อังคาร 22 พ.ย.2554--eFinanceThai.com :
ศก.จมน้ำ-สศช.หั่นเป้าโตแค่1.5%
* ด้านตลาดหุ้นซึมรับยาวถึงสิ้นปี

       เป็นไปตามคาด สศช.หั่นเป้าจีดีพีไทย ปี 54 เหลือเติบโตเพียง 1.5% จากพิษของมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศ วงการหุ้นเชื่อ SET จะซบเซาไปถึงปลายปี แต่ให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เป็นจังหวะดีที่นักลงทุนจะใช้เวลาว่างศึกษาพื้นฐานหุ้นไทยให้ลึกซึ้ง โบรกฯ แนะตลาดหุ้นช่วงนี้ยังลงรับข่าวต่อ แนะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก ส่วนวงการ TFEX ไม่หวั่น เพราะลงทุนได้ทั้งขาขึ้น - ขาลง เผย ศก.แย่จะทำค่าเงินบาทอ่อนค่า หนุนราคาทองคำ
       นับว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวร้ายสำหรับภาคการลงทุนของไทย หลังจากที่วานนี้ทาง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ออกมาปรับลดลง ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ลงเหลือเติบโต 1.5% เพราะปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นไปตามหลายฝ่ายจะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายปี จะต้องทรุดลงอย่างหนัก จากมหาอุทกภัยในประเทศที่สร้างความเสียหายให้กับภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมอย่างมหาศาล
       โดยวานนี้ (21 พ.ย.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่า ได้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ลงเหลือเติบโต 1.5% จากเดิมที่คาดเติบโต 3.5-4.0% เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยได้รับความเสียหายจากผลกระทบน้ำท่วม ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจคิดเป็น 2.3% ต่อจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2-3 แสนล้านบาท
       ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมได้กระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจ โดยทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2554 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี จะขยายตัวได้ 3.1% แต่ความเสียหายเกิดขึ้นในวงกว้างและการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายมีแนวโน้มหดตัว ทั้งภาคเกษตรซึ่งเป็นพื้นที่ทางการเกษตรและผลผลิตได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก และด้านอุตสาหกรรมแหล่งผลิตที่สำคัญต้องหยุดการผลิต
       สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2554 คาดว่าจะเกินดุล 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.2% ของจีดีพี ซึ่งเป็นการเกินดุลลดลงจาก 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากไตรมาสที่ 4 ดุลการค้าและดุลบริการมีแนวโน้มหดตัวจากผลกระทบอุทกภัย ขณะที่ด้านดุลการค้าในปี 2554 คาดว่าจะเกินดุล 21.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าเกินดุล 8.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
       ทั้งนี้จากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/54 จะติดลบ 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
       ซึ่งจากประเด็นดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่เข้ามากดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย และ ดัชนี SET50 Futures ในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย
       โดย SET ปิดที่ระดับ 965.07 จุด ลดลง 19.09 จุด หรือ -1.94 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20,829.37 ล้านบาท
       ส่วน SET50 Futures สัญญา S50Z11 เดือนธ.ค.54 ปิดที่ระดับ 662.00 จุด ลดลง 24.00 จุด หรือ -3.50 % ด้วยปริมาณการซื้อขาย รวม 21,185 สัญญา
       ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในหุ้นไทยต่อเนื่องอีก 1,599.93 ล้านบาท
** ช้ำหนัก ธปท. ก็คาดจีดีพี Q4 จะลดลงเช่นกัน
       ด้านนายทรงธรรม ปิ่นโตผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ในไตรมาส 4/54 มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง ขณะที่มองจีดีพีทั้งปีนี้ จะเติบโตได้ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 2.6% หลังภาวะน้ำท่วม สร้างความเสียหายมากกว่าที่เคยประเมินไว้ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในไตรมาส 1/55 เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เพียงเล็กน้อย
       "จีดีพีในปีนี้ น่าจะน้อยกว่า 2.6% จากเดิมที่แบงก์ชาติประมาณการไว้เพราะผลกระทบ(จากน้ำท่วม)มันมากกว่าคราวก่อน" นายทรงธรรมกล่าว
** วงการหุ้นชี้ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ให้ศึกษาพื้นฐานหุ้นไทยช่วงตลาดซบ
       ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า จากภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะมีบรรยากาศที่ซบเซาอย่าง มากเพราะยังมีความวิตกกังวลกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ทำให้สศช.ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 1.5% แต่มองว่าปัจจัยดังกล่าวนักลงทุนได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะกระทบต่อการ เติบโตภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้จึงทำให้ไม่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม มากนัก ซึ่งข่าวสารในปัจจุบันยังไม่ได้มีความคืบหน้าทั้งในเชิงบวกและลบ จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวไม่ได้ไกล โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือปัญหาจากเศรษฐกิจยุโรปที่ยังเรื้อรังและคาดว่า จะต้องใช้ระยะเวลาหลายปีกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้
       แต่อย่างไรก็ตาม ยังประเมินว่าปัญหาน้ำท่วมเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นเพราะหลังจากน้ำลดแล้วจะมีการฟื้นฟูกิจการ การก่อสร้าง ตามมาเป็นลำดับ ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวได้ 3-6 เดือนหลังจากระดับน้ำลดลงไปแล้ว โดยคาดว่าในช่วงปลายปีนี้ดัชนีฯยังมีโอกาสฟื้นตัวได้หลังจากประเมินว่าบริษัทฯบางแห่งที่มีตัวเลขบัญชีไม่ดีจะมีการทำ windows dressing เพื่อทำตัวเลขบัญชีให้ดูดีขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะพิจารณาลงทุน
       "ปลายปีนี้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มดีดขึ้นได้จากการทำ Windows Dressing เพราะมองว่าราคาหุ้นของไทยเราก็ไม่แพง แต่ก็ไม่ถูก ซึ่งคาดว่าหากมีการทำ Windows Dressing ตลาดฯคงจะขึ้นได้ราวๆ 2-3% ซึ่งก็เป็นโอกาสเข้าลงทุนได้ ซึ่งกองทุนก็มีความเห็นแบบนี้เช่นกัน ส่วนสภาพัฒน์ที่ปรับลด GDPเหลือ 1.5%ไปวันนี้ไม่มีผลกับบรรยากาศลงทุนโยรวมเพราะได้คาดกันไว้แล้ว ซึ่งในช่วงนี้เชื่อว่าคงไม่มีข่าวใหม่ๆ ทำให้การลงทุนจึงไม่ตื่นตัวเท่าไรนัก" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
       ดร.ก้องเกียรติ ได้ให้คำแนะนำกับนักลงทุนที่ต้องการปรับเปลี่ยนการลงทุนให้เข้ากับภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ว่า ควรใช้เวลาในช่วงนี้ศึกษาพื้นฐานของหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี55 โดยเฉพาะหุ้นในต่างประเทศแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่ก็ควรต้องศึกษาไว้ เพราะมีหุ้นที่ราคายังถูกและน่าสนใจเข้าลงทุนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาก
** โบรกฯ ชี้หุ้นไทยยังทรุดต่อตาม GDP แนะเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก
       นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยในวันที่ 21 พ.ย. ปรับตัวลดลงอย่างหนัก หลังจากวันนี้สภาพัฒน์ได้ปรับลดตัวเลข GDP ปี 54 ของไทยลงเหลือ 1.5% จากเดิมคาดโต 3.5-4.0 % จากเหตุน้ำท่วม นอกจากนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังวิตกกังวนกับปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย โดยตลาดห้นหุ้นไทย ปิดตลาด เมื่อเวลา 16.37 น. ดัชนีอยู่ที่ 965.07 จุด ลดลง 19.09 จุด หรือ -1.94 %
       ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันที่ 22 พ.ย. ดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มขาลง หลังปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศยังไม่ดีนัก โดยเชื่อว่าตลาดยังคงรับปัจจัยลบจากความไม่มั่นใจของนักลงทุน ต่อการปรับลดตัวเลข GDP ปี 54 ของไทยลงเหลือ 1.5% จากเดิมคาดโต 3.5-4.0 %
       ด้านตลาดหุ้นในฟากยุโรปเริ่มปรับตัวลดลง หลังจากนักลงทุนยังวิตกกังวนกับปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปว่าจะยังไม่คลี่คลาย ส่วนตลาดหุ้นในฝั่งสหรัฐอเมริกาก็ต้องรอการประชุมเพดานหนี้ในประเทศที่จะมีขึ้นใน1-2วันนี้ ซึ่งมีข่าวออกมาไม่ดีนัก โดยทั้งสองปัจจัยจากภายนอกประเทศจะยังกดดันให้ดัชนีหุ้นไทนในวันพรุ่งนี้ปรับตัวอ่อนลง ส่วนปัจจัยภายในประเทศยังคงเป็นปัญหาน้ำท่วม
       โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุน เก็งกำไรระยะสั้น ในหุ้นขนาดเล็ก โดยให้แนวรับไว้ที่ 960 จุด แนวต้านให้ไว้ที่ 980 จุด
** โกลเบล็ก ไม่หวั่น GDP ไทยทรุด จะกระทบตลาด TFEX เหตุลงทุนได้ทั้งช่วงตลาดขาขึ้น - ขาลง
       นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีที่ทาง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ลงเหลือเติบโต 1.5% เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม ว่าจะส่งผลต่อการลงทุนในตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย เพียงทางอ้อมเท่านั้น ซึ่งจะเป็นในส่วนของอารมณ์ของนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยลบดังกล่าว จึงทำให้ชะลอการลงทุนทั้งในหุ้นและอนุพันธ์ตามกันไป
       แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนส่วนใหญ่ ที่คุ้นเคยกับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์เป็นอย่างดีจะทราบว่าการลงทุนในตลาด แห่งนี้สามารถลงทุนได้ทั้งในช่วงที่ตลาดเป็นทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งหากตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างหนักจากตัวเลขจีดีพีที่ปรับลดลง ก็จะเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้ามาป้องกันความเสี่ยงในตลาดอนุพันธ์โดยการ เปิดสถานะขาย (Short) ในสินค้า SET50 Futures ได้
       ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนใน SET50 Futures ยังคงให้เก็งกำไร เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความไม่ชัดเจนเรื่องภาวะหนี้สาธารณะในยุโรป ซึ่งจะทำให้ดัชนีหุ้นไทย รวมถึง SET50 Futures เคลื่อนไหวผันผวน โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 677-698 จุด
       "ช่วงแรกคงกระทบอารมณ์นักลงทุนอยู่บ้าง แต่ถ้านักลงทุนที่คุ้นเคยกับ TFEX อยู่แล้ว จะรู้ว่าในช่วงที่ตลาดรับข่าวร้าย จะเข้ามาลงทุนอย่างไร " นายสัญญากล่าว
       อนึ่งในวันนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ลงเหลือเติบโต 1.5% จากเดิมที่คาดเติบโต 3.5-4.0% เนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 เศรษฐกิจไทยได้รับความเสียหายจากผลกระทบน้ำท่วม ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจคิดเป็น 2.3% ต่อจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2-3 แสนล้านบาท
** เผย GDP ไทยลด หนุนราคาทองคำ เพราะเงินบาทอ่อนค่า
       ส่วนในตลาดทองคำนายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าตลาดทองคำในประเทศจะได้รับประโยชน์จากตัวเลข GDP ที่ปรับลดลงอย่างหนักในช่วงปลายปี เนื่องจากจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง ซึ่งส่งให้ผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เพียงแต่ในช่วงนี้ตลาดทองคำของไทยยังไม่คึกคักมากนัก เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาทองคำในตลาดโลกพักฐานลงพอดี
       ทั้งนี้ต้องติดตามราคาทองคำในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในช่วงนี้ราคายังไม่หลุดทิศทางขาขึ้น แต่หากราคายังปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนหลุดระดับ 1,680 ดอลลาร์/ออนซ์ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกจะกลับมาเป็นขาลงทุนที
       โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำควรรอซื้อสะสม เมื่อราคาไม่หลุดระดับ 1,700 - 1,680 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวของทองคำในช่งที่เหลือของปี 2554 จะอยู่ระดับ 1,680 -1,840 ดอลลาร์/ออนซ์