จันทร์ 21 พ.ย.2554--eFinanceThai.com :
บจ MAI โชว์กำไร 9 เดือนแรกโต 38.88%

       บจ.MAI โชว์ผลงานแจ่ม 9 เดือนแรกปี"54 กำไรสุทธิ 2.70 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.88% ขณะที่ไตรมาส3 กำไรสุทธิรวม 876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น8.39% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้พบ 14 บริษัทยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปี53 ด้านผู้บริหารประสานเสียงผลงานดีต่อเนื่อง ILINK มั่นใจรายได้-กำไรปีนี้โตเกินเป้า ขณะที่ ARIP เชื่อQ1/55ยอดขายโต 17-18% จากเดิมคาดโต 11-12% หลังความต้องการสินค้าไอทีพุ่งหลังน้ำลด ด้าน QTC มองยอดขาย Q4/54ยังกระฉูดต่อเนื่อง หนุนยอดขายทั้งปีโตทะลุเป้า 20%
       บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 57 บริษัท จาก 70 บริษัท นำส่งงบการเงินประจำไตรมาส 3/2554 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 โดยมียอดขายรวม 15,249 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 35.35% และ 8.39% ตามลำดับ ทั้งนี้ สำหรับงวดสะสม 9 เดือนแรกปี 2554 มียอดขายรวม 42,615 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 2,709 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 33.13% และ 38.88% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21.42 % ลดลงจาก 22.16%
       นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดเผยว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai ที่นำส่งผลการดำเนินงานรอบนี้มีผลกำไร 48 บริษัท ในจำนวนนี้มี 14 บริษัทที่มียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2554 และช่วงเดียวกันของปี 2553 ได้แก่ บมจ. ไอร่า แฟคตอริ่ง (AF) บมจ. เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ (APCO) บมจ. เออาร์ไอพี (ARIP) บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) บมจ. โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) บมจ. ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) บมจ. มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล (MOONG) บมจ. ออฟฟิศเมท (OFM) บมจ. ไพลอน (PYLON) บมจ. ควอลลีเทค (QLT) บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ (QTC) บมจ. ไทย เอ็น ดี ที (TNDT) และ บมจ. โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH)
       "สำหรับผลกระทบจากอุทกภัยต่อบริษัทจดทะเบียนใน mai นั้น ข้อมูลที่เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน พบว่ามี 3 บริษัทแจ้งว่าไม่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นสาระสำคัญ ขณะที่ 6 บริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบ และ 7 บริษัทได้รับผลกระทบทั้งทางตรงหรือผ่าน supply chain โดยบริษัทส่วนใหญ่ได้ทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงของทรัพย์สินแล้ว" นายชนิตรกล่าวสรุป
       ข้อมูลผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในครั้งนี้ยังไม่นับรวมบริษัทจดทะเบียนใน mai 12 บริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ผ่อนผันเกณฑ์โดยขยายเวลาการส่งงบการเงินไตรมาสสิ้นสุด 30 กันยายน 2554 เนื่องจากมีเหตุจำเป็นที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำท่วม โดยทั้ง 12 บริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) รวมประมาณ 12% ทั้งนี้ ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 ตลาดหลักทรัพย์ mai มีบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 70 บริษัท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 261.30 จุด market capitalization อยู่ที่ 73,137.01 ล้านบาท
** ILINK มั่นใจรายได้-กำไรปีนี้โตเกินเป้า ระบุ Q4/54 ลูกค้านิคมฯ เร่งออเดอร์สายเคเบิ้ล
       นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK กล่าวว่า มั่นใจรายได้และกำไรในปีหน้าจะโตมากกว่าปีนี้ และจะทำได้เกินเป้าหมายที่ทำไว้ 1,268 ล้านบาท และ 83 ล้านบาท ตามลำดับ หลังผลงาน 9 เดือนบริษัทฯมีรายได้ 1,007.99 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 67.61 ล้านบาท เนื่องจากช่วงไตรมาส 4 ผลงานน่าจะดีเนื่องจากช่วงปลายปี จากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลายทำให้ลูกค้าของบริษัทฯ ในนิคมอุตสาหกรรมต้องเริ่มวางสายเคเบิ้ลใหม่หลังจากน้ำท่วมนาน 1 เดือน ซึ่งเดือนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการสั่งซื้อแล้ว
       นอกจากนี้ บริษัทฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยจะเสียภาษี 25% จากเดิม 30% จะทำให้ไตรมาส 4 บริษัทฯ มีกำไรเพิ่มเข้ามาอีก 2.5 ล้านบาท
       'น้ำท่วมแม้จะยาวถึงสิ้นปี ผลงานเราจะทะลุเป้า เพราะถ้าน้ำเริ่มแห้ง ลูกค้าในนิคมฯ โดยเฉพาะที่บางปะอิน และไฮเทค ต้องฟื้นฟูและวางสายเคเบิ้ลใหม่ ซึ่งเราเป็นผู้ขายสายสัญญาณ จึงเชื่อว่า พ.ย.-ธ.ค. สายเคเบิ้ลจะขายดีมาก และภายในเดือนนี้บริษัทฯ ที่อยูใน mai ก็น่าจะได้รับข่าวดีคือเสียภาษีในปีนี้ 25% ซึ่งจะทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีก' นายสมบัติ กล่าว
       นายสมบัติ กล่าวต่อว่า คาดว่าในปีหน้าทิศทางการเติบโตของรายได้และกำไรจะสูงกว่าปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 10 และ 20% ตามลำดับ โดยมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนหลักๆ 2 เรื่อง คือ 1.สิทธิประโยชน์ทางภาษีของบริษัทที่อยู่ใน mai จะเหลือ 23% จากเดิมต้องจ่าย 30% ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นมาอีก นอกจากนี้ เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นปีเริ่มการฟื้นฟูหลังจากน้ำท่วม รัฐบาลมีการลงทุนด้านสาธารณูปโภค ก็จะทำให้ยอดขายของบริษัทฯ ดีขึ้น ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ มี Backlog กว่า 200 ล้านบาทจะรับรู้ในปีหน้าทั้งหมด
       'หลังน้ำท่วมสินค้าเราจะขายดี ที่ผ่านมาแม้จะมีวิกฤตกี่รอบ บริษัทฯ เราก็ยังเติบโตตลอด โดยเฉพาะปีหน้ารัฐบาลมีการลงทุนอินฟาสตรัคเจอร์ บริษัทฯ ก็จะมีธุรกิจใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเรายังไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้ การเสียภาษีก็ลดลง ซึ่งจะทำให้เราได้เงินเปล่าๆ กลับมาอีก'นายสมบัติ กล่าว
** QTC รับยอดขาย Q4/54ยังกระฉูดต่อเนื่อง หลังตุน Backlog กว่า 300 ลบ. หนุนยอดขายทั้งปีโตทะลุเป้า 20%
       นายนิพนธ์ จัยสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า คาดว่ายอดขายในช่วงไตรมาส4/54 ยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องจากไตรมาส 3/54 ที่มียอดขาย 202.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสิ้นสุดไตรมาส3/54บริษัทฯ มี Backlog รวมทั้งสิ้น 300 กว่าล้านบาท ทำให้คาดว่ายอดขายทั้งปีจะมีโอกาสเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ยังคาดว่ากำไรสุทธิทั้งปีนี้มีโอกาสเติบโตมากกว่าปีก่อนเช่นเดียวกัน สะท้อนได้จากผลประกอบการ 9 เดือนที่บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 25.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 300.53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 6.47 ล้านบาท
       อย่างไรก็ดี แม้ว่าในไตรมาส4/54จะมีปัญหาน้ำท่วมเข้ามากระทบบ้างจากการต้องเลื่อนส่งสินค้าหลังจากติดปัญหาเรื่องการขนส่ง แต่ลูกค้าก็ไม่ได้ยกเลิกออเดอร์ ทำให้ยอดขายก็มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยังเชื่อว่าหลังจากระดับน้ำลดลงแล้วการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าจะมีเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นลูกค้าบริษัทฯที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาน้ำท่วม โดยลูกค้าบริษัทฯส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออก แต่มองว่าความต้องการที่สูงขึ้นเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
       นายนิพนธ์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแผนงานและเป้าหมายในปี55เพื่อเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ(บอร์ด) ในวันที่ 7 ธ.ค.54 ซึ่งในเบื้องต้นได้ตั้งเป้ายอดขายในปี55เติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีนี้และจะเน้นขยายตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่มีประชากรเป็นจำนวนมากและอยู่ระหว่างการพัฒนาประเทศซึ่งมีความต้องการขยายไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงถือว่าเป็นโอกาสบริษัทฯที่จะเข้าไปขยายตลาดฯในประเทศดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อรองรับกับการเปิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือAEC ในปี 2558 อย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ยังมีแนวทางจะไปขยายตลาดในประเทศที่ค้าขายอยู่แล้วทั้งประเทศ ออสเตรเลียและ มาเลเซีย แต่ต้องจับตาความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจยุโรปว่าจะลุกลามมากระทบต่อการค้าการลงทุนต่อประเทศที่จะเข้าไปขยายตลาดหรือไม่ โดยคาดว่าในปี 2558 บริษัทฯได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1 พันล้านบาท หรือเฉลี่ยเติบโตประมาณ 20-25% เทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 650 ล้านบาท เพราะหากเติบโตไม่ทัน AEC เปิดอย่างเป็นทางการแล้วบริษัทฯอาจจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดฯ
       อนึ่งก่อนหน้านี้นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนการสร้างโรงงานใหม่เพื่อเสริมกำลังการผลิต โดยคาดว่าคงใช้เงินลงทุนในปี55ประมาณ 30 ล้านบาท
** ARIP คาดความต้องการสินค้าไอทีพุ่งแรงQ1/55หลังน้ำลด หนุนยอดขายโต 17-18% จากเดิมโตเฉลี่ย 11-12%
       นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) (ARIP) เปิดเผยว่า eFinanceThai.com ว่า คาดว่าภายหลังจากระดับน้ำลดลงแล้วและเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงไตรมาส1/55 เชื่อว่าความต้องการสินค้าไอทีจะสูงขึ้นจากปกติ โดยคาดว่าไตรมาส1/55 บริษัทฯจะมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 17-18% จากเดิมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 11-12%
       'ตอนนี้ความต้องการยังมีอยู่ ซึ่งอั้นมาแล้ว 3 เดือนทำให้คาดว่าช่วงไตรมาส1ปีหน้า ความต้องการสินค้าไอทีจะมีสูงมาก ทำให้เชื่อว่ายอดขายเราคงจะทำได้ราวๆ 17-18%'นายปฐม กล่าว
       อย่างไรก็ตาม นายปฐม กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯได้เลื่อนการจัดงานมหกรรมไอทีส่งท้ายปี คอมมาร์ท คอมเทค ไทยแลนด์ 2011ไปเป็นช่วงต้นปี55 จากเดิมได้กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 24 - 27 พ.ย.54 ซึ่งถือเป็นการเลื่อนรอบที่ 2 จากเดิมได้กำหนดไว้ในวันที่ 3 - 6 พ.ย. 54 เนื่องจากผู้ผลิตสินค้าไอทียังไม่ฟื้นตัวหลังจากได้รับความเสียหายจากปัญหา น้ำท่วมอย่างรุนแรง และกำลังซื้อยังไม่กลับมาฟื้นอย่างเต็มที่เพราะประชาชนไม่สะดวกในการเดินทาง และยังมีภาระในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยรวมไปถึงทรัพย์สินที่ได้รับความเสีย หาย ดังนั้น จึงเห็นว่าการเลื่อนการจัดงานออกไปถือว่ามีความเหมาะสมกับสถานการณ์ใน ปัจจุบัน
**APCO อวดผลงาน9 เดือนกำไร 36.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.2% มั่นใจปี54 ผลประกอบการโตตามเป้าอย่างน้อย 20%
       ศาสตราจารย์ ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO ผู้ดำเนินธุรกิจครบวงจรในนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามจากธรรมชาติ ด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่าย เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 54 ว่า บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 218.2 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 188.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 36.3 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 32.9 ล้านบาท
       ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 77.8 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 64.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 13.5 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 42.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 9.5 ล้านบาท
       ทั้งนี้ผลประกอบการของ APCO มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของยอดขายของผลิตภัณฑ์กลุ่มต่างๆ ในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพในกลุ่มของ Operation BIM ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากกลุ่มผู้ใช้ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วได้ผลจริง มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุลให้กับร่างกาย
       “ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากกระแสตอบรับที่ดีของกลุ่มผู้ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ ซึ่งการเติบโตเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นเพียงการขายผ่านเครือข่ายของบริษัทเท่านั้น เรามั่นใจว่าในช่วงต่อจากนี้จะได้เห็นผลิตภัณฑ์ของ APCO ได้รับความนิยมมากขึ้นอีก หลังจากที่มีการทำตลาด สร้างแบรนด์ และออกวางจำหน่ายในร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ”ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ์ กล่าว
       สำหรับแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีของ APCO คาดว่าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ตามเป้าหมายเดิมอย่างแน่นอน ถึงแม้ในช่วงไตรมาส 4 จะมีสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่เกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของหลายภาคธุรกิจ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าของบริษัท เนื่องจากโรงงานผลิตของบริษัทตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม
       อย่างไรก็ตามในส่วนของยอดขายภายในประเทศอาจมีการชะลอลงบ้าง แต่คิดเป็นอัตราส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่กระทบต่อเป้าหมายการเติบโตของบริษัทอย่างแน่นอน เนื่องจากในช่วงต้นไตรมาส 4 ที่ผ่านมา APCO เริ่มมีการรับรู้ยอดขายจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออกสู่ต่างประเทศเข้ามา ซึ่งรายได้ในส่วนนี้จะเข้ามาทดแทนยอดขายในประเทศ ที่ได้รับผลจากสถานการณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่ได้อย่างแน่นอน
** L&E เชื่อโค้งสุดท้ายผลงานยังสวย เหตุความต้องการอุปกรณ์แสงสว่างยังล้น
       นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคมไฟฟ้าและอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2554 (กรกฎาคม – กันยายน 2554) ว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 592.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153.34 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 35 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 439.05 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 32.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.36 ล้านบาท หรือร้อยละ 77.24 และมีกำไรต่อหุ้น 0.72 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 18.59 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 0.41 บาท
       ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2554) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 1,444.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 295.15 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.66 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,149.82 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทฯ อยู่ที่ 61.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.13 ล้านบาท หรือร้อยละ 110.94 และมีกำไรต่อหุ้น 1.33 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 28.96 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 0.63 บาท
       ทั้งนี้ ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นผลมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของศูนย์การค้า สรรพสินค้า ซุปเปอร์สโตร์ ร้านค้าย่อยต่างๆ โรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายจากภาครัฐที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยอดขายด้านการส่งออกก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากยอดขายที่สูงขึ้นดังกล่าวทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ลดลง จึงผลักดันให้กำไรสุทธิงวด 9 เดือนที่ผ่านมาขยายตัวโดดเด่น
       นายปกรณ์ ยังกล่าวถึงทิศทางธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคมไฟฟ้า และอุปกรณ์แสงสว่างในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่ายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ รวมทั้งบริษัฯ ได้รับอานิสงส์จากการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงานต่างๆ ภายหลังวิกฤตอุทกภัยคลี่คลายลง ส่งผลให้มีความต้องการใช้สินค้าผลิตภัณฑ์โคมไฟฟ้าและแสงสว่างเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และน่าจะผลักดันให้ผลประกอบการบริษัทฯ เพิ่มขึ้นทิศทางเดียวกัน ดังนั้น บริษัทฯ มั่นใจผลประกอบการทั้งปี 2554 ยังเป็นไปตามเป้าหมายเดิมโดยรายได้เติบโต 20% จากปีก่อน
       “ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกที่ผ่านมาถือว่าน่าพอใจ เพราะในประเทศปีนี้เองมียอดขายที่เพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และยังมีการเปิดห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่หลายแห่ง รวมถึงมีร้านค้าย่อยในห้างสรรพสินค้าอีกจำนวนมาก ขณะที่ยอดขายเพื่อส่งออกต่างประเทศก็เพิ่มขี้นเช่นเดียวกัน ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้ยอดขายของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น โดยแม้สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น อาจทำให้การขนส่งสินค้าไปยังลูกค้าประสบปัญหาล่าช้าบ้าง แต่บริษัทฯ มีแผนบริหารจัดการที่ดี ซึ่งมั่นใจว่ารายได้รวมทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมาย 20% ได้” นายปกรณ์ กล่าว
**QLT มั่นใจรายได้-กำไรปีนี้โต 20% จากปีก่อน แย้มหาพันธมิตรลุยตลาดเวียดนามคาดได้ข้อสรุป Q3/55
       นายสรรพัชญ์ รัตคาม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลลีเทค จำกัด (มหาชน)(QLT) กล่าวว่า คาดว่ารายได้ในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ในระดับ 20% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 279 ล้านบาท มาที่ 320 ล้านบาท โดยรายได้ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 247 ล้านบาท
       สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4 แม้จะยังมีความไม่แน่นอนมากนัก เนื่องจากเกรงว่าอาจได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ซึ่งอาจทำให้รายได้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 3/54 แต่ทั้งนี้บริษัทฯจะสามารถรับรู้รายได้จาก Backlog ในไตรมาส 4 ที่ 70 ล้านบาท จากมูลค่า Backlog ที่ 220 ล้านบาท และในส่วนที่เหลืออีก 150 ล้านบาทจะรับรู้รายได้ในปีถัดไป
       ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิในปีนี้ นายสรรพัชญ์ คาดว่ามีโอกาสที่จะเติบโตสัมพันธ์ไปกับรายได้ที่คาดไว้ว่าจะเติบโตประมาณ 20% ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิในปีหน้าบริษัทฯมีความจำเป็นที่จะต้องพยายามควบคุมปัจจัยทางด้านต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯมีต้นทุนหลักจากการใช้แรงงานคน ซึ่งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท รวมทั้งนโยบายปรับเพิ่มค่าจ้างรายเดือนของแรงงานใหม่ที่จบปริญญาตรีที่ 15,000 บาท อาจส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิให้ลดลงประมาณ 5%
       จากปกติซึ่งเป็นไปได้ว่ากำไรสุทธิในปีหน้าจะทรงตัวจากปีนี้ อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้เตรียมงบลงทุนในปีหน้าไว้ 60 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานของแรงงาน และลดต้นทุนบางส่วนลงเพื่อรักษาระดับผลประกอบการให้ดีขึ้นจากปีนี้
       นายสรรพัชญ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาผู้ร่วมทุนเพื่อเป็นพันธมิตรในการขยายงานในประเทศเวียดนาม ซึ่งยังไม่สามารถสรุปแนวทางการร่วมทุนและแนวโน้มการดำเนินงานในประเทศดังกล่าวได้
       แต่เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นลักษณะงานโปรเจ็ก ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปราวไตรมาส 3/55 อย่างไรก็ตามแม้จะมีการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ แต่บริษัทฯยังคงคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 55 จะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 5% เช่นเดิม
       เนื่องจากมีการเติบโตของรายได้ส่วนอื่นๆทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการรับงานในรูปแบบโปรเจ็ก ทั้งในประเทศลาว บังคลาเทศ รวมทั้งมีการจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศพม่า ซึ่งสามารถสร้างรายได้ในระดับที่น่าพอใจและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
***โบรกฯ แนะซื้อ PYLON ให้ ราคาเป้าหมาย 4.59 บาท
       บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า PYLON ยังคงมีผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีปัจจัยบวกเอื้อหนุนการประกอบธุรกิจในปีหน้าอย่างดี พร้อมกับการดำเนินนโยบายอย่างอนุรักษ์นิยมของผู้บริหาร นอกจากนี้ PYLON ยังให้ผลตอบแทนที่สูงแก่ผู้ถือหุ้น เราปรับประมาณการ และราคาเหมาะสมขึ้น จากประโยชน์ที่ได้รับจากอัตราภาษีใหม่ และยังคงยืนยันคำแนะนำ “ซื้อ”
       PYLON รายงานกำไรสุทธิใน 3Q54 ที่ 20.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% qoq และ 376.2% yoy และสร้างรายได้สูงสุดใหม่ที่ 270 ล้านบาท จากอัตราการใช้เครื่องจักรเกือบเต็มกำลัง และจำนวนวันทำงานที่มากกว่า 2Q54 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 19.0% ใน 2Q54 เหลือ 13.3% จากการรับรู้งานประเภทที่มีค่าวัสดุรวมอยู่ในจำนวนมากขึ้น เราคาดว่าอัตรากำไรจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังงานในมือเหลืองานโยธาเพียง 8% ส่วน 4Q54 แนวโน้มรายได้ชะลอตัวลงจากความล่าช้าในการจัดส่งวัสดุจากผู้จำหน่าย กดดันอัตราการใช้เครื่องจักรลดลง 20% เป็น 70-80% ในระยะสั้นราว 20 วัน ขณะที่หน้างานก่อสร้างไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมแต่อย่างใด ปัจจุบันกลับมาทำงานปกติแล้ว
       แม้งานอาคารสูงใหม่จะชะลอในช่วง 6 เดือนข้างหน้าจากกำลังซื้อที่ลดลง และอุปทานที่เหลืออยู่ราว 30,000 หน่วย แต่งานในมือ 929 ล้านบาทเพียงพอสำหรับรับรู้รายได้ระหว่างรอการฟื้นตัวใน 2H55 ซึ่งเชื่อว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปอาศัยบนคอนโดมีเนียมมากขึ้นหลังเผชิญวิกฤติน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปี ขณะที่การเปิดหน้างานรถไฟฟ้า 3 สายพร้อมกันในปีหน้าจะทำให้อุปทานในงานเสาเข็มเจาะตึงตัว จากการที่มีผู้รับเหมางานเฉพาะทางกลุ่มนี้เพียง 5-6 รายใหญ่ในตลาด ซึ่งเรามองว่าอำนาจการต่อรองของผู้รับเหมางานเข็มเจาะจะสูงขึ้น และสามารถผลักต้นทุนวัสดุก่อสร้างหรือค่าแรงที่จะเพิ่มสูงขึ้นให้กับผู้ว่าจ้างได้ นอกจากนี้เราคาดว่างานด้านชลประทานจะมีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีกับไม่กี่บริษัทที่มีประสบการณ์งานด้านนี้ โดยเฉพาะ PYLON ซึ่งเคยทำงานปรับปรุงคุณภาพดิน (Jet grouting) คลองสุวรรณภูมิ มูลค่า 108 ล้านบาทมาแล้ว
       เราคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 2554 ที่ 89 ล้านบาท เติบโต 176% yoy โดยมองว่า PYLON ยังมีแนวโน้มผลกำไรที่ดีในปี 2555 ปัจจุบัน PYLON มีเงินสดเทียบเท่า 88 ล้านบาท หรือ 0.44 บาทต่อหุ้น ให้เงินปันผลสม่ำเสมอ โดยคาด 5.6% ในปีนี้, ROE สูง 21.4% และ Net Debt/Equity สถานะเป็นเงินสด นอกจากนี้เราเห็นด้วยกับนโยบายขยายกำลังการผลิตแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อรักษาอัตราการใช้เครื่องจักรในระดับสูงตลอดเวลา แต่ก็ไม่เสียโอกาสเพราะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อย่างรวดเร็วใน 3 เดือน เราปรับราคาเหมาะสมปี 2555 ขึ้น 11% จากอัตราภาษีปรับลดใหม่ปีหน้าเป็น 4.59 บาท อิง P/E 12F ที่ 9.0 เท่า ซึ่งปรับลดจาก 10.0 เท่า หลัง KELIVE ปรับเพิ่มความเสี่ยงตลาดในปี 2555 เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยยังมิได้รวม Upside จากงานด้านชลประทานที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในอนาคต