ศุกร์ 13 ม.ค.2555--eFinanceThai.com :
ปี55 หุ้นโรงกลั่นกำไรวูบ12%

โบรกฯ ชี้ กำไรปี55หุ้นโรงกลั่น BCP IRPC TOP และ PTTCG วูบ 12% หลังกำลังการผลิตใหม่เริ่มฟื้นแถมปัจจัยทางศก.อ่อนแอ คาดค่าการกลั่นขาลงเหลือ 5.5 จากปีก่อนที่ 7 เหรียญต่อบาร์เรล ด้านบิ๊ก BCP เชื่อ EBITDAปี55สูงกว่าปีนี้ที่คาดทำได้ 6 พันลบ.ส่วน PTTGC รับรายได้ปี55 สูงกว่าปีนี้เล็กน้อย ส่วน IRPC คาดQ4/54 ไม่ขาดทุนสต็อกน้ำมัน
* โบรกฯ ชี้ กำไรปี55หุ้นโรงกลั่นวูบ 12% ตามปัจจัยทางศก.ที่อ่อนแอ ระบุค่าการกลั่นวูบเหลือ 5.5 จากปีก่อนที่ 7 เหรียญต่อบาร์เรล
          บล.เกียรตินาคิน : กลุ่มธุรกิจโรงกลั่น น้ำหนักการลงทุน Neutralประเด็นสำคัญ โรงกลั่น Formosa ของไต้หวันเริ่มเปิดดำเนินการ CDU (Crude Distillation Unit) ที่ 1 ภายหลังซ่อมบำรุงจากเหตุขัดข้องทางเทคนิค และมีแผนจะเปิดดำเนินการ CDU ที่ 2 และ VDU (Vacuum Distillation Unit) ในช่วงกลางเดือน ม.ค. 55 และหน่วย RFCC (Residue Fluid Catalytic Cracker) ช่วงปลายเดือน ม.ค. 55
          การทยอยกลับมาผลิตในระดับปกติของ Formosa จะเป็นปัจจัยกดดันค่าการกลั่น เป็นปัจจัยลบต่อราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในกลุ่ม Light Product อย่างน้ำมันเบนซิน ซึ่งในช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน – น้ำมันดิบ (GRM) ปรับตัวลดลงเหลือ 8.46 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลง 52.6%qoq และลดลง 20.9%yoy
          คาดค่าการกลั่นปี 2555 อ่อนตัว สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง ในปี 2554 ที่ผ่านมามีโรงกลั่นขนาดใหญ่ในภูมิภาคหยุดดำเนินการผลิตนอกแผนจากเหตุเพลิงไหม้ 2 แห่งได้แก่โรงกลั่นน้ำมัน Shell และโรงกลั่น Formosa ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์สำคัญในกลุ่ม Light and Middle Distillate ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก เป็นปัจจัยบวกต่อ GRM รวมในปี 2554 ที่ผ่านมา ขณะที่เรามองว่าสถานการณ์ปัจจุบัน โรงกลั่นน้ำมันทั้ง 2 แห่งดังกล่าวทยอยกลับมาดำเนินการผลิต จะทำให้ค่าการกลั่นในผลิตภัณฑ์สำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงในปี 2555 ภาพรวมเชื่อว่าค่าการกลั่นรวมของธุรกิจโรงกลั่นในภูมิภาคจะลดลงจากปี 2554 ที่ผ่านมา คงสมมติฐานค่าการกลั่นเฉลี่ย (Average Market GRM) โรงกลั่นในประเทศในปี 2555 ไว้ที่ 5.5 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2554 ที่ระดับ 7 เหรียญต่อบาร์เรล
          ระยะสั้นราคาน้ำมันดิบ และ GRM ได้ประโยชน์จากกรณีอิหร่าน ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงอ่อนแอ ทำให้เรามองว่าปี 2555 จะเป็นอีกปีที่ราคาน้ำมันและค่าการกลั่นจะมีความผันผวนสูง เรามองว่าปัจจัยบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบ และ GRM อยู่ที่ความกังวลเหตุความขัดแย้งระหว่างชาติตะวันตกและสหรัฐ กับประเทศอิหร่าน กรณีการพัฒนาโครงการเพิ่มสมรรถนะแร่ยูเรเนียม และโครงการวิจัยนิวเคลียร์ แต่ปัจจัยพื้นฐานที่เป็นตัวกำหนด Demand ที่แท้จริง ยังไม่มีปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็น
          - ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกดดัน Demand การใช้น้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป
          - Supply ในปี 2555 ที่ IEA คาดว่าจะยังเติบโตในระดับใกล้เคียงกับ Demand
          - ปริมาณ Stock ที่ยังอยู่ในระดับสูง หลังล่าสุด American Petroleum Institute (API) รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบ ณ วันที่ 6 ม.ค. 55 เพิ่มขึ้น 0.4 MMB อยู่ที่ระดับ 334.88 MMB ทำให้ระดับปริมาณสำรองในปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา
          แนวโน้มกำไรสุทธิกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นปี 2555 อ่อนตัวตามภาวะอุตสาหกรรม ธุรกิจโรงกลั่นในประเทศ (BCP IRPC TOP และ PTTCG) ในปี 2555 เราคาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดลง 12%yoy เชื่อว่าค่าการกลั่นพื้นฐาน (Market GRM) จะอ่อนตัวลดลงจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันที่จะมีส่วนต่างการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าปี 2554 ที่ผ่านมา จะทำให้ธุรกิจโรงกลั่นมี Stock Gain ลดลง หรืออาจรับรู้ Stock Loss หากราคาน้ำมันดิบอ่อนตัว ขณะที่กรณีอิหร่าน จะเป็นปัจจัยบวกเพียงระยะสั้นเท่านั้น ทำให้เรายังคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นเป็นเพียง Neutral เท่านั้น
* เอเซียพลัส แนะลงทุนกลุ่มโรงกลั่น“น้อยกว่าตลาด” มองค่าการกลั่นปี 55 ขาลง
          บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า วิกฤติหนี้สาธารณะทั้งในทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ต่างๆชะลอตัวลง รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ดังนั้นทำให้ฝ่ายวิจัยคาดว่าทิศทางธุรกิจปิโตรเคมีที่เคยมีมุมมองว่าจะเข้า สู่ช่วง Peak ของอุตสาหกรรมได้ในปี 2555-56 อาจจะลดความร้อนแรงลงเหลือเพียงทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2554 ทั้งในส่วนของสายอะโรเมติกส์ที่ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ขั้นปลายสายโพลีเอส เตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอิงกับสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยได้ปรับตัวลดลงมีนัยฯ จึงทำให้ความต้องการใช้วัตถุดิบขั้นต้น อาทิ พาราไซลีน (PX) ชะลอตัวลงตาม ขณะที่ในส่วนของสายโอเลฟินส์นั้นอยู่ในสถานภาพที่ได้เปรียบกว่ากลุ่ม อะโรเมติกส์เนื่องจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ขั้นปลายไม่ได้หดตัวอย่างมี นัยฯจนส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ขั้นต้น เนื่องจากเป็นสินค้าในลักษณะที่เป็น Commodity grade มากกว่า ทั้งนึ้คาดน่าจะเริ่มเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาและ Spread ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่งวด 1Q55 โดยมีปัจจัยหนุนหลักจาก Supply ของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ขั้นต้นใหม่ในปี 2555 จะเข้าสู่ตลาดเพียง 3 ล้านตันต่อปีน้อยกว่าการเติบโตของความต้องการใช้เฉลี่ยต่อปีที่ 5 ล้านตัน ทำให้สถานการณ์ Demand และ Supply น่าจะเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงตัวอีกครั้ง
          มุมมองแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ในปี 2555 คาดจะอยู่ในทิศทางอ่อนตัวลง เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นถึง 3.13 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ความต้องการใช้ในปี 2555 คาดจะเติบโตเพียง 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะทำให้เกิดสถานการณ์ Oversupply ขึ้น แต่ทั้งนี้คาดว่าหากสถานการณ์ค่าการกลั่นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยฯ น่าจะทำให้ผู้ประกอบการโรงกลั่นจะมีการปรับลดกำลังการผลิตลงเพื่อรักษาค่าการกลั่นไว้ในระดับสูงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในระยะสั้น คาดทิศทางค่าการกลั่นยังคงเป็นไปตามฤดูกาล โดยจะกลับมาดีดตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายงวด 4Q54 ถึงต้นงวด 1Q55 ต่อเนื่องถึง 2Q55 ซึ่งเป็นการเข้าสู่ช่วงฤดูกาล(Seasonal) ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวในหลายประเทศทั่วโลก
          ฝ่ายวิจัยได้ทำการปรับลดคำแนะนำลงทุนกลุ่มปิโตรเคมี/โรงกลั่นเป็น “น้อยกว่าตลาด” จากเดิม “เท่ากับตลาด” เนื่องจากคาดจะยังมีปัจจัยกดดันในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า ดังนี้ 1) ภาพรวมทิศทางอุตสาหกรรมทั้งปิโตรเคมี และโรงกลั่นในงวด 4Q54 และต่อเนื่องไปในปี 2555 ยังไม่สดใส 2) คาดแนวโน้มกำไรกลุ่มฯในงวด 4Q54 อยู่ในทิศทางชะลอตัวจากงวด 3Q54 จากทั้งธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น และ 3) หากพิจารณาแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2555 พบว่าเพียงทรงตัวใกล้เคียงกับในปี 2554 อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยยังมีความเห็นว่า PTTGC เป็นตัวเลือกลงทุนที่ดีที่สุดในกลุ่มฯ โดยราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นยัง underperform ตลาด ซึ่งสวนทางกับทิศทางการเติบโตของ EPS ในปี 2555 ถึง 9.9%yoy
*บิ๊ก BCP เชื่อ EBITDAปี55สูงกว่าปีนี้ที่คาดทำได้ 6 พันลบ. หลังโรงกลั่น-โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์หนุน ส่วนรายได้ปี55 คาดทำได้ 1.5 แสนลบ.
          นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า แม้ว่ารายได้ในปี55คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 1.5 แสนล้านบาท แต่คาดว่าจะมี EBITDA ในระดับที่สูงกว่าปีนี้ที่ 6 พันล้านบาทซึ่งยังไม่รวมกับ stock gain เนื่องจากจะมีค่าพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้นจากน้ำมันยูโรโฟและ LPG ที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 3 พันตันหลังจากในปีที่แล้วบริษัทฯไม่ได้ขาย ขณะเดียวกันกำลังการผลิตโรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.2 หมื่นบาร์เรล/วัน จากปีนี้ที่มี 9 หมื่นบาร์เรล/วัน โดยในเบื้องต้นคาดว่าค่าการกลั่นจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 7 เหรียญ/บาร์เรล สูงกว่าปีนี้ที่ประมาณ 6 เหรียญ/บาร์เรล
          นอกจากนี้ ผลกระทบภาวะน้ำท่วมทำให้การไฟฟ้าจากโรงงานแสงอาทิตย์ขนาด 8 เมกกะวัตต์กับ 30 เมกกะวัตต์ ล่าช้ากว่าแผน โดยต้องเลื่อนไปจำหน่ายไฟฟ้าในปี 55 ซึ่งได้เสียค่าใช้จ่ายเปลี่ยนอุปกรณ์แต่ยังมีรายได้จากการเครมประกันภัยเข้ามาช่วยชดเชย โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังปี55 ส่วนแผนปิดซ่อมบำรุงในช่วงเดือน พ.ค.55 เป็นเวลา 30 วัน
          สำหรับ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงปี55คาดว่าจะอยู่ที่ 102-107 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าก่อน แม้ว่าจะมีปัจจัยลบที่มีผลต่อราคาน้ำมันคือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภาระหนี้สินประเทศสหรัฐและยุโรปรวมไปถึงปัญหาขัดแย้งของประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ แต่ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มประเทศแถบเอเชีย
          'ปีหน้า EBITDA จะดีขึ้นโดยธุรกิจโรงกลั่นมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าการขายปลีกน้ำมันตามสถานีบริการจะดีขึ้นเช่นกันจากการขยายสาขาเพิ่ม และรายได้ที่เข้ามาครึ่งปีหลังจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่ง'นายอนุสรณ์ กล่าว
          สำหรับบริษัทฯได้ตั้งงบลงทุนในปี 55ประมาณ 7 พันล้านบาทจากงบรวมแผน 5 ปีข้างหน้า (54-58) ที่มีงบลงทุนทั้งสิ้น 2.5 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้ในการลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 2 แห่งที่ชัยภูมิและบางปะหันรวม 16 เมกกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสรุปแผนได้ในช่วงไตรมาส1/55 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยรับรายได้ในช่วงปี 2556 นอกจากนั้น ยังมีแผนพัฒนาโรงกลั่นเพื่อลดต้นทุนการกลั่นรวมถึงลดมลพิษในอากาศเพิ่มเติม พร้อมกันนี้ยังจะวางแผนขยายสถานีบริการเพิ่มเติมอีก 5-6 แห่งและเทกโอเวอร์สถานีบริการน้ำมันเพิ่มเติมที่ปัจจุบันมีอยู่ในการพิจารณาแล้ว 10-20 แห่ง และค่าใช้จ่ายปิดซ่อมบำรุง 30 วัน ในเดือนพ.ค.ปี55
          ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯได้ตั้งเป้า EBITDAปี58 แตะ 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรายได้หลักจะมาจากค่ากลั่นที่เพิ่มขึ้นตามลำดับและความต้องน้ำมัน ที่ยังเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันหากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ทั้ง 118 เมกกะวัตต์ แล้วเสร็จทั้งหมดอย่างช้าในปี 2557 ซึ่งจะทำให้EBITDA เพิ่มขึ้นถึง 2.8 พันล้านบาทต่อปี โดยบริษัทฯก็ไดเร่งดำเนินการให้เเล้วเสร็จโดยเร็วเนื่องจากขั้นตอนต่างๆก็ ได้เรียบร้อยแล้วหลังจากการคณะกรรม(บอร์ด)ได้อนุมัติไปในช่วงที่ผ่านมา และจะส่งผลให้กำไรต่อหุ้นบริษัทฯเพิ่มขึ้นมากพอสมควรจากปัจจุบันอยู่ที่ เกือบ 4 บาท
          'หากประเมินผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตที่บริษัทฯแล้วถือว่ามูลค่าในตลาดหุ้นปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำและมีค่า P/E ที่ต่ำเช่นกัน แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาลงทุนของนักลงทุนว่าจะเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทฯหรือไม่ โดยที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติก็ยังให้ความสนใจในหุ้นของบริษัทฯที่มีทิศทางการเติบโตที่ดี และในปีหน้าจะเตรียมเดินหน้าไปโรดโชว์ต่างประเทศมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนต่างประเทศ'ดร.อนุสรณ์ กล่าว
*บัวหลวง เผย TOP ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อพื้นฐานโรงกลั่น แนะซื้อ ให้เป้าหมายพื้นฐาน 79.00 บาท
          บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระว่า จากการนำผู้บริหารของไทยออยล์ ได้แก่คุณนิธิมา เทพวนังกูร รองกรรมการผู้อำนวยการด้านการเงิน และผู้บริหารท่านอื่นๆ ไปพบกับนักลงทุนในสิงคโปร์และฮ่องกง ก่อนหน้านี้ โดยรวมเราคิดว่านักลงทุนที่เข้าพบมีมุมมอง NEUTRAL หรือเป็นลบเล็กน้อยต่อแนวโน้มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะแนวโน้มค่าการกลั่น เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตใหม่เริ่มดำเนินงานในปีนี้
          อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากำลังการผลิตใหม่ของโรงกลั่นจะเริ่มต้นในปีหน้า แต่ TOP ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อพื้นฐานโรงกลั่น โรงกลั่นบางส่วนอาจจะมีการปิดดำเนินงานเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปและสหรัฐอเมริกา ขณะที่ 10-15% ของการผลิตจากโรงกลั่นจะส่งไปยังโรงงานปิโตรเคมี ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในตลาดลดลง ด้านธุรกิจอะโรมาติกส์ TOP คาดว่าจะเข้าช่วงขาขึ้นของธุรกิจในไม่ช้า และจะต่อเนื่องจนถึงปี 2556 ปัจจัยหลักจากการขยายกำลังการผลิต PTA ขึ้นอย่างมาก
          แนวโน้มค่าการกลั่นรวมของบริษัท: บริษัทให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าค่าการกลั่นรวมในปี55 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 8-9 เหรียญต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ 8.5 เหรียญช่วง 9 เดือนแรกของปี นอกจากนี้ ช่วงขาขึ้นของอะโรมาติกส์จะเป็นอัพไซด์ต่อค่าการกลั่นรวม นอกจากแนวโน้มเชิงบวกจากช่วงขาขึ้นของค่าการกลั่นแล้ว ค่าการกลั่นของ TOP คาดว่าจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจาก (1) ค่าพรีเมียมของราคาน้ำมันดิบประเภท Light จะลดลง เนื่องจากการผลิตที่ลิเบียเพิ่มขึ้น และ (2) แนวโน้มที่รัฐบาลจะปรับราคาน้ำมัน ยูโร 4 ขึ้นหลังจากที่ประกาศใช้ในต้นปี
          นอกจากนี้ TOP จะใช้งบลงทุนสุทธิรวม 1.5 พันล้านเหรียญใน 5 ปีข้างหน้า ผู้บริหารกล่าวว่ากระแสเงินสด (Free Cash Flow) ประมาณ 500 ล้านเหรียญต่อปีจะสามารถคลอบคลุมงบลงทุนต่อปีที่ 300 เหรียญต่อปีได้อย่างสบายๆ (เงินส่วนที่เหลือจะจ่ายเป็นเงินปันผล) เมื่อถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการซื้อ ESSO ประเทศไทย TOP กล่าวว่ายังไม่มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ราคาจะเป็นตัวกำหนดว่าจะมีดีลดังกล่าวเกิดขึ้นหรือไม่ โดยบริษัทยังไม่ได้รีบร้อน ผู้บริหารกล่าวว่าเครือ ปตท. ยังคงมุ่งที่โอกาสในการเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินโดนีเซียและพม่า
*PTTGC รับรายได้ปี55 สูงกว่าปีนี้เล็กน้อย หลังแนวโน้มราคาน้ำมันพุ่ง คาดทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 104-105 ดอลลาร์/บาร์เรล
          แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า แนวโน้มรายได้ในปีนี้ (2555) คาดว่าจะสูงกว่าปี 54 เล็กน้อยเนื่องจากได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบทั้งปี 55 เฉลี่ยอยู่ที่ 104-105 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ว่าขณะนี้จะมีปัจจัยที่เข้ามากระตุ้นให้ราคาน้ำมันในโลกปรับตัวสูงขึ้นจากปัญหาความตึงเครียดของประเทศสหรัฐฯ และอิหร่าน แต่ประเมินว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ระยะสั้นเท่านั้นและคงจะเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายลง
          'ผมว่าอิหร่านก็มีแบ็คดีโดยเฉพาะรัสเซีย ซึ่งสงครามระหว่างประเทศคงเกิดขึ้นได้ยาก และหลังจากนี้อีกไม่นานสถานการณ์ต่างๆ คงจะคลี่คลายลง แต่ราคาน้ำมันคงจะลงยากและมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นไปอีก รวมไปถึงระดับความต้องการพลังงานและปิโตรเคมียังมีอยู่สูง ทำให้ในปี 55 รายได้รวมคงจะดีกว่าปี 54 ได้เล็กน้อย' แหล่งข่าวระดับสูง กล่าว
          อนึ่งก่อนหน้านี้นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้รวมปี54อยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท จากปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท แม้ว่าจะมีวิกฤตน้ำท่วม แต่ก็เชื่อว่าเป็นผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น ในขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ได้กระทบกับการส่งออกของบริษัทฯ มากนัก เนื่องจากตลาดส่งออกของบริษัทฯ อยู่ในภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก ซึ่งโดยปกติความต้องการโอเลฟินส์ของตลาดโลกจะอยู่ที่ประมาณ 3-4% และคาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้ากำลังการผลิตของโพลีเอสเตอร์น่าจะอยู่ที่ 6%
*IRPC คาดQ4/54 ไม่ขาดทุนสต็อกน้ำมัน แม้กำลังผลิตลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ส่วนผลงานทั้งปี54มองน่าพอใจ
          นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายแผนธุรกิจองค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) กล่าวกับ eFinanceThai .com ว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/54 ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนในขณะนี้ หลังจากที่บริษัทฯได้มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตลดลงแต่ถือว่าเป็นไปตามแผนงานของบริษัทฯ อย่างไรก็ดีคาดว่าในไตรมาสที่ 4 บริษัทฯจะคงไม่มีผลกระทบจากการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันสูงกว่าในช่วงไตรมาส 3/54 ทำให้ยังมั่นใจว่าผลประกอบการทั้งปี54จะออกมาเป็นที่น่าพอใจ
          'วอลุ่มในไตรมาส 4 คงจะลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านๆมา เพราะได้ปิดซ่อมบำรุงตามแผนงาน แต่คงจะไม่ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน เพราะราคาน้ำมันได้สูงกว่าในไตรมาสที่แล้วที่มีความผันผวนพอสมควร' นายอธิคม กล่าว
*โนมูระ พัฒนสิน มองกรณีรัฐขึ้นราคา LPGเป็น slightly negative ต่อ PTTGC-IRPC และเป็น neutral ต่อ TOP
          บทวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ตามที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กบง. ได้พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.41 บาท /กก. (จากปัจจุบันที่ 18 บาท/กก.) ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และเพื่อให้สามารถจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง นอกจากนี้ กบง. ยังเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นนั้น
          บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า การปรับขึ้นราคาขาย LPG ในภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลลบกับ end-users คือ ผู้ประกอบการในภาคขนส่ง และผู้ใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ รวมทั้งผู้ผลิตปิโตรเคมีที่ใช้ LPG เป็นวัตถุดิบในการผลิต
          อย่างไรก็ตาม เรามองผลกระทบต่อผู้ผลิตปิโตรเคมี ยังไม่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะผลกระทบต่อ PTTGC และ IRPC (กรณีนี้ไม่มีผลกระทบต่อ TOP) โดยเฉพาะ LPG ที่ผลิตได้เองและใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อเป็นเชื้อเพลิง หรือสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับภาครัฐบาล เพื่อลดหย่อนการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตรากิโลกรัมละ 1 บาท ในขณะที่ LPG ซึ่งบริษัทซื้อจากข้างนอก เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมี ต้องมีการจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อาจมีการเจรจากับลูกค้าขั้นต่อเนื่องให้แบกรับภาระบางส่วน
          ปัจจุบัน IRPC ผลิต LPG ได้เองราว 240,000 ตัน/ปี (ราว 20,000 ตัน/เดือน) ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีเองทั้งหมด ส่วน PTTGC มีสัญญาณขาย LPG ให้ Map Ta Phut Olefins Company (MOC : บริษัทลูกของ SCC) ราว 384,000 ตัน/เดือน (ราว 32,000 ตัน/เดือน) ซึ่งหลังสัญญาหมดอายุในเดือน มี.ค. -12F บริษัทอาจนำเอา LPG ปริมาณดังกล่าวมาใช้ในกระบวนการผลิตปิโตรเคมีเอง หากสามารถลดหย่อนการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ดังกล่าวข้างต้นซึ่งอาจชดเชยกับต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับปริมาณ LPG ที่ซื้อจากข้างนอก (จาก PTT เป็นหลัก) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีที่ตกราว 842,000-907,000 ตัน/ปี
          เบื้องต้นเราประเมินผลกระทบจากการจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตรา 1 บาท/กก. สำหรับปริมาณ LPG ที่ใช้ในขบวนการผลิตภายในบริษัทเอง และที่ซื้อจากข้างนอก (worst case) จะตกราว 235 ล้านบาท/ปี สำหรับ IRPC และราว 826-890 ล้านบาท/ปี สำหรับ PTTGC ซึ่งไม่มีนัยสำคัญต่อกำไรสุทธิ FY 12F ของบริษัท เนื่องจากคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% และ 2% ตามลำดับ
          การปรับขึ้นราคา LPG ดังกล่าว เพื่อนำส่งให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดจะทำให้ฐานะเงินกองทุนน้ำมันปรับตัวดีขึ้น โดยประมาณการฐานะกองทุนน้ำมัน (สิ้นสุด 27 ธ.ค.-11) ติดลบ 14,000 ล้านบาท และต้องอุดหนุนราคา LPG ราว 2.9 พันล้านบาท/เดือน (หากรัฐบาลไม่ดำเนินการปรับขึ้นราคา LPG) รวมทั้งเป็นการปรับโครงสร้างการใช้ LPG ที่บิดเบือนอยู่ในปัจจุบัน (เดิมภาครัฐฯ อุดหนุนราคา LPG โดยการตรึงราคาขายในประเทศที่ US$330/ตัน เพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือน แต่ภายหลังได้มีการใช้ LPG ในภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระการนำเข้า LPG ในปริมาณสูงในปัจจุบัน)
          เราประเมินประเด็นข่าวดังกล่าวเป็น slightly negative ต่อ PTTGC (FY12F TP : 91 บาท) และ IRPC (FY12F TP : 6.3 บาท) แต่เป็น neutral ต่อ TOP (FY12F TP : 83 บาท )ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เนื่องจาก LPG ที่ TOP ผลิตได้ ถูกขายเป็นเชื้อเพลิง ไม่ได้ถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมี