ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ ภายใต้ชื่อ SET CONNECT ในวันจันทร์ที่ 3 กันยายน 2555 นี้ หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 32 แห่ง ผู้พัฒนาระบบงานส่งคำสั่งซื้อขายให้บริษัทหลักทรัพย์และอินเทอร์เน็ต (Independent Software Vendor: ISV) ผู้ให้บริการข้อมูล (Market Data Vendor) ทุกราย ร่วมกับบริษัท Cinnober Financial Technology AB ผู้พัฒนาระบบซื้อขายหลักทรัพย์ SET CONNECT ร่วมกันผลักดันการทำงานอย่างใกล้ชิดและทดสอบระบบร่วมกันมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาจนผ่านตามเกณฑ์การเปิดใช้ระบบใหม่ ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายมีความพร้อมและมีความมั่นใจ นอกเหนือจากระบบซื้อขายหลักทรัพย์ SET CONNECT แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเริ่มใช้ระบบงานเผยแพร่ข้อมูลการซื้อขาย (Market Data System) ใหม่ ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบซื้อขายหลักทรัพย์ SET CONNECT ด้วย ระบบเผยแพร่ข้อมูลใหม่จะสามารถเผยแพร่ข้อมูลการซื้อขายไปยังระบบของสมาชิกและผู้ให้บริการข้อมูลอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบงานกำกับการซื้อขาย (Market Surveillance System) ใหม่ ที่มีความเป็นมาตรฐานสากลจะสามารถตรวจพบความผิดปกติได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนยิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือต่อธุรกรรมการซื้อขาย ซึ่งทั้ง 3 ระบบดังกล่าวจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ตลาดทุนไทย ถือเป็นก้าวสำคัญของตลาดทุนไทยที่จะได้ให้บริการระบบซื้อขายหลักทรัพย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากการผสมผสานนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานระดับสากลของบริษัท Cinnober Financial Technology AB ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาระบบงานสำคัญสำหรับธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก
          ทั้งนี้ SET CONNECT เป็นระบบที่มีความรวดเร็วกว่าเดิมมากและได้มาตรฐานสากล มีจุดเด่นที่สามารถรองรับการเติบโตตามภาวะตลาดและธุรกิจในอนาคตได้ทั้งปริมาณและมูลค่าการซื้อขาย พร้อมทั้งสามารถรองรับการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ ได้เร็วกว่าเดิมมากเท่าเทียมตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกและรองรับการซื้อขายได้หลายสกุลเงิน (multi currency trading) และด้วยการเชื่อมต่อที่เป็นสากล (Fix Protocol) ช่วยให้การเชื่อมต่อและทำธุรกรรมกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ได้อย่างสะดวก ขณะเดียวกันด้วยคุณสมบัติและจุดเด่นดังกล่าวของ SET CONNECT จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดทุนไทยแก่ผู้ลงทุนทั่วโลก ยกระดับตลาดทุนไทยให้แข่งขันในระดับสากลได้อย่างมั่นใจ พร้อมสานทุกโอกาสการลงทุนแก่ผู้ลงทุน และสานโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ดำเนินธุรกิจในตลาดทุน
*** "จรัมพร" การันตีรวดเร็วกว่าระบบเดิม 50-60 เท่า
          นายจรัมพร กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า นับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 55 เป็นต้นไปนอกเหนือจากการเริ่มใช้ระบบการซื้อขายหุ้นแบบใหม่ หรือ SET Connect แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ก็จะเริ่มใช้ระบบกำกับการซื้อขายแบบใหม่ ซึ่งเรียกว่า Market Surveillance System ซึ่งจะมีรูปแบบในการตรวจจับความผิดปกติของหุ้นที่หลากหลายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีโปรแกรมพิเศษคอยตรวจสอบ จากนั้นจะส่งผลรายงานมายังตลาดหลักทรัพย์ ก่อนที่ตลาดฯ จะพิจารณาและแจ้งเตือนกลับไปยังนักลงทุนต่อไป
          "ในส่วนของระบบการซื้อขายหุ้น (SET CONNECT )จะมีความรวดเร็วกว่าระบบเดิม 50-60 เท่า ส่วนระบบตรวจจับความผิดปกติแบบใหม่นี้ จะมีโปรแกรมพิเศษคอยเตือน ถ้าหุ้นตัวไหนผิดปกติจะมีแพทเทิร์นที่หลากหลายในการตรวจสอบมากขึ้น เช่น หุ้นที่มีวอลุ่มแรงเกินไปหรืออยู่ดีๆ ก็มีวอลุ่มขึ้นมาโปรแกรมก็จะแจ้งมาที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ" นายจรัมพร กล่าว
          สำหรับระบบกำกับการซื้อขายแบบใหม่นี้ ได้พัฒนามาจากประเทศสวีเดน รวมถึงอีก 2 ระบบที่จะเปิดใช้พร้อมกัน คือระบบการซื้อขายหรือ SET CONNECT และระบบงานเผยแพร่ข้อมูลการซื้อขาย หรือ Market Data System ที่ตลาดฯได้พัฒนาเพื่อให้เชื่อมต่อโดยตรงกับ SET CONNECT ได้มาจากประเทศสวีเดนเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้ง 3 ระบบนี้จะเริ่มใช้พร้อมกันในวันที่ 3 ก.ย.นี้
          "ตอนนี้หุ้นในตลาดบ้านเราถ้าจะออกขาย หรือถ้าจะออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวอื่นๆ หรือแม้กระทั่งกองทุนรวม ต่อไปนี้ก็สามารถออกเป็นสกุลเงินได้หลากหลาย เช่นออกเป็นสกุลดอลลาร์ได้ จากเดิมซึ่งจะต้องขายเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น" นายจรัมพร กล่าว
***บล.กสิกรไทย มั่นใจจับความผิดปกติหุ้นได้ดี-ลดความหวือหวา
          นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าจากกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะเปิดใช้ระบบกำกับการซื้อขายแบบใหม่ ชื่อว่า Market Surveillance System ซึ่งมีรูปแบบในการตรวจจับความผิดปกติของหุ้นที่หลากหลายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นว่า โปรแกรมดังกล่าวน่าจะช่วยตรวจจับความผิดปกติของหุ้นได้ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นระบบใหม่ ทำให้การซื้อขายหุ้นที่หวือหวาน่าจะลดลง และจะช่วยส่งเสริมให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นเคลื่อนไหวได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น เพราะโปรแกรมดังกล่าวจะคอยตรวจสอบและส่งผลรายงานมายังตลาดฯ ก่อนที่จะพิจารณาและแจ้งเตือนกลับไปยังนักลงทุนอีกครั้ง
          "ตอนนี้ผมมองว่าระบบใหม่ๆ เป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยตรวจจับความผิดปกติของหุ้น ซึ่งอาจทำให้วอลุ่มลดลงบ้าง แต่ตลาดฯ อาจไม่ได้สนใจมาก เพราะวอลุ่มนั้นก็ไม่ใช่วอลุ่มที่มีคุณภาพมากนัก แต่การใช้งานจะดีมากน้อยกว่าระบบเดิมยังไงก็ต้องให้มีการเริ่มใช้งานจริงก่อนถึงจะบอกได้"นายกวี กล่าว
***บล.โกลเบล็ก ระบุระบบซื้อขายใหม่ของ ตลท. ไม่ฉุดวอลุ่มหด แต่มีคุณภาพ
          นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ดี ที่มีการเปลี่ยนระบบใหม่เข้ามาใช้ในตลาดฯ ซึ่งระบบก็จะตรวจจับความผิดปกติได้เร็วขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญคือต้องดูว่าการนำระบบตรวจจับดังกล่าวมาใช้แล้วมีผลอะไรหรือไม่ ถ้าตรวจจับพบว่าผิดปกติแล้วปล่อยผ่านไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนี้ยังประเมินว่าระบบจับความผิดปกติดังกล่าว ไม่น่าจะส่งผลให้วอลุ่มลดลง แต่จะช่วยให้มูลค่าซื้อขายมีคุณภาพมากขึ้นมากกว่า ขณะเดียวกันระบบใหม่ยังรองรับการซื้อขายในสกุลเงินต่างประเทศด้วย ซึ่งก็จะสะดวกต่อการทำงานมากยิ่งขึ้น
          "เราต้องดูด้วยว่าระบบตรวจจับความผิดปกติแล้วได้อะไร ถ้าตรวจจับแล้วปล่อยผ่านระบบก็ไม่มีประโยชน์ ก็ควรจะมีการตักเตือนลงโทษรองรับด้วย เพราะถ้าระบบแจ้งเตือนแล้วปล่อยผ่านก็ใช้แบบเดิมดีกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมาลองใช้จริงๆ ก่อนว่าเป็นยังไง จะดีอย่างที่ตลาดฯ ระบุหรือไม่ ต้องลองใช้ดู" แหล่งข่าวรายเดิม กล่าว
***ASP ระบุหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุด 20%
          บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่าการประชุมของ FED "Jack Hole" ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ได้วางตัวให้นายเบเนเก้ ในฐานะที่เป็นประธาน FED เป็นผู้สรุปภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเงินงวด 2H55 และแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งทำให้ตลาดมีความหวังว่าจะได้รับข่าวดีต่อการออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE3 แม้ว่าจากการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของโลกของ CNN พบว่าส่วนใหญ่ ราว 77% ของผู้ตอบ ไม่สนับสนุนแนวคิดในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ตลาดคาดหวัง ประกอบกับหากพิจารณา GDP Growth ในช่วงไตรมาส 2/2555 ที่มีการทบวนล่าสุดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2555 พบว่าเติบโต 2.3%yoy โดยรวมงวด 1H55 เติบโต 2.35%yoy และหากพิจารณาเป็นรายภาคพบว่าตลาดบ้านยังมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ สะท้อน Home Building Market Index เดือน ส.ค. ทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี เช่นเดียวกับยอดขายบ้านใหม่และบ้านเก่าที่เริ่มผงกหัวขึ้นจากจุดต่ำสุดต่อเนื่องมาหลายเดือน สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ความเสี่ยงจากยุโรปยังมี และปัญหาอัตราการว่างงานที่สูงถึง 8% ก็ตาม
          อย่างไรก็ตามพัฒนาการเชิงบวกเหล่านี้ได้สะท้อนในตลาดหุ้นโลก หากพิจารณาผลตอบแทน และค่า PER ตลาดหุ้นโลก ทำให้โอกาสที่ SET Index จะเดินหน้าต่อจากนี้ยากขึ้น หากไม่มีประเด็นบวกใหม่ๆ แรง คือผลตอบแทนตลาดหุ้นโลก จากต้นปี 2555 ถึงปัจจุบัน SET Index ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 20% ตามมาด้วยฟิลิปิปินส์ 19% และสิงคโปร์ 15% ส่วนกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วพบว่ามี 2 ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบสูงสุดคือ เยอรมันกว่า 18% ตามมาด้วย S&P500 12% ขณะที่ตลาดที่เหลือล้วน under perform ดังนั้นเชื่อว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา น่าจะชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับตลาดที่ under perform ค่า PER ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 14 เท่า (ซึ่งเป็นระดับสูงสุดทุกครั้งที่มี Fund Flow ไหลเข้า) เทียบกับ EPS Growth 16% ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม แต่หากพิจารณาตลาดฟิลิปปินส์ที่มีค่า PER 16 เท่าขณะนี้ แต่มี EPS growth 3% ตลาดฟิลิปปินส์ จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกต่างชาติขายต่อไป ขณะที่ตลาดพัฒนาแล้วพบว่าค่า PER ต่ำกว่าตลาดหุ้นเอเซีย และ EPS Growth อยู่ในเกณฑ์ที่ดี เช่น PER10.5 เท่า EPS Growth 29% และอังกฤษ PER 11 เท่า และ EPS Growth 15% ยกเว้น S&P500 PER 13.3 เท่า แต่ EPS Growth ต่ำเพียง 5% และ DJIA PER 12.44 เท่า และ EPS Growth 9%