พุธ 29 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
TUF ผยอง!

TUF มั่นใจรายได้รวมปีนี้โต 12-15% จากปีก่อนทำได้ 99,672.65 ล้านบาท ยันวิกฤตยุโรปไม่กระทบ เหตุธุรกิจอาหารของบริษัทยังขายได้ตามปกติ แย้มเล็งจ่ายปันผลครึ่งปีหลังในอัตราสูงกว่าครึ่งปีแรกที่จ่าย 1.10 บาทต่อหุ้น ขณะที่โบรกเกอร์เดินหน้าเชียร์ซื้อเต็มสูบ ให้ราคาเป้าหมายปี 2556 ที่ 92.50 บาท ระบุฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในอนาคต
* มั่นใจรายได้รวมปีนี้โต 12-15% จากปีก่อนทำได้ 99,672.65 ล้านบาท
          นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า มั่นใจว่ารายได้รวมปีนี้จะเติบโต 12-15% จากปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมที่ 99,672.65 ล้านบาท โดยครึงปีแรกรายได้เติบโตแล้ว 10% และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะโตกว่าครึ่งปีแรก แม้ว่าวิกฤตยุโรปจะยังไม่คลี่คลาย แต่ก็ไม่ได้กระทบต่อรายได้ของบริษัทฯ ซึ่งมีการส่งออกไปยุโรปด้วย เพราะสินค้าของบริษัทฯ เป็นอาหาร ยังขายได้ตามปกติ ขณะที่ค่าเงินบาทก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งดีต่อบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ส่งออก
          "ยุโรปไม่กระทบเรา อาหารยังไปได้ จะเกิดอะไรขึ้นคนก็ยังต้องทานอาหาร ส่วนค่าเงินบาทก็อยู่ในเกณฑ์ดี ที่ประมาณ 31 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งดีสำหรับผู้ส่งออกอย่างเรา เพราะต้นปีเราคาดการณ์ว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 29.50 บาท แต่ตอนนี้ 31 บาทก็ยิ่งดี' นายธีรพงศ์ กล่าว
* ลั่นจะจ่ายปันผลครึ่งปีหลังสูงกว่า 1.10 บาท
          นายธีรพงศ์ กล่าวว่า คาดว่า ผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามสถิติย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น ก็จะทำให้บริษัทฯ จ่ายปันผลในงวดครึ่งปีหลังได้มากกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งบริษัทฯ จ่ายอยู่ที่ 1.10 บาทต่อหุ้น
          ส่วนกรณีที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมาวันนี้ ก็น่าจะเป็นการขึ้นลงตามธรรมดาตามสภาพของตลาด ซึ่งข่าวล่าสุดที่มีคือบริษัทฯ เพิ่งประกาศจ่ายปันผล ส่วนพัฒนาการที่สำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ยังไม่มีประเด็นใหม่หรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
          "ราคาหุ้นก็ 70-73 บาท ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ขึ้นลงตามสภาพตลาด และเราเพิ่งประกาศจ่ายปันผลไป ส่วนครึ่งปีหลังโดยปกติที่ผ่านมาเราก็จ่ายได้มากกว่าครึ่งปีแรกอยู่แล้ว" นายธีรพงศ์ กล่าว
          ปิดตลาดวันที่ 28 สิงหาคม 2555 ราคาหุ้น TUF ปิดที่ระดับ 72.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ 4.30% มูลค่าการซื้อขาย 262.33 ล้านบาท
* มองหาการลงทุนเพิ่ม
          ส่วนความคืบหน้าที่บริษัทฯ จะขยายการส่งออกไปยังแอฟริกาและรัสเซียนั้น นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ในแง่ของธุรกิจบริษัทฯ ก็ส่งออกไปประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่การลงทุนเพิ่มเติมในประเทศนั้นๆ จะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร ยังตอบไม่ได้ ต้องติดตามกันต่อไป
          อย่างไรก็ตาม นโยบายของบริษัทฯ ยังคงมองหาการลงทุนเพิ่ม เพราะการลงทุนเป็น 1 ในกลยุทธ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถบอกได้ว่าการลงทุนใหม่ๆ จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้หรือไม่ เพราะโดยปกติของการเจรจาซื้อขายธุรกิจนั้นจะต้องมีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ที่จะต้องมาตกลงเงื่อนไขในการซื้อขายแต่ละครั้ง ดังนั้น จึงไม่ใช่ว่าจะซื้อได้ทุกครั้งไป
          'ถามว่าจะเห็นการซื้อกิจการเพิ่มอีกไหมในครึ่งปีหลัง ขอพูดเป็นกลางๆ คือ การลงทุนเป็นหนึ่งในกลยุทธ์เราอยู่แล้วแต่ตอบไม่ได้ว่าจะเกิดในครึ่งปีหลังหรือไม่ ต้องรอจนกว่าสำเร็จถึงจะบอกได้' นายธีรพงศ์ กล่าว
          ก่อนหน้านี้ นายธีรพงศ์ ระบุในเอกสารเผยแพร่ว่า การมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจยังมีอยู่อีกในหลายภูมิภาค ซึ่งบริษัทฯ ยังมองหาตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง อาทิ ตลาดแอฟริกา ที่มีการเติบโตค่อนข้างสูงขณะนี้ รวมถึงตลาดอเมริกาใต้ และตลาดตะวันออกกลาง ก็เป็นตลาดที่น่าสนใจเช่นกัน
          ขณะเดียวกัน ในตลาดยุโรปเองก็ยังมีโอกาสอีกมาก เนื่องจากยุโรปมีทั้งหมด 27 ประเทศ และบริษัทฯ จะขยายไปยังประเทศที่อยู่นอกเขตยุโรปอีก เช่น รัสเซีย เป็นต้น
* 6 เดือนแรกโชว์กำไร 2,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%
          ด้านภาพรวมผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรก ประจำปี 2555 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 2,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนยอดขายอยู่ที่ 52,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 47,565 ล้านบาท
          ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทซึ่งแบ่งตามผลิตภัณฑ์หลัก 6 กลุ่มธุรกิจใน 6 เดือนแรกนี้ กลุ่มธุรกิจปลาทูน่า มีสัดส่วน 50% กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง 22% กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 6% กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 5% กลุ่มธุรกิจอาหารแมว 7% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ 10%
          หากแบ่งตามตลาด สัดส่วนรายได้ของบริษัท มีดังนี้ สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 35% สหภาพยุโรป 32% ขายในประเทศ 10% ญี่ปุ่น 9% อัฟริกา 4% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 3% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1%
* บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง คาด Q3/55 TUF ฟันกำไรสูงสุดของปี ให้ราคาหุ้นปีหน้า 92.50 บาท
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ ประเมิน TUF ว่า ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องใน 2H55 : คาด 3Q55 จะเป็นช่วงที่ TUF มีกำไรสูงสุดของปี เนื่องจากเป็นไฮซีซั่น ปริมาณขาย และ อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ผลประกอบการของ Chicken of the Sea มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นหลังจากผู้นำตลาดธุรกิจทูน่าในสหรัฐฯ เริ่มมีการปรับราคาขายขึ้นทำให้ Chicken of the Sea สามารถปรับราคาได้เช่นกัน (ก่อนหน้านี้ปรับราคาได้ยากเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้นำตลาด โดยมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 3 ในสหรัฐฯ)
          อีกทั้งธุรกิจกุ้งคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นหลังจากกลับมาผลิตได้เต็มที่ตามเป้าหมาย (หลังจากไฟไหม้โรงงานในเดือน ก.พ.) นอกจากนั้นดอกเบี้ยจ่ายคาดลดลงราว 150 ล้านบาทต่อไตรมาสจากการที่ TUF มีการชำระคืนหนี้สินไปประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเมื่อเดือน มิ.ย. เรายังคงประมาณการเดิมจากการที่กำไรปกติใน 1H55 มีสัดส่วน 43% ของคาดการณ์กำไรปีนี้ที่ 6,085 ล้านบาท (5.30 บาท/หุ้น) เติบโต 28% YoY
          จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.10 บาท/หุ้น : หลังจากจ่ายคืนเงินกู้บางส่วนทำให้ฐานะการเงินมีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในอนาคต อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ 0.8 เท่า (ลดลงจาก 1.4 เท่าในปีก่อน) ทำให้ TUF สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลในอัตรา 50% ของกำไรได้เหมือนเดิม (หลังจากลดเหลือ 29% ในปีก่อน) โดย TUF ประกาศจ่ายเงินปันผล 1H55 เท่ากับ 1.10 บาท/หุ้น (XD 20 ส.ค.) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปีที่ 1.5% แนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 92.50 บาทอิง PER ปี 2556 ที่ 15 เท่า
* บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เชื่อผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก
          ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส วิเคราะห์ TUF ว่า แนะนำ คาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 55 (2H55) จะดีขึ้นกว่า 2Q55 เพราะไตรมาส 3 นั้นเข้าสู่ฤดูกาลส่งออกที่สูง และได้รับผลดีจากการจัดทีมผู้บริหารใหม่ รวมทั้งวางกลยุทธ์ใหม่ต่อ Chicken of the Sea เพื่อปรับปรุงยอดขายให้มากขึ้น ส่วนธุรกิจกุ้งก็กลับมาดำเนินการได้เต็มที่ หลังจากที่มีการย้ายสถานที่เสร็จ facility ก็กลับมาลงตัว รวมทั้งภูมิอากาศที่ดีของยุโรปทำให้ยอดขายของ MW Brands กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
          สำหรับงบดุลมีความแข็งแกร่งมากขึ้น การที่บริษัทเพิ่มทุนสำเร็จได้เงิน 9.6 พันล้านบาท ก็ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 2Q55 ลดลงเป็น 0.8 เท่า (เทียบกับสิ้นปี 54 ที่ 1.4 เท่า) ผลดีคือ TUF มีความยืดหยุ่นทางด้านการเงินเพิ่มขึ้น และสามารถเติบโตได้รวดเร็วจากการทำ M&A นั่นคือ บริษัทสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ๆได้หลังจากการทำ M&A สำเร็จเป็นอย่างดี
          ทั้งนี้ คงคำแนะนำ ซื้อ กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 91 บาทต่อหุ้น ด้วยการใช้ P/E ปี 56 ที่ 16 เท่า (ค่าเฉลี่ย 7 ปีในอดีต +2SD) เราชอบ TUF ในประเด็นผลการดำเนินงานมีความยืดหยุ่นได้ดี มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจจากทำเลที่ตั้งหลากหลายและน่าสนใจ รวมทั้งอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง
* บล.ทิสโก้ มองไตรมาส 3/55 ผลงานดีสุดของปี
          ขณะที่ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ ประเมิน TUF ว่า ที่ผ่านมาปลากระป๋องในแบรนด์ Chicken of the sea ซึ่งเป็นสัดส่วน 13% ของยอดขายประสบปัญหาการแข่งขันที่สูงในสหรัฐส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 20% เหลือ 18% จากช่วง 2Q54 แต่ผู้บริหารคาดว่าการแข่งขันที่ในช่วง 2H55 จะลดลงเนื่องจากราคาปลาทูน่าที่สูงทำให้ Starkist ซึ่งเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 วางแผนที่จะขึ้นราคา
          สำหรับ Q3 เป็นช่วงที่ดีที่สุดของ TUF สำหรับธุรกิจปลาและกุ้งกระป๋อง โดยบริษัทคาดว่ายอดขายปลากระป๋องจะเพิ่มขึ้นจาก Johm west ในอังกฤษเนื่องจากการจัดงานโอลิมปิค นอจกากนี้ การชำระหนี้ 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 2Q55 จะทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงประมาณ 300 ล้านบาทต่อไตรมาส โดยผลประกอบการ 1H55 คิดเป็น 42.9% จากประมาณการปี 2555F ที่เราคาดการ์ไว้ที่ 6.3 พันล้านบาท
          อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำให้ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 87.5 บาท ซึ่งการชำระหนี้ 1 หมื่นล้านบาททำให้อัตราส่วน D/E ของ TUF ลดลงเป็น 0.8 เท่าซึ่งทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตรา 50% ได้อีกครั้งและได้ประกาศจ่ายเงินปันผล 1.1 บาทต่อหุ้นโดยจะขึ้น XD ในวันที่ 20 สิงหาคมและจ่ายในวันที่ 31 สิงหาคม โดยมีความเสี่ยงคือ 1) ความผันผวนของราคาปลาทูน่าและกุ้ง 2) ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากความผันผวนของเงินสกุล USD และ Euro ต่อค่าเงินบาท
* บล.เกียรตินาคิน ระบุหลังเพิ่มทุน หนุนความพร้อมการเข้าซื้อกิจการครั้งใหม่
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน วิเคราะห์ TUF ว่า การเพิ่มทุนทำให้ D/E Ratio ลดต่ำลง เหลือเพียง 1.3 เท่า จากก่อนการเพิ่มทุนมีอยู่ 2 เท่า ซึ่งทำให้ TUF นั้นมีความพร้อมในการเข้าซื้อกิจการครั้งใหม่ และการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 1.10 บาท/หุ้น ภายหลังการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ ทำให้ TUF สามารถกลับมาจ่ายปันผล 50% ของกำไรต่อหุ้นได้อีกครั้ง โดยปันผลระหว่างกาลครั้งนี้คิดเป็น 51% ของกำไรต่อหุ้นครึ่งปี คิดเป็น Div. yield 1.5%
          ทั้งนี้ คงราคาเหมาะสม 85 บาท และยังคงแนะนำ “ซื้อ” เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ของ TUF ไว้เหมือนเดิมที่ 5,415 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.97 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 7% ถึงแม้ว่ากำไรครึ่งปีจะคิดเป็น 46% ของประมาณการทั้งปี เนื่องจากในไตรมาส 2/55 TUF มีค่าใช้จ่ายทางการเงินที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียว และเป็นปกติที่ยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังของ TUF จะสูงกว่าครึ่งปีแรก เราคาดว่า TUF จะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2555 จำนวน 2.49 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 3.% ยังคงราคาเหมาะสม 85 บาท มี Up side gain อยู่ 18% ยังคงแนะนำซื้อ
* บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากโอกาสเติบโตต่อเนื่องหลังปี 55
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กรุงศรี วิเคราะห์ TUF ว่า คาดว่าผลการดำเนินงาน 2H55 จะเร่งตัวขึ้นจาก 1H55 แม้กำไรสุทธิ 1H55 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 43% ของประมาณการทั้งปีของเรา และรายได้ 1H55 เติบโตเพียง 9% เทียบกับประมาณการทั้งปีของเราที่ 15% เรายังคาดหมายการฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดดของผลการดำเนินงาน 2H55 ด้วยปัจจัยสนับสนุน
          โดยปริมาณขายจะเร่งตัวขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล โดยเฉพาะลูกค้าในสหรัฐและยุโรป (67% ของรายได้รวม) และผลิตภัณฑ์ทูน่าและกุ้ง (75% ของรายได้รวม), COS ในสหรัฐ จะเริ่มปรับราคาผลิตภัณฑ์หลังสิ้นสุดการแข่งขันราคา (สังเกตจากคู่แข่งอันดับหนึ่งเลิกตัดราคาและกำลังปรับราคาขึ้น), การปรับราคาตามต้นทุนของผลิตภัณฑ์ต่างๆยังคงมีอย่างต่อเนื่อง, ต้นทุนทูน่า (50% ของต้นทุนวัตถุดิบ) จะเริ่มทรงตัวจากปัจจัยฤดูกาล, การประหยัดขนาดอันเกิดจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้อัตรากำไรดีขึ้น
          การขยายตลาดใหม่ๆ และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง อาทิปลากระป๋อง(ยอดขายโต 48%YoYใน 1H55 ) และอาหารสัตว์เลี้ยง (ยอดขายโต 22% YoY ใน 1H55) และดอกเบี้ยจ่ายจะเริ่มลดลงอย่างมีนัยตั้งแต่ 3Q55 เป็นต้นไป หลังการชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดจะทำให้ลดดอกเบี้ยจ่ายได้กว่าปีละ 600 ล้านบาท (30% ของประมาณการดอกเบี้ยจ่ายปี 55)
          ด้วยดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง และปัจจัยฤดูกาลจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเร่งตัวในช่วง 2H55 และด้วยกลยุทธ์การเติบโตด้านผลิตภัณฑ์ใหม่และตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง จะสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานหลังปี 55 ขณะที่การปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบจะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น เราคงมูลค่าพื้นฐาน ที่ 84 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานปี 56 โดยคงเป้าหมาย P/E ที่ระดับ 15 เท่า (ระดับสูงสุดที่ซื้อขายในรอบ 12 เดือนและเป็นระดับ +1SD ทางสถิติ) บริษัทฯประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 1 บาทต่อหุ้น (XD 20 ส.ค.) คิดเป็นอัตราการจ่าย 51% ของกำไร 1H55
* บล.เอเซียพลัส เลือก TUF เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มอาหาร
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส วิเคราะห์ TUF ว่า ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2555-56 โดยภาพรวมธุรกิจของ TUF ในช่วง 2H55 คาดว่าจะเติบโตจาก 1H55 ด้วยปัจจัยหนุนจาก 1) อานิสงค์จากช่วงฤดูกาลส่งออก ส่งผลให้ปริมาณขายในทุกธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 2H55 โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องที่คาดว่าจะเติบโตโดดเด่น เนื่องจากภาวะการแข่งขันอาหารทะเลแช่แข็งในสหรัฐฯ เริ่มลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายของ Chicken of the Sea (บ.ย่อยของ TUF) เช่นเดียวกับสภาพภูมิอากาศในยุโรปเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้การบริโภคทูน่ามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 2H55
          และ 2) ค่าใช้จ่ายทางการเงินในช่วง 2H55 จะปรับตัวลดลงจาก 1H55 ผลจากบริษัทฯ มีการจ่ายคืนหนี้สินก่อนครบกำหนดด้วยเงินเพิ่มทุนจำนวน 9.5 พันล้าบาท อีกทั้ง ด้วยความพร้อมของฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น ถือเป็นการเพิ่มโอกาสแสวงหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ในต่างประเทศ ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าใกล้จะได้ข้อสรุปภายใน 6-12 เดือนข้างหน้า และยังจะนำไปสู่การปรับประมาณการและ Fair value ของ TUF อย่างมีนัยฯ อีกครั้ง
          ฝ่ายวิจัยยังคงเลือก TUF เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มอาหาร แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะมีค่า PER ปี 2555 ที่ระดับสูง 13.9เท่า แต่คาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 11.4 เท่าในปี 2556 ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคในกลุ่มอาหารที่อยู่ระดับ 16 เท่า อีกทั้ง TUF ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 1H55 ที่เท่ากับ 1.1 บาท/หุ้น (กลับมาจ่ายปันผลตามปกติที่ระดับ Payout Ratio ที่ไม่ต่ำกว่า 50%) คิดเป็น Div yield 1.5% สำหรับงวดครึ่งปี โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 20 ส.ค.55 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 31 ส.ค.55
* บล.ฟิลลิป คาดหมายเงินปันผลทั้งปี 2.40 บาท/หุ้น
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ประเมิน TUF ว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 1.10 บาท/หุ้น โดยจ่ายจาก BOI 0.80 บาท/หุ้น ส่วนที่เหลือจ่ายจากส่วนที่ไม่ได้รับ BOI จะขึ้นเครื่องหมาย XD 20 ส.ค. 2555 และจ่ายเงินปันผล 31 ส.ค. 2555 การจ่ายเงินปันผลคิดเป็น 44% ของกำไรต่อหุ้นในครึ่งปีแรก ทางฝ่ายคาดว่าจากการจ่ายคืนหนี้ไปทำให้ TUF จะมาจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่ติดเงื่อนไขเงินกู้แล้ว คาดหมายเงินปันผลทั้งปี 2.40 บาท/หุ้น
          ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนคิดเป็น 42% ของประมาณการทั้งปีที่คาดไว้ ทางฝ่ายคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวจากฤดูขายและยังได้รับผลดีจากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงทำให้ยังคงประมาณการเดิม ณ ราคาปัจจุบันทางฝ่ายปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐาน 76.25 บาท