ศุกร์ 3 ส.ค.2555--eFinanceThai.com :
ได้เวลาหุ้นโรงแรม

*โบรกฯ คาด MINT-CENTEL ทำกำไรทั้งปีโตสูงสุด
        โบรกฯ ชี้ครึ่งหลังปีนี้หุ้นโรงแรมฟื้นรับ High Season คาดดันกำไรทั้งปีโตสูงสุด ชู MINT- CENTEL เป็นTop Pick แนะซื้อ ด้านเอเซียพลัส คาด CENTELปีนี้กำไร 1.09 พันลบ.สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัท ส่วนดีบีเอสวิคเคอร์ส สุดมั่น MINTโกย 3.2 พันลบ. 'กิตติรัตน์ 'คาด หากไร้การเมืองป่วน ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน
* ฟิลลิป พันธงครึ่งหลังปีนี้ หุ้นโรงแรมฟื้นรับ High Season
        บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า คาดผลประกอบการหุ้นกลุ่มโรงแรมใน 2Q55 ลดลง q-q เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล แต่เทียบ y-y คาดว่ายังเห็นการเติบโต โดยคาด MINT จะเติบโตสูงสุด ทางฝ่ายคาดใน 2Q55 จะเป็นจุดต่ำสุดในรอบปีของผลประกอบการกลุ่มโรงแรมและจะค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวใน 3Q55-1Q56 ทางฝ่ายแนะนำ “ลงทุนปกติ” โดย Top Pick แนะนำ “ทยอยซื้อ” MINT ราคาพื้นฐาน 16.10 บาท
        จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติใน 2M/2Q55 อยู่ที่ 3.18 ล้านคน เฉลี่ยอยู่ที่ 1.6 ล้านคน เติบโต 7.5% y-y แต่ลดลง 16.2% จาก 1Q55 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1.9 ล้านคนต่อเดือน และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 53.75% เพิ่มขึ้น 2.35% y-y แต่เทียบกับ 1Q55 จะลดลงจาก 66.4%
        จำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโต y-y คาดว่าจะหนุนให้ผลประกอบการหุ้นกลุ่มโรงแรมใน 2Q55 รายงานออกมาได้เติบโต y-y แต่เทียบ q-q คาดว่าจะชะลอตัวเนื่องจากปัจจัยฤดูกาล โดยทางฝ่ายคาดว่า MINT จะรายงานออกเติบโตสูงสุดเนื่องจากรวมผลประกอบการของ โรงแรมOAK ที่ออสเตรเลีย เทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้วยังไม่มี และ Centel จะมีกำไรเติบโตเป็นอันดับ 2 รองจาก MINT ซึ่งทั้ง MINT และ Centel ยังมีปัจจัยบวกจากธุรกิจอาหารที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยฤดูกาล และมีการเติบโตที่สม่ำเสมอ ในขณะที่ ERW ธุรกิจโรงแรมอย่างเดียวและ
        ทางฝ่ายคาดใน 2Q55 จะเป็นจุดต่ำสุดในรอบปีของผลประกอบการกลุ่มโรงแรมและจะค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวใน 3Q55-1Q56 ซึ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซมจากประเทศสมาชิกรวม 40 ประเทศ จากยุโรป และเอเชีย ในวันที่ 14-15 ต.ค. 55 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพ โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
        ทางฝ่ายแนะนำ “ลงทุนปกติ” สำหรับหุ้นกลุ่มโรงแรม โดย Top Pick แนะนำ “ทยอยซื้อ” MINT ราคาพื้นฐาน 16.10 บาท
* ฟินันเซียไซรัส คาดผลงาน MINT-CENTEL ทั้งปีทำจุดสูงสุดใหม่
        บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า ตัวเลขเศรษฐกิจเดือน มิ.ย. ขยายตัวชะลอลง จากการส่งออกที่หดตัว 4.3% Y-Y ทำให้ภาคการผลิตเพื่อส่งออกหดตัวตาม ส่วนการบริโภคและการลงทุนขยายตัวในอัตราเร่งไปแล้วในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังขยายตัวดี สอดคล้องกับแนวโน้มกำไร 2Q12 กลุ่มโรงแรมที่ดีกว่าที่เคยคาด กลุ่มโรงแรมยัง underperform SET (Tourism +14.7%YTD vs SET +16.4%YTD) ทั้งที่กำไรปกติปีนี้ เราคาด +123% กำไรสุทธิ +12% เชื่อว่ากลุ่มโรงแรมจะเป็นกลุ่มที่น่าสนใจถัดไป Top pick คือ CENTEL 
        ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มท่องเที่ยวจะแตะจุดต่ำสุดของปีใน 2Q12 เนื่องจากเป็น Low Season ส่งผลให้เป็นช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศน้อยที่สุดของปี แต่อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงสูงขึ้นกว่าปีก่อน ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานนั้นดีขึ้นกว่าปีก่อนได้ โดยเรามองว่าจังหวะดังกล่าวถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพื่อคาดหวังต่อผลการดำเนินงานที่จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นอีกครั้งใน 2H12
        จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของ 2Q12 ซึ่งโดยปกติจะเป็น Low Season แต่อย่างไรก็ตาม ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในเดือน เม.ย. เติบโต 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือน พ.ค. เติบโต 8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยว YTD 5 เดือนอยู่ที่ 8.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งส่งผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะโรงแรม
        จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เป็นช่วงต่ำที่สุดของปี เราจึงคาดว่าผลการดำเนินงานของทั้งกลุ่มจะแตะจุดต่ำสุดในไตรมาสนี้จาก Occupancy Rate ที่ลดต่ำลง Q-Q แต่อย่างไรก็ตามจะสูงขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากภาวะอุตสาหกรรมและจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อน และนอกจากนี้ MINT และ CENTEL ยังมีธุรกิจร้านอาหารเข้ามาช่วยเสริมผลการดำเนินงานในช่วง Low Season ไม่ให้ผันผวนมากเท่า ERW ซึ่งมีธุรกิจโรงแรมเพียงอย่างเดียว
        เรามองว่าผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะแตะจุดต่ำสุดใน 2Q12 นี้จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานได้ แต่ถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าซื้อเพื่อคาดหวังต่อการฟื้นตัวและเติบโตโดดเด่นใน 2H12 และผลการดำเนินงานทั้งปีทำจุดสูงสุดใหม่สำหรับ MINT และ CENTEL และจะเติบโตอย่างโดดเด่นมากกว่าเดิมใน 1Q13
*เอเซียพลัส คาด CENTELกำไรปีนี้ 1.09 พันลบ.สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัท
        บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า งวด 2Q55 ประเมินกำไรสุทธิ 160 ล้านบาท หากไม่รวมรายการด้อยค่าของมูลค่าสินทรัพย์จาก Property Fund ที่จะบันทึกประมาณ 18 ล้านบาท คาดมีกำไรจากการดำเนินงาน 178 ล้านบาท ฟื้นตัวโดดเด่นจากงวด 2Q54 ที่มีกำไร 42.5 ล้านบาท โดยธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 64.8% เทียบกับ 58% ในงวด 2Q54 และรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) เพิ่มขึ้น 13.6% yoy เมื่อรวมกับการรวมรายได้ของโรงแรมกะรน ภูเก็ต หลังเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น 34.5% เป็น 84.5% ตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา คาดส่งผลให้รายได้ธุรกิจโรงแรม (สัดส่วน 38%) เพิ่มขึ้น 31% yoy ด้านธุรกิจอาหาร (สัดส่วนรายได้ 62%) คาดเติบโตรวม 36% yoy จากการเติบโตของร้านอาหารเดิม 11%, การขยายสาขาร้านอาหารใหม่ 115 สาขาจากงวด 2Q54 (หรือ 17 สาขาจาก 1Q55) เป็น 634 สาขา และรายได้จาก Ootaya ที่ซื้อมาตั้งแต่เดือน ก.ย. 2554 เบื้องต้นจึงประเมินรายได้จากการดำเนินงานงวด 2Q55 เท่ากับ 3.43 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% yoy ด้านประสิทธิภาพการทำกำไรคาด Net Profit Margin –จะเพิ่มเป็น 4.7% จาก 1.7% ในงวด 2Q54 โดยงวด 1H55 คาดกำไรสุทธิ 726 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงาน 744 ล้านบาท เติบโตสูงเฉลี่ย 64% yoy
        ทิศทางกำไรงวด 2Q55 ที่เหนือความคาดหมายจากประสิทธิภาพการทำกำไรดีเกิน คาด ส่งผลให้แนวโน้มกำไรงวด 1H55 จะคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 85% ของประมาณการกำไรทั้งปี ขณะที่การดำเนินงานงวด 3Q55 แม้อยู่ในช่วง Low Season เหมือนงวด 2Q55 แต่เชื่อว่ายังเติบโตโดดเด่น YoY เนื่องจากธุรกิจโรงแรมได้อานิสงค์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และธุรกิจอาหารมีแนวโน้มดีตามการขยายสาขาใหม่ คาดจะผลักดันให้กำไรงวด 3Q55 ยืนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และจะมากขึ้นในงวด 4Q55 จากปัจจัยบวกช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปลายปี มากระตุ้นกำไรธุรกิจโรงแรมและอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงปรับเพิ่มประมาณการปี 2555 โดยหลักเป็นการปรับเพิ่ม Gross Margin และลดสัดส่วน SG&A/Sales ลงตามตารางด้านหลัง ซึ่งทำให้ Net Profit Margin เพิ่มเป็น 8% และกำไรสุทธิปี 2555 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 28% อยู่ที่ 1,098 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่บริษัทดำเนินกิจการมา และเติบโตโดดเด่นจากปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิ 550.39 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมรายการตั้งสำรองจากการค้ำประกันกองทุน CTARAF ประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นใน 3Q55
        อิงประมาณการใหม่ กำหนด Fair Value อิงวิธี DCF-WACC 9.3% ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2555 เท่ากับ 18.50 บาท มี upside 21% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ และเลือกเป็น Top Picks ของกลุ่มฯ จากศักยภาพการเติบโตของกำไรที่โดดเด่น และ Valuation เชิง PER ที่มีราคาถูกกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มฯ ที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน
*ดีบีเอสวิคเคอร์ส สุดมั่น MINTโกยกำไรปีนี้ 3.2 พันลบ.
        บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า คาดว่า MINT จะประกาศกำไรสุทธิ 2Q55 สุดสดใสโตถึง 44% y-o-y เป็น 401 ล้านบาท แรงหนุนนำมาจาก 1) ธุรกิจโรงแรมมีการฟื้นตัวดี ค่าเฉลี่ยอัตราการเข้าพัก (AOR) เป็น 66% เทียบกับ y-o-y ที่ 56% สืบเนื่องจากอุปสงค์การเดินทางที่ฟื้นตัวดี รวมทั้งการเปิดโรงแรมใหม่ๆ เมื่อปีก่อน (St.Regis, อนันตรา kihaya Maldives) รวมทั้งได้รับผลดีจาก Oaks 2) ธุรกิจอาหารจานด่วน (QSR) แข็งแกร่ง (อัตราเติบโต SSS (สาขาเดิม) 6.5%, อัตราเติบโต TSS (รวม) 13.6%, และการเติบโตสาขา 9%) รวมทั้งยอดขายอสังหาริมทรัพย์และการขายสมาชิก AVC ก็เป็นไปด้วยดี
        เราคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีอัตราการเติบโตของกำไรหลักถึง 74% เป็น 3.2 พันล้านบาท เพราะ 1) ผลการดำเนินงานโรงแรมสดใสมาก รวมทั้งการจัดทำงบรวมกับ Oaks เต็มปี 2) ยอดขายอสังหาริมทรัพย์และการขายสมาชิก AVC เป็นไปด้วยดี 3)การเติบโตของธุรกิจอาหาร ขณะที่การอุปโภคในประเทศมีแนวโน้มแข็งแกร่ง และ 4) อัตรากำไรสูงขึ้น เพราะ AOR โรงแรมสูงขึ้น เช่นเดียวกับการขาย St. Regis เราคาดว่าธุรกิจโรงแรมของ MINT จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลพวงจากธุรกิจท่องเที่ยวของไทยกลับมาแข็งแกร่ง เนื่องจากไทยยังมีแรงดึงดูดใจในเชิงการท่องเที่ยว และมีความคุ้มค่าอย่างมากในรูปตัวเงินต่อการเดินทาง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าไทยจึงเป็นตัวเลือกที่ดีในยามที่เศรษฐกิจโลกที่อ่อนลง
        คงคำแนะนำ ซื้อ เราได้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 55 และ 56 ในอัตรา 11% และ 16% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนกำไร 2Q55 ที่แข็งแกร่งเกินคาด รวมทั้งการขายสมาชิก AVC และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้น และหลังจากได้มีการเปลี่ยนปีในการประเมินมูลค่าหุ้นเป็นปี 56 แทนปี 55 ราคาพื้นฐานได้ปรับขึ้นเป็น 20.50 บาท (จากเดิม 16 บาท) ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF (wacc 9.4%, terminal growth rate 2%) แม้ว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นได้ดี แต่คิดเป็น P/E ปี 56 ที่ 15.5 เท่า ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 5 ปีย้อนหลัง อีกทั้งยังถือว่าถูกสุดในหลักทรัพย์ที่มีธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร
* 'กิตติรัตน์ 'หากไร้การเมืองป่วน ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน
        นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวหากในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรง และไม่มีภัยพิบัติธรรมชาติเข้ามากระทบ มั่นใจว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศในปีนี้ จะสูงกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการผลักดันให้ภาคการท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศให้มากขึ้น ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจ มีข้อสรุปว่า จะมีการเปิดสนามบินดอนเมืองให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 1 ส.ค.นี้ จากเดิมที่กำหนดว่าจะเปิดในวันที่ 1 ต.ค.เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว
*ททท. ปลุกกระแสเตรียมพร้อมท่องเที่ยวไทย ชูกรอบสามเหลี่ยมศก.ภาคใต้เชื่อมโยง AEC
        นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งประกอบด้วยความร่วมมือใน 3 ด้านหลัก คือ ประชาคมความมั่นคงอาเซียน ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และประชาคมเศรษฐ กิจอาเซียนในปี 2558 นั้น ททท. ได้เล็งเห็นความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเตรียมพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กอปรกับ ททท. ในฐานะเป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาอันใกล้ จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของประเทศไทยปี 2555-2557 โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อเตรียมพร้อมการรองรับAEC ร่วมกับการดำเนินงานเชิงรุก พร้อมติดอาวุธด้านการตลาดให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
        นอกจากนี้ ททท. ยังได้วางยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านการตลาดท่องเที่ยวเชิงรุก โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมการใช้นวัตกรรมทางการตลาดและเทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าการท่องเที่ยวและบริการทางการท่องเที่ยว โดยการส่งเสริมและสร้างกระแสตลาดท่องเที่ยวเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ ส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวสมัยใหม่ ทั้งยังส่งเสริมความร่วมมืออาเซียน เพื่อคงบทบาทผู้นำด้านท่องเที่ยวในภูมิภาค ซึ่ง ททท.ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานด้านการตลาดและการสื่อสารท่องเที่ยวอาเซียนในปี 2554-2555 ด้วย
        “ปัจจุบันภาคบริการมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนอย่างมาก โดยมีสัดส่วนสูงถึง 40-50% ของ GDP ประเทศสมาชิก โดยจากรายงานของ UNWTO: World Tourism Barometer ฉบับที่ 10 ณ เดือนมีนาคม 2555 พบว่าปี 2554 นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกจำนวน 980 ล้านคน เดินทางเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 217.1 ล้านคน และจากจำนวนดังกล่าวเดินทางเข้าภูมิภาคอาเซียนถึง 77.1 ล้านคน โดยประเทศไทยพบว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยในปีที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวกว่า 19 ล้านคน มีรายได้กว่า 7 แสนล้านบาท” นายสุรพล กล่าวในที่สุด