พุธ 15 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
กำไรกลุ่ม PTT ร่วงยกแผง

* เจอพิษศก.ทุบ-ขาดทุนสต็อก-รายได้ปิโตรหด
          ช็อค! วงการ กลุ่ม ปตท. กำไรร่วงยกแผง หลังขาดทุนสต็อกน้ำมันอ่วมอรทัย แถมรายได้ปิโตรฯ หด ขณะที่โดนพิษเศรษฐกิจกระหน่ำซ้ำ ฉุด PTT กำไรไตรมาส2/55 วูบ 73.62% จากไตรมาส 2/544 เหลือ 8,513.66 ล้านบาท ตามด้วย PTTEP กำไรวูบ 31.54% เหลือ 7,732.83 ล้านบาท TOP พลิกเป็นขาดทุนสูงถึง 6.9 พันล้านบาท ร่วงแรง 312.74% ตามด้วย IRPC ที่พลิกขาดทุน 4.06 พันล้านบาท เปลี่ยนแปลงในทางลงถึง 273.72% แต่โบรกเกอร์ยังแนะนำ ซื้อ และเก็งกำไร ระบุแนวโน้มผลงานมีลุ้นพลิกฟื้นในช่วงครึ่งปีหลัง
* แกะงบไตรมาส 2/55 ของกลุ่ม ปตท. พบกำไรทรุดถ้วนหน้า
          กลุ่ม ปตท. สะท้าน หลังประกาศงบการเงินไตรมาส 2/2555 พบว่าปรับตัวลดลงถ้วนหน้า หลังขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอย่างหนัก รวมทั้งการบันทึกขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยน โดย บมจ.ปตท. หรือ PTT มีกำไรไตรมาส2/55 ลดลง 73.62% จากไตรมาส 2/544 เหลือ 8,513.66 ล้านบาท ตามด้วย บมจ.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP กำไรวูบ 31.54% เหลือ 7,732.83 ล้านบาท บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP พลิกเป็นขาดทุนสูงถึง 6.9 พันล้านบาท ร่วงแรง 312.74% ตามด้วย บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC ที่พลิกขาดทุน 4.06 พันล้านบาท เปลี่ยนแปลงในทางลงถึง 273.72% ขณะที่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC มีกำไร 851.34 ล้านบาท
* PTT แจง Q2 กำไรร่วงเพราะขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน หลังปัญหา ศก.โลกและปัญหาหนี้ในยุโรปกดดัน
          ทั้งนี้ PTT รายงานว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทย่อยผลการดาเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2555 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2554ใน Q2/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 682,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q2/2554 ร้อยละ 6.1 เป็นผลจากปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ แม้ว่าโดยราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบลดลงจาก 110.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน Q2/2554 เป็น 106.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน Q2/2555 ในขณะที่กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นและรายได้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (EBITDA) เพิ่มขึ้นจำนวน 4,511 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ ปตท.สผ. และหน่วยธุรกิจน้ำมัน
          อย่างไรก็ตาม ใน Q2/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน 4,354 ล้านบาท ทำให้ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุนฯ ลดลงร้อยละ 142.3 เมื่อเทียบกับ Q2/2554 จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานที่ลดลงตามการถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจากปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศในยุโรปส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสาเร็จรูปปรับตัวลดลง ทำให้ค่าการกลั่น (GRM) ลดลง เมื่อเทียบกับ Q2/2554 และเกิดขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน รวมทั้งมีการรับรู้ผลขาดทุนจากการตีราคามูลค่าสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาด (NRV)
          ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานที่ลดลง จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Spread Margin) ที่ปรับตัวลง โดยเฉพาะ LDPE เนื่องจากใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติขั้นสูงในตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งกาลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากโรง LDPE เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง แม้ว่าปริมาณขายผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ Q2/2554 นอกจากนี้ Spread Margin ของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ โดยเฉพาะ พาราไซลีน ปรับตัวลง เนื่องจากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ขั้นกลางและขั้นปลายของพาราไซลีนในยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีนมีการขยายตัวในอัตราที่ลดลง ในขณะที่ Q2/2554 มี Spread Margin ที่สูงกว่าเนื่องจากอุปทานในเอเซียลดลงจากการที่โรงงานอะโรเมติกส์ในญี่ปุ่นต้องหยุดผลิตฉุกเฉินจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่น
          อย่างไรก็ดี ใน Q2/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จำนวน 15,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q2/2554 จานวน 1,205 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 และ ใน Q2/2555 บริษัท ปตท. สารวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) มีรายได้อื่นเพิ่มขึ้นเนื่องจากการรับรู้ค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์ในแหล่งมอนทาราเพิ่มเติมเป็นจำนวน 990 ล้านบาท และมีการรับรู้ผลขาดทุนของการด้อยค่าของสินทรัพย์แหล่งมอนทาราจำนวน 3,455 ล้านบาท รวมทั้ง PTTI มีการรับรู้ผลขาดทุนของการด้อยค่าของเงินลงทุนใน EMG จำนวน 3,972 ล้านบาท ส่งผลให้ใน Q2/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิลดลง 23,764 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 73.6 จากกำไรสุทธิ 32,277 ล้านบาทใน Q2/2554 (หรือคิดเป็น 11.32 บาทต่อหุ้น) เป็นกำไรสุทธิ 8,513 ล้านบาทใน Q2/2555 (หรือคิดเป็น 2.98 บาทต่อหุ้น)
          ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2555 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554ในครึ่งปีแรกของปี 2555 (1H/2555) ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 1,374,922 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1H/2554 ร้อยละ 16.1 เป็นผลมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาเฉลี่ยของน้ามันดิบดูไบเพิ่มจาก 105.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในครึ่งปีแรกของปี 2554 (1H/2554) เป็น 111.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลใน 1H/2555 ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้นจำนวน 11,332 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ ปตท.สผ และหน่วยธุรกิจน้ามัน ใน 1H/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจานวน 5,935 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 72.6 เมื่อเทียบกับ 1H/2554 จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดาเนินงานที่ลดลง แม้ว่าราคาน้ามันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ 1H/2554 อย่างไรก็ตามในปลาย Q2/2555 ตลาดคลายความกังวลต่อปัญหาความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ามันดิบ รวมทั้งอุปทานในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ราคาน้ามันปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดขาดทุนจากสต็อกน้ามันและจากการตีราคามูลค่าสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาด(NRV)
          ส่วนผลการดาเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดาเนินงานที่ลดลง จาก Spread Margin ที่ปรับตัวลง โดยเฉพาะ LDPE ที่มีราคาผลิตภัณฑ์อ่อนตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอุปทานที่เกินความต้องการในประเทศจีน นอกจากนี้ Spread Margin ของพาราไซลีนก็ปรับตัวลดลง เนื่องจากใน 1H/2554 ตลาดพาราไซลีนได้รับแรงหนุนจากภาวะอุปทานตึงตัว จากปัญหาการหยุดผลิตของโรงพาราไซลีนหลายแห่งและผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ใน 1H/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีกาไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจานวน 630 ล้านบาท ลดลง 3,180 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 83.5 จาก 1H/2554 ที่มีกาไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจานวน 3,810 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จานวน 25,126 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยจาก 1H/2554 จานวน 92 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.4 อย่างไรก็ตามใน 1H/2555 ปตท.สผ. มีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น
* หุ้น PTT ยังน่าซื้อ กูรูให้ราคาพื้นฐานปี 55 ที่ 380 บาท
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ประเมิน PTT ว่า ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ PTT ใน 3Q55 โดยคาดว่ากำไรสุทธิที่หดตัวแรงใน 2Q55 จะกลับมาเพิ่มขึ้นได้ใน 3Q55 โดยมีแรงหนุนมาจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม(โรงกลั่นและปิโตรฯ) พลิกมีกำไรเนื่องจากไม่ต้องบันทึกขาดทุนในสต๊อกน้ำมันดิบ และคาดผลประกอบการของ PTTEP ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วเนื่องจากกรายการพิเศษที่เกิดขึ้นใน 2Q55 จะไม่เกิดขึ้นอีกและยังได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งบงกชใต้ซึ่งมีกำลังการผลิต 24,000 BOED จะทำการผลิตได้เต็มไตรมาส ส่วนผลประกอบการทั้งปีจากผลประกอบการที่หดตัวแรงใน 2Q55 จึงทำให้แนวโน้มกำไรสุทธิในปีนี้น่าจะหดตัวลงจากปีที่ผ่านมาโดยเราคาดกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ 97,795 ล้านบาทลดลง 7%yoy
          พร้อมกันนี้ คงคำแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายปี 55 ที่ 380 บาท : เรายังแนะนำ 'ซื้อ' เพราะมองว่ากำไรสุทธิที่ลดลงแรงใน 2Q55 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และคาดแนวโน้มผลประกอบการจะทยอยเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังโดยเราประเมินมูลค่าเหมาะสมของ PTT ด้วยวิธี P/E Ratio อิง Prospective P/E ที่ 11 เท่าและคาดการณ์ EPS ปีนี้ที่ 34.51 บาท จะได้ราคาเหมาะสมปี 55 ที่ 380 บาท
* PTTEP ยังไม่ขี้เหร่ หาจังหวะเก็งกำไรได้
          ด้านฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.กรุงศรี วิเคราะห์ PTTEP ว่า ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 55 เท่ากับ 59,139 ล้านบาท (+32%YoY) แม้ว่าผลประกอบการ 2Q55 จะต่ำกว่าคาดถึง 46% แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากรายการพิเศษโดยเฉพาะการบันทึกด้อยค่าโครงการมอนทารา ซึ่งเราคาดว่าหากราคาน้ำมันกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการกลับรายการด้อยค่าเป็นรายได้ เราคาดการณ์ปริมาณขายปิโตรเลียมไว้ที่ 284,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน (+7%YoY) จากการเริ่มผลิตของโครงการบงกชใต้และโครงการมอนทาราในช่วงกลางปีและปลายปีตามลำดับ กอปรกับสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยเท่ากับ US$63.6/บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (+15%YoY) เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น
          ขณะเดียวกัน แม้การเพิ่มทุนจะช่วยปลดล็อกความเสี่ยงฐานะการเงินและลดข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในอนาคต โดยคาดว่าหลังเพิ่มทุน Net D/E ratio จะลดเหลือ 0.15 เท่าปี 55 แต่ผลตอบแทนจากการขยายการลงทุนด้วยการเพิ่มทุนครั้งนี้จะเกิดขึ้นในระยะยาวจึงส่งผลให้เกิด Dilution effect ในอัตรา 16.4% ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่จะกดดันต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 56 หดตัว 5.6%YoY เทียบกับปี 55 ที่เติบโตกว่า 30%YoY เราประเมินมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ 180 บาท ตาม DCF (WACC 11.7%, Terminal growth rate 2.0%)
          ส่วนฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส มองว่าจากกรณีที่ PTTEP ได้รับการตอบรับคำเสนอหุ้นตามเงื่อนไขจากผู้ถือหุ้น Cove จำนวน 448.6 ล้านหุ้น หรือประมาณ 91.4% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Cove คาดขั้นตอนการเข้าซื้อกิจการ Cove จะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้า ประเมินว่าการตอบรับคำเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้น Cove ในสัดส่วน 91.4% ของจำนวนหุ้น Cove ทั้งหมดถือว่าได้บรรลุเงื่อนไขในส่วนของจำนวนการตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นที่กำหนดไว้ที่ 90% ของจำนวนหุ้น Cove แล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไป PTTEP มีกำหนดที่จะประกาศการทำคำเสนอซื้อหุ้นแบบไม่มีเงื่อนไข (สำหรับจำนวนหุ้นที่เหลือ) โดยเร็วที่สุด หรืออย่างช้าที่สุดในวันที่ 21 ส.ค. 2555 เวลา 24.00 (ตามเวลาประเทศอังกฤษ)
          นอกจากนี้ PTTEP กำลังดำเนินการขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้น Cove เป็นในนามของ PTTEP จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรณี สาธารณรัฐโมซัมบิก อย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลโมซัมบิกได้ให้ความยินยอมในการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นภายใต้เงื่อนไขว่า PTTEP ประสบความสำเร็จในการทำคำเสนอซื้อหุ้น
          อย่างไรก็ตาม ณ ราคา 240 เพนซ์/หุ้น คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นที่ PTTEP จะต้องชำระรวม 1.22 พันล้านปอนด์ (หรือราว 1.995 พันล้านเหรียฯ หรือราว 6.1 หมื่นล้านบาท) รวมถึงยังรับภาระภาษีจ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการขายสินทรัพย์ของบริษัท Cove Energy Plc. ที่อยู่ในสาธารณรัฐโมซัมบิก (Capital Gain Tax) ในอัตรา 12.8% แทนผู้ขายซึ่งก็คือ บริษัท Cove Energy Plc.โดยในระยะสั้น PTTEP ได้วางแผนการชำระเงินค่าหุ้นทั้งหมด โดยเงินทุนหลักจะมาจากเงินกู้ Bridge Loan 950 ล้านปอนด์ จาก UBS และส่วนที่เหลือจะมาจากกระแสเงินสดของ PTTEP ที่มีอยู่ราว 1 พันล้านเหรียญฯ สำหรับในส่วนของระยะยาวนั้นคาดจะใช้เงินจากการเพิ่มทุนที่ PTTEP ได้ประกาศไว้จำนวน 650 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยได้มีการปรับปรุงประมาณการ และ Fair  Value เพื่อสะท้อนประเด็นการเพิ่มทุนดังกล่าวไว้แล้ว
          ทั้งนี้การลงทุนใน Cove คาดในระยะสั้นจะยังไม่สามารถสร้างรายได้และกำไรให้กับ PTTEP อย่างมีนัยฯ เนื่องจากโครงการลงทุนหลักแปลงสัมปทาน Rovuma Offshore Area 1 ของสาธารณรัฐโมซัมบิกในสัดส่วน 8.5% ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ โดยคาดว่าจะมีปริมาณสำรอง (Resources) กว่า 60 ล้านล้านลบ.ฟุต ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการสำรวจและพัฒนา ต้องใช้ระยะเวลาอีกราว 3-5 ปี จึงจะสามารถสร้างรายได้และกำไรให้กับ PTTEP ได้
          โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2555 (DCF) ที่ 167.51 บาทต่อหุ้น โดยคงคำแนะนำซื้อ โดยเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยฯในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนประเด็นการเพิ่มทุนไปในระดับหนึ่งแล้ว ขณะนี้เพียงรอประกาศราคาเพิ่มทุนซึ่งเกิดจากกระบวนการทำ Book Building
* TOP ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 66 บาท เป็น 79 บาทสำหรับปี 56
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ประเมิน TOP ว่า คาดว่าผลประกอบการของ TOP ใน 3Q55 จะกลับมาฟื้นตัวเนื่องจากคาดว่าการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบจำนวนมากเหมือนใน 2Q55 จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง เพราะมองราคาน้ำมันดิบที่ลดลงแรงใน 2Q55 ได้สะท้อนปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปไปแล้วขณะที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางจะหนุนให้ราคาน้ำมันกลับมาเพิ่มขึ้น ส่วนการดำเนินงานปกติคาดว่าจะยังขยายตัวโดยค่าการกลั่นคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในสิงคโปร์และอินเดียซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 200,000 บาร์เรล/วัน ส่วน PX และ BZ คาดราคาดีขึ้นจากดีมานด์ของโรง PTA ที่เพิ่มขึ้นหลังโรง PTA ในจีนเลื่อนเปิดดำเนินการจาก 2Q55 ไปเป็น 2H55 รวมกว่า 5 ล้านตัน และ BZ ได้แรงหนุนจากความต้องการส่งสินค้าไปสหรัฐมีมากขึ้นนอกจากนี้ PX และ BZ ยังมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากการเริ่มโครงการ PX Max ส่วนค่าใช้จ่ายด้านภาษีคาดมีค่าใช้จ่ายลดลงเนื่องจากมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้อีกกว่า 3,153 ล้านบาท
          รวมทั้งยังคงประมาณการณ์กำไรสุทธิในปีนี้ไว้ตามเดิม(ปรับลดคาดการณ์ไปแล้วในรายงานฉบับก่อน) โดยคาดกำไรสุทธิในปีนี้ประมาณ 8,864 ล้านบาท ลดลง 40%yoy อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าตลาดได้รับรู้ถึงผลขาดทุนใน 2Q55 และการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิในปีนี้ไปแล้วและคาดว่าตลาดจะให้น้ำหนักกับแนวโน้มของราคาน้ำมันและผลประกอบการที่จะกลับมาฟื้นตัวใน 2H55 และปี 56 มากกว่า ดังนั้นเราจึงปรับคำแนะนำจาก 'ซื้อเมื่ออ่อนตัว' เป็น 'ซื้อ' พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายในปีนี้ที่ 66 บาทไปใช้ราคาเป้าหมายในปี 56 ที่ 79 บาท(ประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio อิง Prospective P/E 12 เท่าคาดการณ์ EPS ปี 56 ที่ 6.62 บาท
* IRPC แม้ขาดทุนบักโกรก แต่ตลอดทั้งปียังมีกำไร
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมิน IRPC ว่า ผลประกอบการ 2Q55 ที่แย่กว่าคาดอาจเป็นปัจจัยลบในระยะสั้นจากการปรับลดประมาณการ เนื่องจากประมาณการของตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 3,717 ล้านบาท นอกจากนั้นผลประกอบการ 1H55 ที่เป็นขาดทุนทำให้เราคาด IRPC จะงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าตลาดจะเริ่มมองข้ามไปยังแนวโน้ม 3Q55 ที่จะพลิกกลับเป็นมีกำไรทำให้ Downside ของราคาปัจจุบันมีจำกัด เราจึงคงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท (อ้างอิง PBV 1.1 เท่า) ในเชิงกลยุทธ์ IRPC ไม่ใช่หุ้นในกลุ่มน้ำมันขั้นปลายที่เราชอบในช่วงที่ผ่านมา จากผลประกอบการระยะสั้นที่ยังดูด้อยกว่ากลุ่ม การซื้อขายจึงเป็นการเก็งกำไรตามกลุ่ม โดยนักลงทุนอาจพิจารณาเปลี่ยนไปลงทุนใน PTT ซึ่งเป็น Top pick ในกลุ่มพลังงานของเรา ส่วนการเก็งกำไรตามราคาน้ำมันเรายืนยันว่า PTTGC หรือ TOP มีความน่าสนใจมากกว่า
          ทั้งนี้ IRPC รายงานผลประกอบการ 2Q55 มีผลขาดทุนสุทธิ 4,060 ล้านบาท ลดลงจากที่มีกำไร 2,337 ล้านบาท ใน 2Q54 และ กำไร 944 ล้านบาท ใน 1Q55 ผลประกอบการที่รายงานออกมาแย่กว่าที่เราคาดว่าจะขาดทุน 3,327 ล้านบาท เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดที่คาดขาดทุนเฉลี่ย 2,600 ล้านบาท ปัจจัยหลักเกิดจากผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันรวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (LCM) ที่มากกว่าคาด อยู่ที่ -7.02 เหรียญต่อบาร์เรล (เราคาดไว้ที่ -6 เหรียญต่อบาร์เรล)
          สำหรับกำไรขั้นต้นจากธุรกิจรวม (Market GIM) 7.24 เหรียญต่อบาร์เรล แบ่งเป็นกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 2.6 เหรียญ ธุรกิจปิโตรเคมี 2.9 เหรียญ และธุรกิจไฟฟ้า 1.8 เหรียญ เมื่อรวมกับผลขาดทุนจากสต๊อก 7 เหรียญต่อบาร์เรล กำไรขั้นต้นจากธุรกิจรวมผลจากสต๊อก (Accounting GIM) อยู่ที่ 0.22 เหรียญต่อบาร์เรล จาก 12.8 เหรียญใน 2Q54 และ 7.72 เหรียญใน 1Q55 ปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นเพิ่มเป็น 15.58 ล้านบาร์เรล (-0.5% YoY และ-7.2%QoQ) อย่างไรก็ตาม IRPC เร่งขายผลิตภัณฑ์เพื่อลดผลกระทบจากการเก็บสินค้าคงเหลือโดยปริมาณขายเพิ่มเป็น 17 ล้านบาร์เรล (+13.7% YoY) ในไตรมาสนี้ธุรกิจปิโตรเลียมรายงานผลขาดทุนจากการดำเนินการ 2,735 ล้านบาท (จากกำไร 2,056 ล้านบาทใน 2Q54 และกำไร 662 ล้านบาทใน 1Q55) ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 1,007 ล้านบาท (จากกำไร 554 ล้านบาทใน 2Q54 และขาดทุน 311 ล้านบาทใน 1Q55) ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรจากการดำเนินงาน 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 206 ล้านบาทใน 2Q54
          อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการ 2Q55 จะออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้ IRPC มีผลขาดทุนสำหรับ 1H55 ถึง 3,116 ล้านบาท แต่เป็นผลขาดทุนจากสต๊อกกว่า 1,017 ล้านบาท เมื่อพิจารณาแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบปัจจุบันที่ 102 เหรียญต่อบาร์เรล เราคาด IRPC จะมีการบันทึกการกลับรายการปรับลดราคาสินค้าคงคลังและมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ทำให้ผลประกอบการ 3Q55 พลิกกลับเป็นมีกำไร เรายังคงประมาณการกำไรปี 2555 ที 2,064 ล้านบาท เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาด 3,717 ล้านบาท
* PTTGC ยังซื้อได้ กูรู เชื่อผลงานดีครึ่งปีหลัง
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก ประเมิน PTTGC ว่า เรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ PTTGC ในไตรมาสที่ 3 โดยเราคาดว่าผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบจำนวนมากใน 2Q55 จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยใน 3Q55 และมีโอกาสที่จะกลับมาบันทึกเป็นมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบหากราคาน้ำมันดิบดูไบยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและปิดไตรมาสสูงกว่าระดับ 95$/bbl ส่วนการดำเนินการปกติคาดว่าจะยังปรับตัวดีขึ้น โดยค่าการกลั่นได้แรงหนุนจากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในสิงคโปร์และอินเดียซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 200,000 บาร์เรล/วัน ส่วนราคาอะโรเมติกซ์และโอเลฟินส์ ราคาเริ่มฟื้นตัวหลังจากลูกค้าที่ชะลอซื้อสินค้าเนื่องจากรอดูทิศทางของราคาน้ำมันเริ่มกลับเข้ามาสต๊อกสินค้าหลังเห็นว่าราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
          อย่างไรก็ตาม เราคาดกำไรสุทธิของ PTTGC ในปีนี้ประมาณ 25,960 ล้านบาทลดลง 14% yoy อย่างไรก็ตามเราคาดว่าตลาดได้รับรู้ถึงผลประกอบการที่หดตัวแรงใน 2Q55 และการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิในปีนี้ไปแล้ว และคาดว่าตลาดจะให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวของผลประกอบการในครึ่งปีหลังและปี 56 มากกว่าดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ 'ซื้อ'พร้อมกับปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็นปี 56 ที่ 78.70 บาทเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมในปี 55 ที่ 67.80 บาท (ประเมินมูลค่าด้วยวิธี P/E Ratio อิง Prospective P/E ที่ 12 เท่าและ คาดการณ์ EPS ปี 56 ที่ 6.56 บาท)