พฤหัสฯ 16 ก.ย.--eFinanceThai.com : 
รอบนี้ SPALI-LPN-PS

          SPALI-LH นำหุ้นอสังหาฯคึกคัก ดัน SET Index วานนี้ ปิดบวก 0.40% หลังวงการมองรับอานิงส์เงินบาทแข็งหวังธปท.ชะลอขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แถมมีข่าวดีและผลงานของบริษัทแต่ละแห่งหนุนโบรกฯ เชียร์ SPALI LPN PS
          หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลับมาคึกคักอีกรอบ วงการมองเงินบาทแข็งเกินไป ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ว่า ทางการอาจต้องเริ่มด้วยมาตรการไม่ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อไม่ได้มีส่วนต่างมากเกินไปกับเพื่อนบ้าน ดังนั้นจะทำให้กลุ่มอสังหาฯได้รับประโยชน์ ขณะที่ค่าPE รวม     ของกลุ่มนี้ยังต่ำกว่า 8 เท่า ขณะที่ SET มี PE ไปใกล้ 14 เท่าแล้ว ดังนั้นการกลับมาเก็งกำไรอสังหาจึงยังน่าเล่น
          ประกอบกับราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ เข้าสู่ช่วงการปรับฐานราคามานานกว่า 1 เดือน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นที่กำลังเข้ามาไม่ว่า ผลประกอบการที่กลับมา  เติบโต, Backlog ที่สร้าง New High เพราะณ สิ้น Q2/53 ปรับเพิ่มขึ้น ทะลุ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ , Presale ในงวดครึ่งหลังปี53 ที่น่าจะสูงกว่า ครึ่งปีแรกและ Sentiment ที่ดีจากการเปิดตัวโครงการใหม่ เชื่อว่าน่าจะทำให้ราคาหุ้นตอบสนองในเชิงบวก
          ส่งผลให้การซื้อขายหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์วานนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นยกแผงประกอบด้วย
บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ปิดที่6.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.40บาทหรือ 6.11% มูลค่าการซื้อขาย 1742.43 ล้านบาท
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ปิดที่ 12.30บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาทหรือ 6.03% มูลค่าการซื้อขาย 416.13 ล้านบาท
บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN ปิดที่2.82 บาท เพิ่มขึ้น 0.12บาทหรือ 4.44% มูลค่าการซื้อขาย37.78 ล้านบาท
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)หรือ PF ปิดที่ 4.60บาท เพิ่มขึ้น 0.12บาทหรือ2.68 % มูลค่าการซื้อขาย 47.83ล้านบาท
บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ปิดที่ 24.00บาท เพิ่มขึ้น 0.50บาทหรือ2.13 % มูลค่าการซื้อขาย 267.87 ล้านบาท
บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น0.15 บาทหรือ2.00% มูลค่าการซื้อขาย 469.72ล้านบาท
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE)ปิดที่ 6.50บาท เพิ่มขึ้น 0.10บาทหรือ 1.56% มูลค่าการซื้อขาย 63.88ล้านบาท
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือLPN ปิดที่ 9.90บาท เพิ่มขึ้น0.10บาทหรือ1.02% มูลค่าการซื้อขาย132.56 ล้านบาท
และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QHปิดที่ 2.60บาท เพิ่มขึ้น 0.02บาทหรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขาย 478.51ล้านบาท
          และเป็นแรงผลักดันให้ SET Index ปิดตลาดที่ 924.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.71จุดหรือ0.40 % มูลค่าการซื้อขาย 27,271.05ล้านบาท
 
** ดีบีเอสฯ มองข่าวดีของแต่ละบริษัท-ลุ้นคงดอกเบี้ยหนุนกลุ่มอสังหาฯ*
          ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นแต่ละตัววานนี้ ล้วนมีข่าวดีเป็นองค์ประกอบรายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH รับข่าวดีจากการที่บริษัทหันมาจับตลาดบ้านระดับล่างและได้รับผลตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดีในช่วงครึ่งปีหลัง จากเดิมที่จับเฉพาะกลุ่มลูกค้า   ระดับกลางและระดับบน และผู้บริหารออกมาให้ข่าวว่ากำไรในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว
          บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP รับข่าวดีจากการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท เอพี แปซิฟิก สตาร์ (รัชดา) จำกัด (APPS รัชดา) จำนวน 49% จากเออาร์อีพีดี และซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัทเอพี แปซิฟิก สตาร์(สาทร) จำกัด (APPS สาทร) จำนวน 49% จากเออาร์อีพีดีเอฟ เอเวอร์กรีน สาทร ส่งผลให้ APถือหุ้นใน 2 บริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 99.99% และ 99.99% ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวทำโครงการคอนโดมิเนียม ดังนั้น จะส่งผลให้ AP มีการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอีก บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH มีข่าวดีจากการที่คอนโดหลังสวนเริ่มเปิดขาย ซึ่งก็มีผลตอบรับค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน
          สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บริษัทให้น้ำหนักการลงทุน "ปานกลาง"สำหรับหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพราะยังมีความกังวลประเด็นดอกเบี้ย แม้ว่าธนาคารกลางแห่งประเทศไทยจะส่งสัญญาณว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกเพราะต้องการพยุงเงินบาทไว้ แต่คงต้องติดตามเป็นระยะ เพราะเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็อาจปรับขึ้นได้เช่นเดียวกัน
          สำหรับหุ้นเด่นที่บริษัทแนะนำมี 3 ตัว คือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS โดยมีราคาเป้าหมายปี 2554 อยู่ที่ 12.25 บาท ,14.30 บาท และ 27 บาท ตามลำดับ
          ในขณะที่ บริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP ก็น่าสนใจ โดยล่าสุดทางดีบีเอส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น "ซื้อ"ราคาเป้าหมายปี 2553 ที่ 8.72 บาท
 
**CGS มอง แรงหนุนจากขอแก้พ.ร.บ.การเช่าอสังหาฯให้ต่างชาติเช่าเพิ่มเป็น 50ปี **
          นักวิเคราะห์จาก บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS)กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นวานนี้ น่าจะมีสาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ประกอบการบริษัทอสังหาริมทรัพย์รวมตัว     กันยื่นหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชย์และอุตสาหกรรม จากเดิมสูงสุด 30 ปี ขอขยายระยะเวลาเป็นสูงสุด 50 ปี หากมีการแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวตามข้อเรียกร้องก็น่าจะเป็นแรงดึงดูดให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น
          สำหรับกลยุทธ์การลงทุน มองว่า บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI น่าสนใจ เพราะยังมีโอกาสที่ผลประกอบการจะออกมาดีและมีการจ่ายปันผลให้กับสมาชิก ประกอบกับราคาที่ยังไม่สูงมากนัก บริษัทให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 13.50 บาท
 
**บล.พัฒนสิน ให้ราคาเป้าหมาย SPALI ที่ 15.20 บาท**
          ขณะที่ บล.พัฒนสิน แนะนำ ซื้อ SPALI ราคาเป้าหมาย 15.20 บาท ทั้งนี้ประเมินว่าช่วงปี 2548 ถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เชื่อว่า SPALI ยัง undervalued เนื่องจากมีการประเมิน    มูลค่า PER ในระดับที่น่าดึงดูดใจลงทุน, มีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง และ มีแนวโน้มการเติบโตกำไรที่เห็นได้ชัดเจน จากอัตรากำไรที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งมีมูลค่า backlog      ในมือในระดับสูง ซึ่งเพียงพอสำหรับ secure ประมาณเกือบ 89% ของประมาณการรายได้ปี 2553F ที่ทำไว้ และ secure 46.5% ของประมาณการรายได้ปี 2011F ทั้งนี้ ปัจจัยผลักดันราคาหุ้นSPALI ในระยะสั้น มาจาก momentum presales ที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ รวมทั้งผลประกอบการช่วง Q4/53F ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสุดในปีนี้ จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโด “City Home ท่าพระ”, “Supalai Park @ Kaset”,และ “Supalai Premier รัชดา-สาธร-นราธิวาส” ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,398 ล้านบาท
         ปัจจุบัน SPALI มีการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 2554F PER ที่น่าดึงดูดใจคือที่ 5.9 เท่า เท่ากับระดับ PER เฉลี่ยในอดีต เชื่อว่า SPALI สมควรที่จะมีการ re-rate เนื่องจากมีแนวโน้ม    กำไรที่แข็งแกร่ง จาก backlog ในมือที่อยู่ในระดับสูง และ อัตรากำไรที่อยู่ในระดับแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ เราเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกำลังมีความสนใจลงทุนใน SPALI มากขึ้น และประเด็นสุดท้าย ราคาเป้าหมายปี 2554F สะท้อนแนวโน้ม upside 31% จากราคาหุ้น SPALI ในปัจจุบัน ประกอบกับ ให้การอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูงถึง 6.1%

**บล.ฟิลลิป มองราคาพื้นฐาน LPN อยู่ที่ 11.60 บาท แนะนำ “ซื้อ” **

          ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)ระบุว่า ยอดจอง 2 เดือนใน Q3/53 ได้มากกว่า 2.8 พันล้านบาท ซึ่งมาจากยอดจอง 90% ในการเปิดขายโครงการใหม่ Place        พระราม 9 เฟส 2 มูลค่า 2.5 พันล้านบาทช่วงเดือน ก.ค. 53 ดังนั้น Backlog ล่าสุดอยู่ที่ 17.8 พันล้านบาท ซึ่งประมาณ 4.5 พันล้านบาทจะรับรู้ใน H2/53 และอีก 11.5 พันล้านบาท  จะรับรู้ในปี 54 โดยกำหนดการรับรู้รายได้นี้คิดเป็น 85% และ 95%ของประมาณการรายได้ H2/53 และ 2554 ดังนั้น ทางฝ่ายจึงคาดหมายกำไรปี 53 และ 54เติบโต 15% และ       19% ทั้งนี้ ผลกำไร Q3/53 จะค่อนข้างต่ำเพียง 236 ล้านบาท (ลดลง 52%QoQ และ 41% YoY) เนื่องจากยอดรับรู้ H2/53 ทั้งหมดที่ 5.1 พันล้านบาท จะเข้าหนักในQ4/53             ที่ 3.3 พันล้านบาท เทียบกับ 1.7 พันล้านบาทสำหรับงวด Q3/53 แนวโน้มการทำกำไรยังเติบโตอย่างดีและต่อเนื่องไปถึงปี 54 อนึ่ง ทางฝ่ายปรับเพิ่มประมาณการกำไรใหม่ปี 53 และ 54 ขึ้นจากเดิม 4% และ 10% โดยมาจากการโอนที่เร็วขึ้น และปรับเพิ่มการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม Grand Unity ที่ LPN ถือหุ้น 20% จำนวน 60 ล้านบาท ซึ่งล่าสุด      มีBacklog รอรับรู้ปีหน้าที่ 2.5 พันล้านบาท (ณ Net Margin 12% และสัดส่วนถือหุ้น 20%:2,500*0.12*0.20 = 60)
         ทั้งนี้มอง Growth ที่แน่นอนไปถึงปี 54 และการคาดหมายการขายโครงการใหม่ที่ดีจะนำ ไปสู่ความต่อเนื่อง ของ Growth ไปถึงปี 55 อีกด้วย ราคาหุ้นที่อ่อนลงในช่วงนี้น่า    จะเป็นโอกาสในการลงทุน ทั้งนี้ P/E-2554 ของ LPN อยู่ระดับเพียง 8 เท่า ซึ่งต่ำโดยเปรียบเทียบกับ 10-11 เท่าของ AP, QH, PS, SPALI และ 15 เท่าของ LH อีกทั้ง EPS-2554 Growth ของ LPN ยังสูงกว่า 19% เทียบกับ AP (-5%), QH (7%), PS (13%), SPALI (-8%) และ LH (7%) ราคาหุ้น LPN น่าจะซื้อขาย P/E ใกล้เคียง 10-11 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยสูงสุดของ P/E ใน 8 ปีย้อนหลัง ที่ 9.50 เท่า หรือคิดเป็นราคาพื้นฐาน 11.60 บาท แนะนำซื้อ

**บล.โกลเบล็ก แนะ ซื้อ AP  หลังปรับเพิ่มประมาณกำไรปี 53-54 **
         บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก ประเมิน AP โดยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 53-54 เพิ่มขึ้น 14% และ 16% ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนส.ค. 53 บริษัทมียอดขายรอโอน (backlog) ที่แข็งแกร่งจากยอดขาย presale บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวในช่วง 2Q53 และยังดีต่อเนื่องใน 3Q53 ส่งผลให้ backlog อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาทแบ่งเป็นยอดขายบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ 3 พันล้านบาทและยอดขายคอนโดมิเนียม 1.6 หมื่นล้านบาท ประกอบกับโครงการ Rhythm รัชดาจะเริ่มโอน ในช่วง Q4/53 ทำให้เราปรับประมาณการยอดรับรู้รายได้ทั้งปี 53 เพิ่มขึ้น 6% เป็น 1.43 หมื่นล้านบาทซึ่งเพิ่มขึ้น 16%YoY ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 เพิ่มขึ้น 14% เป็น 2,345 ล้านบาทซึ่งเติบโต 20%YoY และปรับเพิ่มประมาณการยอดขายปี 54 เพิ่มขึ้น 14% เป็น 1.69 หมื่นล้านบาทส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 54 เพิ่มขึ้น เป็น 2.6 พันล้านบาทซึ่งเติบโต16%YoY
          เตรียมเปิดขายคอนโดมิเนียมพร้อมกัน 3 โครงการ : วันที่ 26 ก.ย.บริษัทเตรียมเปิดขายคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ 'Rhythm' พร้อมกัน 3 ทำเลที่ซ.สุขุมวิท 50 ซ.พหลฯ-อารีย์ และสาธร มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท กำหนดโอนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 56 และในช่วง Q4/53 จะเปิดขายคอนโดมิเนียม 2 โครงการมูลค่ารวม 4.2 พันล้านบาทในทำเลถ.พระราม 4 และงามวงศ์วานที่จะเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ในระดับกลาง-ล่าง และโครงการบ้านเดี่ยวที่ถ.กัลปพฤกษ์มูลค่ารวม 1.15 พันล้านบาทอีกด้วย
        ตามประมาณการกำไรสุทธิใหม่สำหรับปี 53 ทำให้ราคาเหมาะสมซึ่งคำนวณด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC 8.3% เพิ่มขึ้นเป็น 9.40 บาท(เดิม 8.50 บาท) สำหรับปี 53  ทั้งนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของAPจากการความเป็นมืออาชีพใน การพัฒนาโครงการและสามารถบริหารกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี และคงคำแนะนำ 'ซื้อ' สำหรับการลงทุน
ระยะยาว

**แบงก์ชาติ เผยกนง.ครั้งต่อไป จะนำค่าบาทแข็งมากำหนดทิศทางดอกเบี้ย**

          นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ใน       ครั้งหน้า จะนำปัจจัยเรื่องเงินบาท ที่แข็งค่าในขณะนี้ มาร่วมพิจารณาด้วย
          ทั้งนี้ กนง.จะประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 20 ต.ค.นี้ หลังเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% มาที่ 1.75% ซึ่งเป็นครั้งที่ 2
ในปีนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นครั้งแรก 0.25% เมื่อ เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ บาท/ดอลลาร์ ช่วงเที่ยงวันนี้ อ่อนค่าจากเมื่อวาน มาอยู่ที่ 30.91/96 แต่ยังอยู่ใกล้ระดับแข็งค่ามากสุดในรอบ 13 ปี