อังคาร 28 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
SCCกินรวบวัสดุก่อสร้าง

* ทุ่มหมื่นล้านร่วมทุน GLOBAL
อนาคต GLOBAL สุดแจ่ม หลัง SCC ทุ่มเงินหมื่นล้านบาท ซื้อหุ้น 30% พร้อมวอร์แรนต์ กินรวบตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างเต็มตัว ขณะที่ GLOBAL รับเนื้อๆ ได้เงินกว่า 3 พันล้านบาท ผู้บริหารเชื่อคาดดีลจบ 13 พ.ย.นี้ หวังใช้ขยายสาขาเพิ่ม ปรับธุรกิจ ได้ประโยชน์จากโลจิสติกส์ของ SCC เอื้อ ขณะที่โบรกฯ เชื่อจะเสริมเขี้ยวเล็บให้ GLOBAL ครบวงจรทั้ง logistic-ทรัพยากรบุคคล- IT แถมเป็นแผนเตรียมรับการเปิด AEC ในอนาคต มั่นใจผู้บริหารเดิมยังคงดำเนินกลยุทธ์ที่ดีต่อไป แนะซื้อให้ราคาพื้นฐาน 15.10 บาท มั่นใจราคาเป้าหมายจะดีขึ้น หลังประชุมผถห.เสร็จในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ขณะที่ HMPRO นิ่งหลังรู้ข่าวคู่แข่งได้พันธมิตรรายใหญ่เข้ามาหนุน
         เป็นอีกหนึ่งดีลที่สร้างความฮือฮาให้กับตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดสัปดาห์ หลังจากมีข่าวจาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC โดยนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ว่า บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ SCC ถือหุ้น 100% ได้ยื่นข้อเสนอการร่วมลงทุนใน บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 30.01 ถึงร้อยละ 33.40 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบของร้านค้าคลังสินค้า ซึ่งดีลดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น GLOBAL วานนี้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น
         โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ GLOBAL จะออกและเสนอขายให้แก่บริษัทแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) และ SCC จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บางส่วน (Partial Tender Offer) จากผู้ถือหลักทรัพย์ของ GLOBAL ตามรายละเอียดดังนี้
         1.บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของกิจการ จำนวน 224,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 14 บาท
         2.บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บางส่วนของกิจการ ซึ่งประกอบไปด้วย
         2.1 หุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วของกิจการ จำนวนไม่เกิน 457,420,683 หุ้น และไม่ต่ำกว่า 391,094,684 หุ้น โดยเสนอซื้อในราคาหุ้นละ 14 บาท
         2.2 ใบสำคัญแสดงสิทธิของกิจการ จำนวนไม่เกิน 55,616,085 หน่วย และไม่ต่ำกว่า 47,551,750 หน่วย โดยเสนอซื้อในราคาหน่วยละ 9.30 บาท
         โดย SCC และ GLOBAL ได้ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนแล้ว เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555 โดยมูลค่าการลงทุนในครั้งนี้ รวมถึงการใช้สิทธิซื้อหุ้นจากใบสำคัญแสดงสิทธิคิดเป็นประมาณ 10,000 ล้านบาท
         โดยบริษัท เอสซีจีฯ จะทำ Tender offer ระหว่างวันที่ 5 ต.ค. 2555 -วันที่ 09 พ.ย. 2555 และ GLOBAL จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ 3 วาระที่สำคัญคือ การเพิ่มทุน , รายการที่เกี่ยวโยงกัน และ การตอบรับข้อเสนอของผู้ยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในบริษัทฯ
         สำหรับราคาหุ้น GLOBAL วันที่ (27 ส.ค.) ปิดการซื้อขายที่ระดับ 13.60 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.74% มูลค่าการซื้อขาย 273.18 ล้านบาท
         ส่วนราคาหุ้น SCC ปิดการซื้อขายที่ระดับ 328.00 บาท ปรับลดลง 3.00 บาท หรือ 0.91% มูลค่าการซื้อขาย 305.55 ล้านบาท
*** ดีลนี้เสริมเขี้ยวเล็บ ให้แกร่งทั้งคู่
         นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนใน GLOBAL ครั้งนี้ เพื่อเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้างในรูปแบบของร้านค้าคลังสินค้า (Warehouse Store) ซึ่งมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสยามโกลบอลเฮ้าส์ เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง อุปกรณ์งานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่งบ้าน อาคาร และสวน ในรูปแบบของร้านค้าคลังสินค้า ที่รวมสินค้าหลากหลายแบบและครบวงจร เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น มุ่งหวังที่จะเป็น Strategic Partner ของสยามโกลบอลเฮ้าส์อย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนต่อไปทั้งนี้ การเข้าร่วมลงทุนดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของสยามโกลบอลเฮ้าส์ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2555
*** GLOBAL กระเป๋าตุงรับเหนาะๆ 3.13 พันล้านบาท ลั่นดีลจบไม่เกิน 13 พ.ย.
         นายวิทูร สุริยวนากุล ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL เปิดเผยกับ eFinanceThai ว่า แผนการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) ถือหุ้น 100% โดยจะมีการร่วมลงทุนในสัดส่วน 30.01-33.40% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในวันที่ 13 พ.ย.2555 อย่างแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้น โดยคาดว่าจะมีการเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นใหญ่ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ เพื่อขออนุมัติและเรียกเก็บทะเบียนผู้ถือหุ้นตามลำดับ
         'ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอน คาดว่าต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่วันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งระยะทางต้องรออนุมัติและเรียกเก็บทะเบียนผู้ถือหุ้น คาดว่าดีลจบทุกอย่างไม่เกินวันที่ 13 พ.ย.2555' นายวิทูร กล่าว
         อย่างไรก็ดี ภายหลังจากการร่วมลงทุนเสร็จสิ้นโครงสร้างการถือหุ้นจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยในกลุ่มสุริยวนากุล คาดว่าจะมีหุ้นรวมกันเหลืออยู่ 40% บวกลบ 2% ซึ่งจะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เช่นเดิม จากเดิมซึ่งถือรวมกันอยู่ที่ประมาณ 65%
         'โครงสร้างจะเปลี่ยนจากนี้แฟมิลี่จะเหลืออยู่ 40 % บวกลบ 2% ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนเดิม' นายวิทูร กล่าว
         ทั้งนี้ หลังการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับบริษัท เอสซีจีฯ จะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินจำนวน 3,136 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเอาเงินทุนดังกล่าวไปใช้ในการขยายสาขาเป็นหลัก จากปัจจุบันที่มีจำนวน 16 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นครบ 20 สาขา
         ส่วนในปีหน้าคาดว่า เงินจากการเพิ่มทุนจะส่งผลให้การขยายสาขาเพิ่มได้มากกว่า 8 สาขาต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ขณะเดียวกันคาดว่าจะสามารถใช้ความร่วมมือกับพันธมิตรดังกล่าวทางด้านโลจิสติกส์เพิ่มมากขึ้นได้
         'เงินทุนที่ได้จากการเพิ่มทุน 3,136 ล้านบาท เราจะไปเพิ่มสาขาเป็นหลัก แผนขยายสาขาของเราน่าจะเร่งขึ้น และมากขึ้นจากก่อนหน้าที่คาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 8 สาขาก็คาดว่าจะมากกว่า โดยสิ้นปีนี้คาดว่าเราจะมีสาขาครบ 20 สาขา จากปัจจุบันมี 16 สาขา แต่หลังจากได้เงินมาจะขยายสาขาได้เร็วขึ้น และทางโลจิสติกส์ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากทางพาร์ทเนอร์ได้' นายวิทูร กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมที่จะปรับแผนธุรกิจใหม่ ภายหลังจากที่ขั้นตอนการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น แต่จะยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้เติบโตที่ 30-35% เมื่อเทียบจากปีก่อน
         'แผนธุรกิจจะมีการปรับเปลี่ยนในการพิจารณาจำนวนสาขาที่คาดว่าจะมีการขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น และเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะเปิด 8 สาขาต่อปี รวมถึงแผนการใช้ประโยชน์จากพันธมิตรโดยเฉพาะด้านความร่วมมือทางโลจิสติกส์' นาย วิทูร กล่าว
         สำหรับปีที่ผ่านมา GLOBAL มีรายได้รวม 8,391.22 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 490.60 ล้านบาท ส่วนปีนี้งวดครึ่งปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 5,225.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 282.56 ล้านบาท
*** หวังผลระยะยาวเพื่อรองรับ AEC
         บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่าทาง GLOBAL ได้บรรลุข้อตกลงกับ SCC ที่ SCC จะมาซื้อหุ้น 31.01-34.36% ใน GLOBAL นั้น จะช่วยเสริมให้แผนธุรกิจในเชิงรุกประสบความสำเร็จของ GLOBAL ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในเรื่อง logistic, ทรัพยากรบุคคล และระบบ IT และเป็นการเตรียมรับกับ AEC ในอนาคต สำหรับ synergies ที่ได้รับคือ การเกิด economy of scale ที่ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นมาก ทั้งสินค้าในประเทศและนำเข้า ขณะที่รูปแบบสโตร์ที่ประสบความสำเร็จจะยังดำเนินต่อไป เพราะผู้บริหารเดิมยังคงดำเนินกลยุทธ์ที่ดีต่อไป เนื่องจากยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สัดส่วนประมาณ 40% หลังจากดีลนี้เสร็จ อีกทั้งเงินทุนที่ได้รับเพิ่มอีก 3.2 พันล้านบาท ที่ได้จากการเพิ่มทุน PP ก็จะช่วยเร่งการเพิ่มสาขาเป็น 12-15 แห่งต่อปี จากเดิม 8 แห่งต่อปี เราเห็นว่า dilution ที่เพียง 9% นั้นถือเป็นเรื่องรอง เพราะจากนี้ไป GLOBAL จะมีรูปแบบธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ส่งผลดีต่อการเติบโตในอนาคต เมื่อได้พันธมิตรที่ใหญ่อย่าง SCC เข้ามา
         ทั้งนี้แนะนำ ซื้อ โดยยังคงประมาณการเดิมและราคาพื้นฐานที่ 15.10 บาท และคาดว่าจะมีการปรับประมาณการให้ดีขึ้น เมื่อได้รับข้อมูลจากผู้บริหารและการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 1 ต.ค.55 ก่อน
*** แค่ขยายสาขา ก็หนุนราคาหุ้นแล้ว
         บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า GLOBALรายงานกำไร 2Q12 ที่ 144 ล้านบาท +22% y-y และ +4% q-q ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ 7% เนื่องจากอัตราการเติบโตยอดขายต่อสาขาที่ 5% y-y ต่ำกว่าประมาณการ อย่างไรก็ตามจากการดำเนินแผนการตลาดเชิงรุกของบริษัท อัตราการเติบโตยอดขายต่อสาขาเพิ่มสูงขึ้นมาที่ระดับ 10% ในเดือน ก.ค. ขณะที่แผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง 7 สาขาในปีนี้, 8 สาขาในปี 2013, และ 7 สาขาในปี 2014 ยังเป็นปัจจัยหลักต่อการขยายตัวของกำไรเฉลี่ยมากกว่า 30% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า และคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้ฐาน 14.3 บาท ประเมินแนวรับ 13.20 บาท แนวต้าน13.70 บาท
*** HMPRO ยังนิ่ง แม้คู่แข่งได้ SCC เข้ามาเสริมกำลัง
         นายณัฏฐ์ จริตชนะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีที่ทาง SCC เข้าซื้อหุ้น GLOBAL ว่ายังไม่ขอออกความเห็นในประเด็นดังกล่าว ทั้งในเรื่องการปรับกลยุทธ์การตลาด หรือการขยายสาขาเพื่อแข่งขันในตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง
         ทั้งนี้หลังจากมีข่าวการซื้อหุ้น GLOBAL ออกมานั้น ต่างมีความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในประเทศว่าจะมีการแข่งขันกันสูงขึ้น โดยเฉพาะ HMPRO ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกคู่แข่งรายสำคัญของ GLOBAL ส่งผลให้เกิดความสงสัยว่า HMPRO จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างไร หลังจาก GLOBAL ได้ SCC ซึ่งเป็นเจ้าตลาดของวงการวัสดุก่อสร้างของประเทศเข้ามาถือหุ้น
         อนึ่งก่อนหน้านี้ทาง HMPRO ได้เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือน ประจำปี 2555 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 1,202.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 315.04 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 35.51% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลัก ได้แก่
         การเพิ่มขึ้นของยอดขาย โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทฯ มียอดขาย 16,373.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,814.39 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัว 20.76% ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นผลจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม, ความต้องการสินค้าเพื่อการซ่อมแซมหลังน้ำท่วมในไตรมาสที่ 1 และการเปิดสาขาใหม่ตั้งแต่ปี 2554 ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปี 2555 มีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สาขาตรัง, สาขาเมกาบางนา, สาขาบุรีรัมย์ และสาขาหาดใหญ่-กาญจนวนิช
*** รายละเอียด 'เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น' ซื้อหุ้น GLOBAL
         นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่าขอเรียนให้ทราบว่า บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ SCC ถือหุ้นร้อยละ 100 ได้ยื่นข้อเสนอการร่วมลงทุนใน บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 30.01 ถึงร้อยละ 33.40 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
         โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนซึ่งกิจการจะออกและเสนอขายให้แก่บริษัทแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บางส่วน (Partial Tender Offer) จากผู้ถือหลักทรัพย์ของกิจการ ตามรายละเอียดดังนี้
         1.บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของกิจการ จำนวน 224,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 14 บาท
         2.บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์บางส่วนของกิจการ ซึ่งประกอบไปด้วย
         2.1 หุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วของกิจการ จำนวนไม่เกิน 457,420,683 หุ้น และไม่ต่ำกว่า 391,094,684 หุ้น โดยเสนอซื้อในราคาหุ้นละ 14 บาท
         2.2 ใบสำคัญแสดงสิทธิของกิจการ จำนวนไม่เกิน 55,616,085 หน่วย และไม่ต่ำกว่า 47,551,750 หน่วย โดยเสนอซื้อในราคาหน่วยละ 9.30 บาท
         การเข้าร่วมลงทุนดังกล่าวจะดำเนินการเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อน สำเร็จครบถ้วนแล้วทุกข้อ อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจยกเลิกการซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้หากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าว และอาจยกเลิกการรับซื้อหลักทรัพย์ตามคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ บางส่วนได้ หากมีคำตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นในจำนวนต่ำกว่า 391,094,684 หุ้น ตามรายละเอียดที่จะกำหนดในคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
         ทั้งนี้บริษัทได้ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนกับกิจการแล้ว เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555 โดยมูลค่าการลงทุนในครั้งนี้ รวมถึงการใช้สิทธิซื้อหุ้นจากใบสำคัญแสดงสิทธิคิดเป็นประมาณ 10,000 ล้านบาท
         ในปัจจุบันกิจการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่งบ้าน อาคารและสวน ในรูปแบบของร้านค้าคลังสินค้า ที่รวมสินค้าหลากหลายแบบครบวงจร
         การร่วมลงทุนของบริษัทครั้งนี้เป็นการลงทุน เพื่อเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้างในรูปแบบของร้านค้าคลังสินค้า ซึ่งมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทมุ่งหวังที่จะเป็น Stretegic Partner ของกิจการอย่างยั่งยืน เสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขยายธุรกิจของกิจการรวมถึงการขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อาเซียนต่อไปด้วย