อังคาร 31 ก.ค.2555--eFinanceThai.com :
ยานยนต์ -เช่าซื้อราศรีจับ
 
* รับรัฐฯขยายเวลาส่งมอบรถคันแรก
          หุ้นยานยนต์ กอดคอกันเขียวเต็มกระดาน หลังครม.ขยายเวลาส่งมอบรถคันแรกแบบไม่มีกำหนด วงการเชื่อจะกระตุ้นให้ ประชาชนแห่ออกมาซื้อรถยนต์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ถล่มทลาย โบรกฯ ชี้จับตางาน Motor Expo จะร่วมกันดันยอดขายรถปี 55 แตะ 1.2 ล้านคัน เป็นประวัติการณ์ เชียร์ STANLY , AH , IHL และ SAT ด้านหุ้นกลุ่มเช่าซื้อไม่น้อยหน้ารับอานิสงส์เต็มๆ แม้มีความเสี่ยงเรื่องยอดซื้อรถยนต์ที่อาจจะหดตัวในช่วงปีหน้าก็ตาม ยก TCAP และ IFS เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม
          เป็นข่าวดีตั้งแต่ต้นสัปดาห์ สำหรับหุ้นกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มสินเชื่อยานยนต์ของไทย หลังจาก ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ที่จังหวัดสุรินทร์ มีมติอนุมัติขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกแบบไม่มีกำหนด แต่ต้องเป็นผู้ที่จองรถก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2555 เท่านั้น ซึ่งจากเดิมนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลจะให้ผู้ซื้อรถต้องยื่นแบบฟอร์มลดหย่อนภาษีก่อนวันที่ 31 ธันวาคมเช่นกัน
          และจากข่าวดังกล่าว ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มยานยนต์รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับสินเชื่อรถยนต์มีแรงเก็งกำไร และปรับตัวขึ้นมากันถ้วนหน้า เนื่องจากคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายรถยนต์จากค่ายรถต่างๆ จะเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายดังกล่าว
โดยหุ้นกลุ่มยานยนต์ที่สำคัญมีดังนี้
          AH ปิดการซื้อขายที่ระดับ15.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.20บาท หรือ 1.32% มูลคาการซื้อขาย 7.03 ล้านบาท
          IHL ปิดการซื้อขายที่ระดับ 8.40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลคาการซื้อขาย 10.24 ล้านบาท
          STANLY ปิดการซื้อขายที่ระดับ 208.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาท หรือ 0.97% มูลคาการซื้อขาย 5.41 ล้านบาท
          SAT ปิดการซื้อขายที่ระดับ 30.00บาท เพิ่มขึ้น 0.50บาท หรือ 1.69% มูลคาการซื้อขาย 26.65 ล้านบาท
ส่วนหุ้นกลุ่มสินเชื่อรถยนต์
          IFS ปิดการซื้อขายที่ระดับ 1.71 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 6.21% มูลคาการซื้อขาย 34.51 ล้านบาท
          KK ปิดการซื้อขายที่ระดับ 40.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.26% มูลคาการซื้อขาย 79.96 ล้านบาท
          TCAP ปิดการซื้อขายที่ระดับ 31.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.63% มูลคาการซื้อขาย 143.02 ล้านบาท
          TISCO ปิดการซื้อขายที่ระดับ 40.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.27% มูลคาการซื้อขาย 27.43 ล้านบาท
*** คาดจะหนุนให้ยอดขายรถปี 55 แตะ 1.2 ล้านคันเป็นประวัติการณ์
          บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า ประเด็นเรื่องการขยายเวลาส่งมอบรถยนต์คันแรก เป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มยานยนต์โดยเฉพาะตลาดรถยนต์ใน ประเทศให้มีความต้องการซื้อรถยนต์คันแรกเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 – 13 ก.ค. 2555 มีผู้ขอยื่นใช้สิทธิ์ฯ ตามโครงการรถยนต์คันแรกกับกรมสรรพสามิตแล้ว ประมาณ 93,833 ราย แต่จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์คาดในปีนี้จะมียอดสั่งจองรถยนต์ที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์รถยนต์คันแรกใหม่ประมาณ 4.25 แสน คัน ขณะที่บริษัทผู้ผลิตเร่งการผลิตแล้ว ก็ไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ทันในวันที่สิ้นสุด โครงการ (31 ธ.ค. 2555) ส่งผลให้เดิมผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ไม่สามารถรับรถยนต์และยื่นเอกสารหลักฐานได้ทันตามกำหนด
          ดังนั้นการขยายเวลารับและส่งมอบรถยนต์ออกไปแบบไม่มีกำหนด แต่ต้องจองซื้อให้ทันภายในสิ้นปี 2555 คาดจะทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มตัดสินใจซื้อรถยนต์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะงวด 2H55 ซึ่งมีปัจจัยบวกจากทั้งการ เปิดตัวรถยนต์ใหม่ต่อเนื่อง และงานแสดง Motor Expo มาผลักดันให้ทั้งปี 2555 มียอดขายรถยนต์ในประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.2 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 51.1% yoy คง แนะนำลงทุนมากกว่าตลาด เลือก SAT (FV @ 33.48 บาท) และ STANLY (FV@268.34บาท) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ
*** โบรกฯ ชี้เป็นแรงหนุนภาพรวมหุ้นไทยอีกทาง
          นายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังอยู่ในแดนบวกปิดที่ระดับ 1,193.32 จุด เพิ่มขึ้น 15.21 จุด นอกจากจะมีปัจจัยบวกจากดัชนีต่างประเทศ อาทิ ดัชนีดาวโจนส์ จากประเด็นเรื่องความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นศก.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
          ตลาดยังมีปัจจัยบวกสำคัญ จากประเด็นที่มติคณะรัฐมนตรี ขยายการส่งมอบรถคันแรกแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา จะส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวในภาคธุรกิจของกลุ่มยานยนต์ และกลุ่มธุรกิจเช่าซื้อยานยนต์ เนื่องจากจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ประชาชนที่ยังไม่กล้าที่จะซื้อรถในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะกังวลเรื่องปัญหาหารส่งมอบ เร่งซื้อรถยนต์เพื่อที่จะรับสิทธิรถคันแรกมากขึ้น
          สำหรับวันพรุ่งนี้คาดการณ์ว่า ดัชนีฯ ยังทรงตัวอยู่ในเชิงบวก โดยให้ติดตามการประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญทั่วไป ปี 2555 ที่จะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วิปรัฐบาล วาระ 3 ร่าง มาตรา 291 และพระราชบัญญัติปรองดอง ว่าผลการประชุมออกมาในทิศทางไหน ซึ่งจะส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองในประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
          นอกจากนี้ให้ติดตามผลการประชุมจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะยังไม่มีมาตรการใหม่ออกมา แต่หากผลการประชุมเป็นไปในทิศทางบวก จะทำให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มส่งออกและกลุ่มพลังงานมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะ BANPU
กลยุทธ์แนะนำ ให้นักลงทุนเลือกเล่นหุ้นรายตัว โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร , กลุ่ม ICT และกลุ่มพลังงานโดยประเมินแนวรับที่ 1,175 และ 1,170 จุด และ แนวต้านที่ 1,200 และ 1,210 จุด
*** FSS แนะ ลุยได้ทั้ง STANLY , AH และ IHL
          บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่าบริษัท บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (STANLY) กำไรอาจไม่ดีอย่างที่ตลาดคาด ซึ่งคาดว่ากำไรปกติ 1Q/13 (เม.ย.-มิ.ย. 2012) +23% Q-Q, +49% Y-Y แต่ตลาดคาดไว้สูงกว่านี้ แนวโน้มไตรมาสถัดไปก็ถูกกระทบจากการเดินเครื่องจักรใหม่เดือน ก.ค. การใช้กำลังการผลิตจึงต่ำเพียง 30% อัตรากำไรขั้นต้นจึงยังไม่ดีเท่าที่ควร แม้ยังให้คำแนะนำซื้อ (TP 230 บาท) แต่ บริษัท อาปิโกไฮเทค จำกัด (มหาชน) AH (TP 18 บาท), บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL IHL (TP 10 บาท) มี upside มากกว่า น่าสนใจกว่า นอกจากนี้ ผลกรประชุมของครม.สัญจรที่พิจารณาหลักเกณฑ์ซื้อรถคันแรก เป็น sentiment บวกต่อกลุ่มยานยนต์
 *** DBSV มั่นใจจะทำกำไรกลุ่มยานยนต์โตเท่าตัว

          บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่า เป็นเรื่องดีกว่าคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ที่ทางครม.ขยายเวลาส่งมอบรถคันแรกออกไปไม่มีกำหนด จากเดิมคาดว่าจะขยายระยะเวลาการส่งมอบออกไปประมาณ 6 เดือน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้ผลิตยังมีรถยนต์ค้างส่งมอบให้ลูกค้าอีกจำนวนมาก เมื่อมีการจองซื้อเพิ่มสมทบเข้าไปอีกในช่วงครึ่งหลังของปี 55 ก็จะส่งมอบได้ไม่เร็ว ขณะที่การส่งออกรถยนต์ยังไปได้ดีทั้งนี้ในช่วงครึ่งแรกของปี 55 (ม.ค.-มิ.ย.55) ไทยมีการผลิตรถยนต์ทั้งหมด 1,057,638 คัน เพิ่มขึ้น30.5%YoY และใน 3Q55 ทางสภาอุตสาหกรรรมแห่งประเทศไทยคาดว่าจะมีการผลิตเพิ่มขึ้น7.6%QoQ และ 26.6%YoY เป็น 600,920 คัน ซึ่งเป็นไปตามความต้องการซื้อที่สูงขึ้นเนื่องจากโครงการรถยนต์คันแรกที่จะมีการคืนภาษีฯไม่เกิน 100,000 บาทต่อตัน และความนิยมในรถ Eco car ที่เพิ่มขึ้นเราคาดว่าการผลิตรถยนต์ในปี 55 มีโอกาสสูงถึง 2.2 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 51%YoY จากปี 54 ที่ผลิตได้ 1.46ล้านคัน ซึ่งปริมาณการผลิตรถยนต์ที่สูงขึ้นมาก ทำให้ความต้องการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดตามไปด้วย
          ดังนั้นจึงคงคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของกลุ่มยานยนต์ปีนี้จะเติบโตเป็นเท่าตัวจากปี 54 และขยายตัวต่อ 20% ในปี 56 ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Overweight โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้เป็น บริษัท สมบูรณ์ แอ็ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 33 บาท), STANLY (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 230 บาท)
*** SAT มั่นใจตลาดรถยนต์โตได้ถึงปีหน้า
          นายวีระยุทธ กิตะพาณิชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมบูรณ์ แอ็ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SAT เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่ากลางเดือนหน้าบริษัทฯ จะเสนอคณะกรรมการปรับเพิ่มรายได้รวมปีนี้จากเดิมที่คาดเติบโต 35-40% เป็นเติบโต 40% ขึ้นไปเมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท เนื่องจากดีมานด์การซื้อรถเพิ่มขึ้นมากในช่วงครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกในครึ่งปีหลัง สืบเนื่องจากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อรถ ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับที่ดีตั้งแต่ปีที่แล้วและต่อเนื่องมาถึงปีนี้ เพียงแต่ปีที่แล้วเกิดสถานการณ์น้ำท่วมทำให้บริษัทผู้ผลิตรถส่งมอบรถไม่ทัน และส่วนใหญ่ได้เลื่อนมารับรถในปีนี้
          ในขณะที่ปีหน้าแนวโน้มก็จะดีต่อเนื่อง เพราะปีนี้ผู้ผลิตรถยนต์ 2-3 ค่ายจะเปิดตัวรถอีโคคาร์ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศปีหน้าก็น่าจะดีต่อเนื่องจากปีนี้เช่นเดียวกัน
          ทางด้านบล.ฟินันเซียไซรัส แนะนำ ให้ซื้อเก็งกำไรในหุ้น SAT ตามสัญญาณทางเทคนิค ประเมินแนวรับ : 29-28 บาท แนวต้าน : 31-32 , 32.50-33.50 บาท หลังจากราคาย้อนลงมาทดสอบแนวรับอีกครั้ง ขณะที่สัญญาณต่างๆ ทางเทคนิคยังดูดี ทำให้คาดว่าจะมีแรงซื้อจากแนวรับกลับเข้ามาผลักดันให้ราคาวิ่งขึ้นรอบใหม่ได้ ดังนั้นยังน่าเทรดดิ้งตามขึ้นไปรอทำกำไรที่แนวต้าน
*** TCAP ยิ้มรับนโยบายรัฐฯ แต่หวั่นทำยอดซื้อรถในปีหน้าหด
          นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ธนาคารธนชาต ภายใต้บริษัท ทุนธนชาต จำกัด(มหาชน)(TCAP) เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ถึง กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบอนุมัติขยายระยะเวลาการรับส่งมอบรถยนต์ รวมถึงเอกสารหลักฐานของราชการออกไปอย่างไม่มีกำหนด ในโครงการรถยนต์คันแรก ว่า จะส่งผลดีต่อธุรกิจยานยนต์โดยรวม ซึ่งในแง่ของสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้านั้น จะได้รับอานิสงส์ในการจัดลิสซิ่งได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะได้รับยอดเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปีหน้า เนื่องจากประเมินว่า ดีมานด์ที่เกิดการจองรถยนต์ภายในสิ้นปีนี้จะมีการทยอยส่งมอบและโอนรถภายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 และจะทำให้เกิดยอดทางธุรกรรมร่วมกับธนาคาร
          ขณะที่ในส่วนของผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์จะได้ประโยชน์จากการปลดล็อคการนำส่งรถยนต์ ทำให้แรงกดดันในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายลดลง รวมถึงในแง่ของผู้บริโภคจะเกิดความสบายใจในการใช้สิทธิ์ดังกล่าว
          อย่างไรก็ดี การขยายระยะเวลาโครงการในส่วนที่เพิ่มเติมนั้น เป็นการดึงดีมานด์และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อยู่ในปีหน้าเข้ามาภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจทำให้ตลาดรถยนต์ในครึ่งปีหน้าอาจจะแผ่วลงได้ แต่จาก 6 เดือนแรกของปีนี้ซึ่งหากผ่านการทยอยส่งมอบตามคำสั่งจองของลูกค้าแล้ว อาจทำให้ตลาดรถยนต์กลับมามีดีมานด์ปกติได้
          'ครม.อนุมัติแบบนี้ถือเป็นเรื่องดีเพราะเป็นการปลดล็อคของผู้ผลิตและจำหน่าย ทำให้แรงกดดันจากลูกค้าที่ต้องการรับรถลดลง และแรงกดดันในแง่ผู้ซื้อก็ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้รับสิทธิ์หากรับรถไม่ทันภายในปีนี้ ส่วนในด้านของธนาคารที่จัดไฟแนนซ์จะได้อานิสงส์จัดไฟแนนซ์ได้มากขึ้น แต่คงได้ในช่วงการทยอยส่งมอบรถที่จะมีการบุ๊คเข้ามาเป็นยอดธุรกรรม ซึ่งผลที่จะเห็นจริงๆ คือ 6 เดือนแรกของปีหน้าซึ่งจะส่งมอบ จากนั้นจะกลับมาเป็นดีมานด์ปกติ ส่วนสิ้นปีนี้เป็นดีมานด์ที่ไปรองรับการผลิตของปีหน้าและดึงกำลังซื้อของปีหน้ามาก่อน ทำให้ตลาดรถยนต์ปีหน้าช่วงต้นปีคงแผ่วลงบ้าง' นายอนุชาติ กล่าว
          ทางด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่าราคาหุ้นของ TCAP ยังไม่แพงอยู่ที่ PBV 1.0 เท่า ของปี 2555 ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มที่ 1.55 เท่า และจุดสูงสุดเดิมของ TCAP ในปี 2553 ที่ 1.2 เท่า แนะนำซื้อเก็งกำไร ประเมินราคาพื้นฐานที่ 35.50 บ.
*** IFS ไม่น้อยหน้าโบรกฯ ให้เป้าหมาย 2 บ.
          นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงหุ้นบริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IFS ว่าจะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวเต็มที่ของกลุ่มยานยนต์ ขณะที่ยอดจองรถทะลุไปปีหน้า ซึ่งส่งผลบวกกลุ่มผู้ให้สินเชื่อ ขณะเดียวกันคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน หรือกนง.ยังคงดอกเบี้ยไว้ต่ำก็เท่ากับว่าต้นทุนของกลุ่มนี้ถูกลงไป ขณะที่เวลาปล่อยกู้รถก็บวกดอกเบี้ยเข้าไป ส่งผลให้ทางกลุ่มสินเชื่อจะได้กำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ขณะที่ ค่า PBV และ PE ของกำไร 4 ไตรมาสย้อนหลังของกลุ่มนี้พบว่า IFS มีตัวเลขต่ำสุดในกลุ่มแสดงว่าราคาถูก และมี Book สูงถึง 4.8 บาท ด้านสัญญาณกราฟแสดงทิศทางอยู่ในเกณฑ์ดีประเมินแนวต้าน 1.80 บาท ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 2 บาท
          ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ธนชาต เปิดเผยว่าประเมินสัญญานทางเทคนิคของหุ้น IFS พบว่าราคาหุ้นวันนี้มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นแรง จึงแนะนำนักลงทุนขายทำกำไร โดยให้แนวรับไว้ที่ 1.66 บาท ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1.77 บาท
*** รายละเอียดครม.ขยายเวลาส่งมอบรถคันแรก
          ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2555 มีมติอนุมัติขยายเวลาการส่งมอบรถยนต์และยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกโดยมีแนวทางการดำเนินงานตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้
          1. ผู้ขอใช้สิทธิฯ ต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และต้องยื่นคำขอใช้สิทธิฯ และเอกสารประกอบการใช้สิทธิฯ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ดังนี้
          (1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
          (2) สำเนาทะเบียนบ้าน
          (3) สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ถ้ามี)
          (4) สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิฯ
          (5) ใบจองรถยนต์ (ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555)
         2. เนื่องจากในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ผู้ขอใช้สิทธิฯ อาจจะยังไม่ได้รับมอบรถยนต์หรือจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกไม่ทันตามกำหนดเวลาส่งผลให้ไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ได้ภายในวันสิ้นสุดโครงการฯ (31 ธันวาคม 2555) จึงผ่อนผันให้ผู้ขอใช้สิทธิฯ นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมมายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ดังนี้
          (1) หนังสือสัญญายินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก
          (2) สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์
          (2.1) กรณีการซื้อด้วยเงินสด
          - สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย
          - สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์
          (2.2) กรณีเช่าซื้อ
          - สำเนาใบเสร็จรับเงิน
          - สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์
          - สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ
          (3) สำเนาคู่มือจดทะเบียน
           3. หากผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ดำเนินการตามข้อ 3.1 และนำเอกสารเพิ่มเติมในข้อ 3.2 มายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอใช้ สิทธิ ฯ ไม่ประสงค์จะขอรับเงินคืนตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกและจะเรียกร้องสิทธิฯ และค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้
          อนึ่ง เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในเรื่องรถยนต์ใหม่คันแรกประสบความสำเร็จตามเป้าหมายและให้เกิดความคล่องตัว ควรให้กรมสรรพสามิตสามารถกำหนดแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไปได้
           4. ผู้ขอใช้สิทธิฯ จะได้รับเงินคืนหลังจากครอบครองรถยนต์ใหม่คันแรกไปแล้ว 1 ปี หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด ทั้งนี้ ชื่อผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 จะต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิฯ ดังกล่าวเท่านั้น หากเป็นบุคคลอื่นจะไม่ได้รับสิทธิฯ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการซื้อและขายใบจองรถยนต์
สาระสำคัญของเรื่อง
          1. กรมสรรพสามิตได้ดำเนินโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2555 เป็นระยะเวลากว่า 10 เดือน ซึ่งในช่วงแรกของโครงการฯ ประสบกับปัญหาอุทกภัยส่งผลกระทบต่อโรงงานผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่บางแห่งหยุดดำเนินการประมาณ 3-6 เดือน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีผู้สนใจซื้อรถยนต์ตามโครงการเพิ่มสูงมาก โดยผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าการผลิตรถยนต์ในปี 2555 จะสูงกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งเป็นตัวเลขการผลิตสูงสุดใหม่ นอกจากนี้โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกยังเป็นการสร้างการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์และเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ซื้อเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการผลิตรถยนต์ ECO-Car เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก เช่น ซูซูกิ Swift ฮอนด้า Brio นิสสัน Almera และมิตซูบิชิ Mirage ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยมี Product Champion สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์อีกประเภท หลังจากที่กรมสรรพสามิตประสบความสำเร็จในการใช้มาตรการทางด้านภาษีส่งเสริมรถยนต์กระบะและรถยนต์นั่งที่มีกระบะให้เป็น Product Champion ของประเทศไทยไปแล้ว
          ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2555 มีจำนวนผู้ยื่นขอใช้สิทธิฯ ตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกกับกรมสรรพสามิตแล้วประมาณ 93,833 ราย และจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายคืนประมาณ 6,823 ล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดว่าความต้องการซื้อรถยนต์คันแรกจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง
          2. จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าในปีนี้จะมียอดสั่งจองรถยนต์ที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์รถยนต์ใหม่คันแรกประมาณ 425,000 คัน ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตเร่งการผลิตแล้วก็อาจจะไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ได้ทันในวันที่สิ้นสุดโครงการ ฯ (วันที่ 31 ธันวาคม 2555) ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการฯ ไม่สามารถรับรถยนต์ได้ทันภายในปีนี้ จึงไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานได้ทันตามกำหนดเวลาข้างต้น
          3. เพื่อให้โครงการรถยนต์ใหม่คันแรกดำเนินไปได้อย่างราบรื่นอีกทั้งเพื่อชดเชยกับระยะเวลาที่โรงงานผลิตรถยนต์และโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่หยุดดำเนินการเนื่องจากประสบอุทกภัย กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ควรขยายเวลาวันสิ้นสุดโครงการฯ แต่เห็นควรขยายเวลารับและส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานบางรายการออกไป