ศุกร์ 17 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
เปิดงบกลุ่มยานยนต์ Q2/55 กำไรพุ่งเกือบ 90%

เปิดงบ 10 บริษัทยานยนต์ Q2/55 ฟันกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 1,074.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 89.12% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 568.18 ล้านบาท ขณะที่ TNPC เจ๋งสุดโชว์ผลงานสุดหรูเป็นอันดับ 1 กำไรเพิ่มกระฉูด 875.30% ส่วน AH ไม่น้อยหน้าตามมาเป็นอันดับ 2 กำไรพุ่ง 456.06% และอันดับ 3 IHL กำไรเพิ่มขึ้น 113.60% แต่ APCS เศร้า! ฉายเดี่ยวผลประกอบการลดลง 7.27% ฟากโบรกเกอร์ประสานเสียงอนาคตยังสดใส พร้อมชู SAT- AH-STANLY น่าลุย ด้านผู้บริหาร CWT ชี้ตลาดรถยนต์ยังขยายตัว ดันยอดขายเบาะหนังทะลัก
***หุ้นยานยนต์เจ๋ง Q2/55 ฟันกำไรรวม 1.07 พันลบ. ทะยานกว่า 89%
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการรวบรวมข้อมูลผลประกอบการในไตรมาส 2/2555 ของหุ้นในกลุ่มยานยนต์จำนวน 10 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย 1.บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) หรือ AH 2.บริษัท เอเซีย พรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ APCS 3.บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT 4. บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ HFT 5. บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL 6.บริษัท อีโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IRC 7.บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT 8. บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY 9. บริษัท ไทยนามพลาสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNPC และ 10. บริษัท ไทยรุ่งยูเนียนคาร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRU พบว่ามีกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 1,074.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 89.12% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 568.18 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ TNPC มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2555 อยู่ที่ 16.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.53 ล้านบาท หรือคิดเป็น 875.30% จากไตรมาส 2/2554 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.66 ล้านบาท รองลงมาคือ AH มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 279.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.54 ล้านบาท หรือคิดเป็น 456.06% จากไตรมาส 2/2554 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.33 ล้านบาท และอันดับ 3 คือ IHL มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 113.60% จากไตรมาส 2/2554 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 29.19 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่มีผลประกอบการในไตรมาส 2/2555 ลดลงนั้น พบว่ามีเพียง 1 แห่งเท่านั้นคือ APCS มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.73 บาท ลดลง 2.02 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.27% จากไตรมาส 2/2554 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 27.75 ล้านบาท
***บล.เคจีไอ เชื่อมอเตอร์เอ็กซ์โปหนุนยานยนต์เด่น ชู SAT- AH-STANLY น่าลุย
          บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากกรณีที่ นายขวัญชัยปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29 (มอเตอร์เอ็กซ์โป) ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-10 ธ.ค.2555 ระบุว่างานมอเตอร์เอ็กซ์โปที่จะจัดขึ้นช่วงปลายปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดจองรถยนต์ภายในงานเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ซึ่งอยู่ที่ 30,000 คัน เป็น 45,000-50,000 คัน จำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นมาจากยอดจองตามโครงการรถคันแรก 10,000-15,000 คัน หรือประมาณ 20-25% ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มยานยนต์ อาทิ SAT, AH, และ STANLY โดยประเมินว่ายอดผลิตรถยนต์ของไทยจะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึง 1H56 จากยอดจองรถยนต์ใหม่ที่คาดจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงไตรมาส 4/2555 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาล โดยฝ่ายวิเคราะห์อยู่ระหว่างทำบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มยานยนต์ ส่วนราคาเป้าหมายของ SAT, AH, และ STANLY ตาม Consensus เท่ากับ 33.17 บาทต่อหุ้น, 15.61 บาทต่อหุ้น และ 236.86 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ
***บล.เอเซียพลัส ฟันธง! อุตฯ ยานยนต์ครึ่งปีหลังเด่น
          นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก ประเมินได้จากเป้ายอดการผลิตรถยนต์ที่ 2.2 ล้านคัน โดยในครึ่งปีแรกมียอดการผลิตไปแล้ว 1 ล้านคัน ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังยอดการผลิตจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาสที่ 1/2555 ค่ายรถยนต์และซัพพลายเชนต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ยังฟื้นตัวไม่ได้เต็มที่ ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังก็จะมีการเร่งผลิตจากคำสั่งซื้อใหม่และที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ เพราะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากโครงการรถยนต์คันแรกที่ประชาชนจะต้องมีการจองรถยนต์ภายในสิ้นปีนี้ถึงจะได้รับสิทธิ์ ทั้งนี้หุ้นกลุ่มยานยนต์ที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ STANLY เพราะแนวโน้มผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์เติบโตโดดเด่น ซึ่งที่ผ่านมามีคำสั่งซื้อเข้ามามากจากค่ายรถยนต์ต่างๆ และยังมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานใหม่ที่เริ่มผลิตไปในช่วงเดือนกรกฎาคมแล้ว ขณะที่ Upside ของราคาหุ้นยังเหลืออยู่พอสมควรประมาณ 30% โดยได้ตั้งเป้าราคาพื้นฐานที่ 268 บาท โดยประเมินกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 1,582 ล้านบาท ซึ่งเติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ้ 727 ล้านบาท
***บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุ SAT โชว์กำไร Q2/55 ต่ำกว่าคาด
          บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่าในไตรมาส 2/2555 ของ SAT พบว่ามีกำไรสุทธิเป็น 161 ล้านบาท เพิ่มก้าวกระโดด 84% y-o-y แต่ลดลง 22% q-o-q ถือว่าต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์และตลาดฯ คาดไว้ก่อนหน้าในอัตรา 20% และ 18% ตามลำดับ ด้านรายได้เป็น 2.2 พันล้านบาท เพิ่ม 50% y-o-y แรงผลักดันการเติบโตมาจากยอดผลิตรถยนต์ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ สำหรับกำไร 1H55 คิดเป็นสัดส่วน 39% เทียบกับประมาณการทั้งปี 2555 ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2555 อ่อนลงเป็น 14.4% เทียบกับ 15.2% ในไตรมาส 2/2554 เพราะมีการผลิตสินค้าประเภท outsourcing สูงขึ้นซึ่งทำให้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากโรงงาน casting ใหม่ นั่นคือค่าเสื่อมราคาในรอบ 1H55 เป็น 350 ล้านบาท เทียบกับ 1H54 ที่ 250 ล้านบาท แต่คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H55 เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่มเข้ามา โดยลูกค้า Mitsubishi และ Toyota ก็มีการขยายกำลังการผลิตเช่นกันใน 2H55 ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้ของ SAT เติบโตสูง 131% y-o-y เป็น 943 ล้านบาท แรงผลักดันมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตของค่ายรถยนต์และบริษัทเอง โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ายอดผลิตรถยนต์ปีนี้โตถึง 50% เป็น 2.2 ล้านคัน และอัตราภาษีเงินได้ที่ลดลง ดังนั้นจึงคงคำแนะนำซื้อหุ้น SAT และกำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 36.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 2556 ที่ 11 เท่า นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์ยังชอบ SAT ในประเด็นที่ธุรกิจอิงตามรถกระบะสูง จึงจะได้รับประโยชน์จากการที่การผลิตรถยนต์ในไทยที่มีการเติบโตในอัตราที่สูง
***บล.ทรีนีตี้ ชี้ Q1/56 กำไร STANLY ฟื้นตัวต่อแต่ไม่ทำ New High ตามยอดขาย
          บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า STANLY ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2556 (งวดเม.ย.-มิ.ย.55) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 328 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 4.28 บาท) ลดลง 21% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากไตรมาสก่อนได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันสุทธิ 105 ล้านบาท ในขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 41% เนื่องจากปีก่อนมีปัญหาสึนามิในญี่ปุ่น ถ้าตัดค่าใช้จ่ายพิเศษจากการซ่อมแซมและฟื้นฟูโรงงานหลังน้ำท่วม จำนวน 35 ล้านบาท STANLY จะมีกำไรปกติที่ฟื้นตัวดีขึ้นเป็น 364 ล้านบาท (+28%qoq, +55%yoy) โดยกำไรปกติยังไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นยังไม่กลับสู่ระดับที่เคยทำไว้ตอนดีสุดประมาณ 26-28% แม้ว่ายอดขายจะพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ถึง 2,540 ล้านบาท (+15%qoq, +30%yoy) ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 22.3% จาก 20.2% ในไตรมาสก่อน และ 21.1% ในปีก่อน
          ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์มีการเติบโตสูงกว่าที่ประเมินก่อนหน้านี้ โดยปีนี้ประเมินยอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 2.2 ล้านคัน เติบโตสูงถึง 51% และ รถ อีโค-คาร์ ที่มีการเปิดตัวในปัจจุบัน STANLY มีการอุปกรณ์ส่องแสงสว่างรถยนต์ให้ทุกรุ่น ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับประมาณการเพิ่มขึ้น โดยประเมินยอดขายของ STANLY เท่ากับ 10,063 ล้านบาท เติบโต 29% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,595 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 20.81 บาท) พุ่งขึ้น 120% นอกจากนี้ยังประเมินว่า STANLY เป็นหุ้นที่มีศักยภาพที่จะเติบโตสูงในอนาคต ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย รวมถึงเป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้เงินกู้เลย ในขณะที่มีเงินสดในมือสูงถึง 1,439 ล้านบาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี 2556 เท่ากับ 9.9 เท่า, P/BV 1.6 เท่า และ มีเงินปันผลตอบแทน 4.0% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 240 บาทต่อหุ้น (เพิ่มขึ้นจากเดิม 230 บาท) บนฐาน P/E เท่ากับ 11.5 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย Forward P/E ในอดีตเท่ากับ 11.3 เท่า
***บล.ฟิลลิป แนะ นลท.ทยอยซื้อ APCS
          บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าผลดำเนินงานในไตรมาส 2/2555 ของ APCS ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ (เดิมประมาณไว้ที่ 30.68 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิที่ 25.74 ล้านบาท ลดลง 7%y-y (และลดลง 6%q-q) เนื่องจากมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาถึง 6.17 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากไม่รวมผลของค่าเงินส่วนนี้จะถือว่าผลดำเนินงานจะดีกว่าที่คาดไว้ถึง 4% สำหรับยอดขายในไตรมาสนี้ได้ปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ส่งให้ปรับเพิ่มขึ้น 26%y-y (และได้งานใหม่จากค่าย Sony ในอุตสาหกรรมกล้องหนุนให้สูงขึ้น 18%q-q) มาที่ 290.92 ล้านบาท แต่ด้วยการทำกำไรขั้นต้นที่ไม่สูงอย่างในปีก่อนหน้าจาก 24.75% ลดลงมาที่ 24.16% ด้วยผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ(แต่เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 23.40% จากปริมาณงานที่มากขึ้น) ทั้งมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจึงทำให้ผลดำเนินงานปรับลดลง
          ส่วนแนวโน้มผลดำเนินงานในไตรมาส 3/2555 ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่ายังได้ปัจจัยหนุนจากการปรับตัวดีต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดย ส.อ.ท.คาดการผลิตรถยยนต์ที่ 0.60 ล้านคันเพิ่มขึ้น 27%y-y และ 8%q-q ด้าน APCS เป็นผู้ผลิตชิ้นงานให้กับหลายค่าย ซึ่งรายได้จากอุตสามหกรรมยานยนต์นั้นมีสัดส่วนสูงถึง 54%ของยอดขาย นอกจากนี้แล้วมองการฟื้นกลับมาผลิตอย่างเต็มทีอีกครั้งของลูกค้ารายเดิมอย่างค่าย Nikon จะช่วยสนับสนุนยอดขายสำหรับอุตสาหกรรมกล้องอีกทาง อย่างไรก็ตามแม้จะมีปัจจัยบวกสนับสนุนแนวโน้มผลดำเนินงานในครึ่งปีหลัง แต่ทว่าระดับราคาซื้อขายปัจจุบันมี Upside ที่น้อยเทียบราคาพื้นฐานที่ 5.95 บาทต่อหุ้น ทางฝ่ายจึงคำแนะนำเพียงทยอยซื้อหุ้นดังกล่าว
***บล.ฟินันเซียไซรัส แนะซื้อ AH ปรับกำไรขึ้น 38%
          บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่าฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับราคาเป้าหมายปีนี้ของหุ้น AH ขึ้นเป็น 23.50 บาทต่อหุ้น (เดิม 18 บาท) จากกำไรที่โดดเด่นใน ไตรมาส 2/2555 และมีแนวโน้มสดใสต่อตามอุตสาหกรรม ทั้งนี้กำไรปกติในไตรมาส 2/2555 ของ AH ดีกว่าคาดมากที่สุดในกลุ่ม โดย +192% Q-Q, +48% Y-Y เป็น 190 ล้านบาท จากโรงงานที่จ.อยุธยากลับมาผลิตได้เต็มที่ตลอดไตรมาส ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับกำไรปกติปีนี้ขึ้น 38% เป็น 511 ล้านบาท พลิกจากปีก่อนที่ผลการดำเนินงานปกติขาดทุน 61 ล้านบาท ปัจจุบัน AH มี Norm PE ต่ำสุดในกลุ่มเพียง 7 เท่า เทียบกับกลุ่มที่ 10 เท่า นอกจากนี้ AH ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.488 บาท XD 27 ส.ค. จ่ายเงิน 12 ก.ย. แนะนำซื้อ
***บล.โกลเบล็ก แนะซื้อ AH
          บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า AH แจ้งกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2555 ออกมาเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นโดยมีกำไรสุทธิ 280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 194% qoq และ 456%yoy เป็นผลจาก 1)บันทึกเงินเคลมประกันภัย 90 ล้านบาท 2)มีรายได้เพิ่มขึ้นจากโรงงานทุกแห่งกลับมาทำการผลิตเต็มกำลังการผลิต และ 3)ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง เพื่อสะท้อนผลประกอบการไตรมาส 2/2555 ที่ออกมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดและภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลังที่สดใส โดยคาดว่าตลาดจะออกมาปรับเพิ่มคาดการณ์และราคาเป้าหมายในปีนี้ขึ้น โดยเบื้องต้นคาดกำไรสุทธิในปีนี้ประมาณ 579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุน 390 ล้านบาท(และคาดกำไรปกติไม่รวมรายการพิเศษประมาณ 489 ล้านบาท) นอกจากนี้ AH ยังประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีก 0.488 บาทคิดเป็น Dividend Yieldที่ 2.9% XD 27 ส.ค.55 และจ่ายปันผล 12 ก.ย.55 จึงแนะนำซื้อ และให้ราคาเป้าหมายปีนี้ไว้ที่ 20 บาทต่อหุ้น
***CWT ชี้ตลาดรถยนต์ขยายตัวดันยอดขายเบาะหนังทะลัก
          นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CWT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2555 (เมษายน- มิถุนายน 2555) บริษัทฯ มีรายได้สุทธิรวมเท่ากับ 292.16 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18.56 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท โดยรายได้รวมและกำไรสุทธิ คิดเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 79.87% และ 47.87% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2554 ที่มีรายได้รวมสุทธิจำนวน 162.43 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 12.55 ล้านบาท คิดเป็น 0.05 บาทต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน 2555) บริษัทฯ มีรายได้รวมสุทธิ 549.37 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 31.59 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 0.10 บาทต่อหุ้น โดยรายได้รวมและกำไรสุทธิคิดเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 37.92% และ40.08% ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบกับผลประกอบการในงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้สุทธิรวม 398.34 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 22.55 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.10 บาท ทั้งนี้ สาเหตุที่ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2555 มีรายได้สุทธิและกำไรสุทธิ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลการดำเนินงานดังกล่าว บริษัทฯ มียอดขายรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 549.37 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามคำสั่งซื้อ และยอดผลิตรถยนต์ของกลุ่มบริษัทลูกค้า มีจำนวนเพิ่มขึ้น
          “มีการคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ มีโอกาสแตะระดับ 2.2 ล้านคัน เติบโตก้าวกระโดดเมื่อเปรียบเทียบกับปีทีผ่านมา ส่วนหนึ่งมีผลมากจากคำสั่งซื้อรถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งมีผลมาจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ จากทิศทางนี้คาดว่าจะส่งผลบวกต่อกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์เบาะหนัง เบาะผ้ารถยนต์ รวมทั้งบริษัทฯ ด้วย ดังนั้นบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่ตั้งไว้ระดับ 1.2 พันล้านบาท จะทำได้อย่างแน่นอน” นายวีระพล กล่าว