จันทร์ 9 ม.ค.2555--eFinanceThai.com :
หุ้นน้ำตาลหวานได้อีก

หุ้นน้ำตาลไทยอนาคตหวานเจี๊ยบ รับแนวโน้มพื้นฐานปี 55 สุดแกร่ง กำไรปี 54 กระฉูด พร้อมเตรียมจ่ายปันผล ด้าน KBS ราศีจับ หลังติดอันดับหุ้นเข้าใหม่กำไรดีที่สุดใน SET ของปีที่ผ่านมา แถมติด SET100 ในปีนี้ ด้านเส้นเทคนิคสดใส โบรกฯ แนะซื้อ KSL ให้ราคาสูงสุด 21.46 บาท ส่วน KBS แนะซื้อราคาเหมาะสม 18 บาท
         หุ้นน้ำตาลไทยสดใสตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ทั้งพี่ใหญ่อย่าง บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL และน้องใหม่ของปี 2554 อย่าง บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ที่กอดคอกันบวก หลังจากปัจจัยพื้นฐานมีแต่ข่าวดีเข้ามาสนับสนุน ทั้งกำไรปี 2554 ที่พุ่งกระฉูด การจ่ายปันผล และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน และมีแนวโน้มสร้างกำไรก้อนโตในอนาคต ทำให้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ มีมุมมองในเชิงบวกกันถ้วนหน้า
         นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจน้ำตาลในปี 55 คาดว่าผลประกอบการยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากได้ ประเมินว่าในปีนี้จะมีปริมาณอ้อยที่จะนำมาผลิตทั้งอุตสาหกรรมประมาณ 100 ล้านตันอ้อยจากปีก่อนที่ทำได้ 9.5 ล้านตันอ้อย อย่างไรก็ตาม คงต้องประเมินอีกครั้งในช่วงที่ปิดหีบอ้อยในเดือน เม.ย.ว่าบริษัทฯใดจะสามารถมีปริมาณอ้อยเก็บไว้มากหรือน้อยเพียงใดเพื่อนำไป ขายให้แก่ลูกค้า โดยในเบื้องต้นได้ประเมินรายได้ธุรกิจของบริษัทฯน้ำตาลไว้ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10-15% ซึ่งประเมินว่าผลกำไรจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยวานนี้ (9 ม.ค.)ความเคลื่อนไหว ราคาหุ้น KSL ปิดที่ระดับ 14.40 บาท ลดลง 0.10 บาทหรือ -0.69% มูลค่าการซื้อขาย 30.91 ลบ. ส่วนราคาหุ้น KBS ปิดที่ระดับ 11.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาทหรือ +3.48% มูลค่าการซื้อขาย 247.83 ลบ.
** KSL โชว์กำไรปี 54 กระฉูด 1.88 พันล้านบาท
         นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)หรือ KSL เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มปริมาณอ้อยเข้าหีบในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 10-15% จากปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 6.17 ล้านตัน หลังโรงงานน้ำตาลบ่อพลอย เฟส 2 เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งงวดปี2554 มีกำลังการผลิต 1.1 ล้านตันอ้อย แต่งวดปี 2555 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตน้ำตาลจากบ่อพลอยเฟส 2 เพิ่มขึ้นอีก
         สำหรับ แนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลกปีหน้าอาจลดลง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับบริษัทเนื่องจากได้เตรียมความพร้อมด้วยการขายล่วงหน้าไปแล้ว 80% ดังนั้น ผลประกอบการก็น่าจะดีต่อเนื่อง และรายได้หลักในปีหน้ายังคงมาจากน้ำตาลเป็นหลัก ตามด้วยธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจผลิตเอทานอล และปุ๋ย และธุรกิจน้ำตาลในต่างประเทศ ตามลำดับ
         ทั้งนี้ KSL เผยปี 54 (สิ้นสุด 31 ต.ค.) กำไรเพิ่มอยู่ที่ 1.88 พันลบ. จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 158.69 ลบ. เพิ่มขึ้น 1,731 ล้านบาท หรือ 1,089%
** โบรกฯ ชี้มีลุ้นจ่ายปันผล
         บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า KSL อยู่ระหว่างเตรียมประกาศจ่ายเงินปันผล ซึ่งคาดว่าปี 2553/54 ซึ่งเป็นปีที่กลุ่มน้ำตาลทำกำไรได้มาก มีความเป็นไปได้ที่ KSL จะจ่ายปันผล 0.65 บาท/ หุ้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 15.50 บาท (อิง P/E 12 เท่า (fully diluted)
         นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าวว่า หุ้นกลุ่มน้ำตาลที่น่าสนใจได้แก่ KSL โดยแนะนำเก็งกำไร เพราะคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะออกมาเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นจึงได้เตรียมที่จะปรับเพิ่มการประเมินกำไรใหม่จากปัจจุบันประเมินไว้ที่ 1,769 ล้านบาท เพราะเมื่อปีที่แล้วได้ประเมินกำไรไว้ว่าจะทำได้ 1,700 ล้านบาทแต่บริษัทฯได้ประกาศผลการดำเนินงานแล้วพบว่ามีกำไรถึง 1,900 ล้านบาท ส่วนราคาหุ้นยังถือว่ามีUPSIDE ถึง 30% เพราะปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ที่ 14.40 บาท ซึ่งประเมินราคาพื้นฐานปีนี้ไว้ที่ 19.00 บาท
         นอกจากนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมีมุมมองในเชิงบวก ต่อหุ้น KSL ดังนี้
         เอเซียพลัส แนะ ซื้อ Fair value 21.46 บาท
         กรุงศรีอยุธยา แนะ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานที่ 16 บาท
         ฟิลลิป แนะ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเหมาะสมปี 55 ที่ 14.65 บาท
         บัวหลวง แนะ 'ซื้อ' เป้าหมายพื้นฐาน 18.00 บาท
         ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 17.00 บาท

** เตรียมโกยกำไรจาก ลาว -กัมพูชา
         นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่าคาดว่าในปีหน้าโรงงานน้ำตาลทั้ง 2 แห่งในลาวและกัมพูชาจะเริ่มทำกำไรให้กับบริษัท หลังจากที่ได้ลงทุนไปค่อนข้างมาก และยังมีผลขาดทุนมาตลอด โดยในปีหน้าจะเป็นปีของการเก็บเกี่ยวผลกำไร แม้ว่าโรงงานทั้ง 2 แห่งจะยังเดินเครื่องกำลังการผลิตได้ไม่เต็มที่เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ แต่คาดว่า ภายใน 3-4 ปีจากนี้ กำลังการผลิตที่โรงงานทั้ง 2 แห่งจะเต็ม 100%
         'ที่ลาวและพม่า ชาวไร่เขายังไม่มากเหมือนในไทย และเราเข้าไปดูแลเองไม่ไหว ดังนั้น ก็ต้องรอให้ชาวไร่มากขึ้น คาดว่าใช้เวลา 3-4 ปี ตอนนั้นเราก็จะใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ เพราะขณะนี้รอแค่วัตถุดิบเท่านั้น เนื่องจากโรงงานเราพร้อมแล้ว' นายชลัช กล่าว
         สำหรับยอดขายในเดือนธันวาคมปีนี้ เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากประมาณ 10-15% เมื่อเทียบกับยอดขายเฉลี่ยต่อเดือนซึ่งปกติอยู่ที่ 11,000 ตันหรือ 250 ล้านบาท เนื่องจากดีมานด์น้ำตาลมีมาก จากคำสั่งซื้อของลูกค้าในภาอุตสาหกรรมที่ชะลอไว้ตอนน้ำท่วมในช่วง 2 เดือนก่อน ขณะที่ยอดขายจากต่างประเทศยังคงปกติไม่ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง โดยปัจจุบันยอดขายจากต่างประเทศอยู่ที่ 70-75% ส่วนอีก 25-30% เป็นยอดขายในประเทศ
         ดังนั้นบริษัทยังคงยืนยันป้าหมายยอดขายในงวดปีหน้า(พ.ย.54-ต.ค.55)จะเพิ่มขึ้น 15% จากปีนี้ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล แต่กลับพบว่า ดีมานด์น้ำตาลเพิ่มขึ้นมากและเห็นชัดเจนตั้งแต่หลังน้ำท่วมคือเริ่มจากเดือนธันวาคม ประกอบกับโรงงานน้ำตาลบ่อพลอย เฟส 2 เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งงวดปี 2554 มีกำลังการผลิต 1.1 ล้านตันอ้อย แต่งวดปี 2555 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตน้ำตาลจากบ่อพลอยเฟส 2 อยู่ที่ 2 ล้านตันอ้อย ส่วนตลาดต่างประเทศยังไปได้ดี
         'แม้มีน้ำท่วมก็ไม่กระทบเราเลย ประมาณการยอดขายยังคงเหมือนเดิม ต่างประเทศก็ยังโอเค และสินค้าเราเป็นวัตถุดิบพื้นฐาน พอน้ำลดเห็นเลยว่ายอดขายเพิ่มขึ้นมาก' นายชลัช กล่าว
** KBS มองราคาน้ำตาลยังแกร่งถึงปี 57
         นายถกล ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2555 ว่าจะมีอัตราการขยายตัวดีต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากสต็อกน้ำตาลของบราซิลและสต๊อกน้ำตาลทั่วโลกยังอยู่ในระดับที่ต่ำ อีกทั้งจากรายงานผลการสำรวจพื้นที่เพาะปลูกในบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดในโลก พบว่าไม่มีการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำตาลรวมถึงการขยายพื้นที่เพาะปลูกด้วย บวกกับสภาพอากาศที่แปรปรวนไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ทำให้คาดว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลก มีแนวโน้มจะยืนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ราว 22-35 เซ็นต์ต่อปอนด์ ต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงปี 2557
         สำหรับผลประกอบการของ KBS ในในรอบปี 2554 (งวดเดือน ตุลาคม 2553 ถึงเดือนกันยายน 2554) มีกำไรสุทธิ 800.95 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับผลประกอบการของปี 2553 ที่มีผลกำไรสุทธิ 168.02 ล้านบาท บริษัทมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 632.93 ล้านบาท คิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 376.70
         สาเหตุหลักที่กำไรประจำปี 2554 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการปี 2553 ส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิต และทำให้บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มากกว่าปีก่อน 36.58 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2554 จำนวน 2.88 ล้านตัน เทียบกับปี 2553 จำนวน 2.01 ล้านตัน เท่ากับเพิ่มขึ้น 0.87 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ทั้งนี้ปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งประเทศปี 2554 จำนวน 95.36 ล้านตัน เทียบกับปี 2553 จำนวน 68.5 ล้านตัน เท่ากับ เพิ่มขึ้น 26.86 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากปริมาณอ้อยทั้งประเทศที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้การแข่งขันซื้ออ้อยระหว่างโรงงานน้อยลง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการจัดหาอ้อยลดลง ขณะที่ราคาเฉลี่ยน้ำตาลขายต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 7.64
** จ่ายปันผล 0.62 บาท
         จากผลประกอบการที่ขยายตัวดีต่อเนื่องทำให้คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2554 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.62 บาท รวมเป็นเงิน 310 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 หุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท คงเหลือเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายหุ้นละ 0.42 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 210 ล้านบาท พร้อมกันนี้ให้กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ในวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2555 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิเข้าร่วมประชุมและสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 8 ธันวาคม 2554 และรวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (ฉบับแก้ไข พ.ศ.2551) โดยวิธีปิด สมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2554 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555
** KBS สุดเจ๋งเป็นหุ้นเข้าใหม่ที่ทำกำไรได้สูงสุดใน SET
         นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่าบริษัทที่เข้าจดทะเบียนใหม่ในปี 2554 จำนวน 10 บริษัท โดยแบ่งเป็นเข้าจดทะเบียนใน SET จำนวน 3 บริษัท และในตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 7 บริษัท ทั้งนี้พบว่าให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่เข้าระดมทุน (IPO )จนถึงปัจจุบัน (ณ 21 ธ.ค. 2554) เฉลี่ย 41.54% นับเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยหุ้นเข้าใหม่ใน SET ที่ให้กำไรจากการถือหุ้นจนถึงปัจจุบันสูงสุด คือ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ที่ 20.88% และใน maiได้แก่ บริษัท ยูเนี่ยน อินทราโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ UIC ที่ 118.75% ตามลำดับ
** เข้า SET100 นลท.ไทย-ตปท.รุมจีบ
         นายถกล ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยว่าตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้คัดเลือกหลักทรัพย์ชุดใหม่ สำหรับการคำนวณดัชนี SET100 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 โดยเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2555 โดยในส่วนของ KBS ติดอยู่ในรายชื่อหลักทรัพย์สำหรับดัชนี SET100 นั้นสะท้อนว่า KBS เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมหรือ Market Capitalization สูงและมีสภาพคล่องในการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ
         โดยการนำหุ้นเข้าไปคำนวณดัชนี SET100 จากจำนวนหลักทรัพย์ทั้งหมดที่มีจำนวนหลายร้อยหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า KBS อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั้งในด้านมาร์เก็ตแค็ป สภาพคล่องและจำนวนนักลงทุนที่ให้ความมั่นใจเข้ามาถือหุ้นจำนวนมาก จึงถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลบวกกับบริษัทอย่างมาก เนื่องจากทำให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจหุ้นของเรามากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของกองทุนในประเทศที่มีการลงทุนในลักษณะตามดัชนีก็จะกระจายการลงทุนมาที่หุ้น KBS มากขึ้น ขณะเดียวกันนักลงทุนทั่วไปก็จะให้ความสนใจในตัวบริษัทมากขึ้นด้วยเช่นกัน
         บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า KBS ยังคงเป็นหุ้น Top pick ของเรา โดยเรามองว่ากลุ่มน้ำตาล โดยเฉพาะ KBS จะมีความเสี่ยงด้านผลการดำเนินงานที่ต่ำ จากปริมาณผลผลิตอ้อยของประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี และราคาขายในตลาดส่งออกที่ได้ล๊อคไว้หมดแล้ว เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 18.00 บาท (อิง P/E 10 เท่า) ขณะที่
** เส้นเทคนิคสุดสวย
         นักวิเคราะห์เทคนิค บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า สัญญาณเทคนิคราคาหุ้น KBS ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 12.30-12 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 11.50-11.30 บาท ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มว่าราคาจะไม่ปรับลงต่ำกว่าแนวรับดังกล่าว จึงแนะนำให้เก็งกำไร
         ส่วนสัญญาณเทคนิค ราคาหุ้น KSL พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากพอสมควร จึงควรระมัดระวังแรงขาย และแนะนำให้ขายทำกำไร โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 15 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 14-13.50 บาท