พุธ 25 ก.ค.2555--eFinanceThai.com :
SCC มั่นใจกำไรครึ่งปีหลังฟื้น
 

* ครึ่งปีแรกผลงานหด39% เหตุธุรกิจเคมีคัลฉุด
         SCC คาดกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกที่หดตัว 39% มองธุรกิจเคมีคัลพลิกมีกำไรครึ่งปีหลัง พร้อมปรับเพิ่มยอดขายปีนี้เป็น 4.1 แสนลบ.ขณะที่ตั้งเป้า 5 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนยอดขายในอาเซียนไม่ต่ำกว่า 40% เล็งทบทวนแผนลงทุน 5 ปี ในเดือนหน้าโดยนำศก.โลกมาประเมินด้วย ขณะที่ใจดีแจกปันผลระหว่างกาลปี 55 อัตรา 4.50บาท/หุ้น ด้านโบรกฯ ยังเชียร์ซื้อ มองระยะยาวเป็นหุ้นพื้นฐานแจ่ม
         ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวานนี้(25 ก.ค.55)บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2555 มี กำไร สุทธิ 4,280.11 ล้านบาท ลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7,495.64 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 10,252.267 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16,702.884 ล้านบาท ขณะที่กำไรต่อหุ้นงวดไตรมาส 2/2555 อยู่ที่ 3.57 ลดลง จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรต่อหุ้น 6.25บาท
         ทั้งนี้ SCC หรือกลุ่มปูนใหญ่ ชี้แจงว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 มีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 4,280 ล้านบาท ลดลง 43%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือประมาณ 2,000 ล้านบาท จากทั้งบริษัทย่อยและบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์และได้รับผลกระทบจากการหยุดการผลิตของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด (BST)เอสซีจีมี EBITDA เท่ากับ 12,178 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 100,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ทั้งนี้กลุ่มปูนใหญ่มีกำไรสำหรับงวดลดลง 28% เนื่องจากเป็นฤดูกาลที่ปริมาณความต้องการสินค้าในธุรกิจซิเมนต์และธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลง
         นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง 2,000ล้านบาท และจากการหยุดการผลิตของ BST กลุ่มปูนใหญ่มี EBITDA เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสก่อน จากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม ในขณะที่มีรายได้จากการขายลดลง 2%จากไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายที่ลดลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์
         ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2555 กลุ่มปูนใหญ่มีกำไรสำหรับงวด 10,252 ล้านบาทลดลง 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากช่วงขาลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 จากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลงในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และจากการหยุดการผลิตของ BST
***บอร์ด SCC ไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล ปี 55 อัตรา 4.5 บาท/หุ้น
         ล่าสุด คณะกรรมการบริษัท SCC อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2555 ในอัตรา 4.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 5,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53% ของกำไรสำหรับงวด โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 23 สิงหาคม 2555กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 8 สิงหาคม 2555 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 สิงหาคม 2555
         ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SCC เมื่อวานนี้(25 ก.ค.)พบว่า เปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ระดับ 315บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากปิดตลาดวันที่ 24 ก.ค. หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลดลง ตามทิศทางเดียวกับตลาด โดยลดลงต่ำสุดที่ระดับ 311 บาท แต่หลังมีการประกาศผลประกอบการและมีการจ่ายปันผล ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น จนมาแตะระดับ สูงสุดที่ 318บาท และปิดตลาดที่ระดับ316 บาท เพิ่มขึ้น 1.00บาทหรือ 0.32% มูลค่าการซื้อขาย1,302.33 ล้านบาท
         ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ฟินันเซียไซรัส ประเมินสัญญาณทางเทคนิค ของ SCC พบว่าน่าสนใจเก็งกำไร เนื่องจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำเดิม ที่ 310 บาท และทรงตัวมาได้ระยะหนึ่งมีโอกาสลุ้นรีบาวน์ได้ต่อให้ แนวต้าน 330 -335 บาท แนวรับ 310 บาท
**SCC คาดกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก หลังธุรกิจเคมีคัลฟื้นตัว
         นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) เปิดเผยว่า คาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งบริษัทฯทำได้ที่ 10,252 ล้านบาท เนื่องจากสเปรดของธุรกิจเคมีคัลในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยล่าสุดสเปรดของ โพลีโพรพิลีน(PP) อยู่ที่ 555 เหรียญ/ตัน ดีกว่าไตรมาส 2 เล็กน้อยซึ่งอยู่ที่ 551 เหรียญ/ตัน ส่วนสเปรดของ HDPE ในไตรมาส 2 เริ่มดีขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 494 เหรียญ/ตัน สูงกว่าไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 375 เหรียญ/ตัน
         ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ปรับเพิ่มยอดขายปีนี้ขึ้นเป็น 410,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมซึ่งคาดไว้ที่ 400,000 ล้านบาท มาจากการขยายตัวในทุกประเภทธุรกิจ ยกเว้นเคมีคัลที่จะไม่โดดเด่นนัก โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯ ทำยอดขายได้ 203,425 ล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีหลังจะทำได้เพิ่มอีก 207,000 ล้านบาท
         'ทั้งนี้เรามองว่ายอดขายในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก โดยธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง กระดาษก็เช่นเดียวกัน แต่ซีเมนต์อาจไม่สูงนักเท่าครึ่งปีแรกซึ่งเป็นหน้าขาย ส่วนเคมีคัลครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกค่อนข้างมาก' นายกานต์ กล่าว
         อย่างไรก็ตามบริษัทฯตั้งเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้าจะรักษาสัดส่วนยอดขายจากอาเซียนอยู่ที่ประมาณ 40% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 39% สาเหตุที่สัดส่วนไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากหากยอดขายในประเภทใดที่เพิ่มมากพอในอนาคต บริษัทฯจะเข้าไปตั้งโรงงานในประเทศนั้นๆ ทำให้สัดส่วนยอดขายที่ไทยส่งออกไปในอาเซียนจะลดลง ทั้งนี้ ใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯมียอดการส่งออกทั้งสิ้น 56,000 ล้านบาท คิดเป็น 28% ของยอดขายทั้งหมด และในจำนวน 56,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน 39% จีน ฮ่องกง 18% ที่เหลือเป็นประเทศอื่นๆ
         'ถ้ายอดขายมากพอต่อไปเราก็ไปตั้งโรงงานที่นั่น อย่างปี 2010 เราส่งออกปูนซีเมนต์ไปพม่า 1.7 ล้านตัน ปีที่แล้ว 1.3 ล้านตัน ปีนี้คาดว่าจะ 2 ล้านตัน ปีต่อไปอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราได้รับอนุมัติให้สร้างโรงงานในพม่า ยอดส่งออกก็ลดลงเป็น 1.7-1.8 ล้านตัน' นายกานต์ กล่าว
         อย่างไรก็ดี ในเดือนหน้าบริษัทฯ จะทบทวนแผนการลงทุน 5 ปี โดยจะนำปัจจัยเรื่องความผันผวนของเศรษฐกิจโลกมาประเมินผลกระทบ เพื่อที่บริษัทฯ จะได้วางขอบเขตการลงทุนได้อย่างถูกต้อง แต่ในเบื้องต้นวงเงินที่ใช้ลงทุนใน 5 ปีข้างหน้ายังอยู่ในกรอบ 150,000-200,000 ล้านบาท และบริษัทฯ ยังคงเน้นขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน
         'เดือนหน้าเราจะรีวิวแผน 5 ปี โดยจะนำเรื่องเศรษฐกิจโลกมาประเมินด้วย แต่เรายังคงเน้นการลงทุนในอาเซียน แม้ว่าทางยุโรปจะมีปัญหาและต้องใช้เวลานานในการแก้ แต่คงไม่กระทบเรามากเพราะ 2 ไตรมาสที่ผ่านมาเราส่งออกไปยุโรปแค่ 1%' นายกานต์ กล่าว
         ส่วนกรณีที่สถานการณ์โลกมีความผันผวนมาก และบริษัทฯได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศจีนอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลกระทบกับบริษัทฯมากกว่ากลุ่มประเทศในยุโรป โดยบริษัทฯมีสัดส่วนการส่งออกไปที่จีนและฮ่องกง ณ สิ้นไตรมาส 2 ประมาณ 18% แต่ยุโรปมีเพียงแค่ 1% เท่านั้น ซึ่งหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจะเป็นความเสี่ยงที่กระทบต่อบริษัทฯ แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ในจีนเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เคยกำหนดไว้อย่างเข้มงวด ทั้งนี้เพื่อที่จะผลักดันให้จีดีพีของจีนสูงขึ้น 'ผมกังวลมากกว่าถ้าจีนเป็นอะไรไปน่ากลัว ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด ล่าสุด PMI ของจีนอยู่ที่ระดับ 49-50 ถ้าฟื้นมาที่ 50 ขึ้นไปได้ความสบายใจจะมีมากกว่านี้ แต่ทิศทาง 4-5 เดือนที่ผ่านมาก็เห็นว่าเริ่มดีขึ้น' นายกานต์ กล่าว
*** FSS เชียร์ ซื้อ เหตุราคาหุ้นปรับลงมาสะท้อนผลงานที่ตกต่ำแล้วและมีแนวโน้มดีขึ้นให้ราคาเป้าหมายใหม่ 380 บาท
         ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส แนะนำ ซื้อ เพราะเชื่อว่าผลประกอบการที่แย่ใน Q2/55 สะท้อนในราคาหุ้นปัจจุบันแล้ว อีกทั้งแนวโน้มผลประกอบการจะดีขึ้นใน H2/12 เนื่องจาก Margin ของธุรกิจปิโตรเคมีผ่านจุดต่ำสุดและฟื้นตัวชัดเจนใน Q2/55 และจะดีขึ้นต่อเนื่องในอนาคต นอกจากนี้ SCC มีแผนการลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการขยายตลาดวัตดุก่อสร้าง และพร้อมลงทุนก่อสร้างโรงานปูนซิเมนต์และกระดาษในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเสริมสร้างการเติบโตในอนาคต
         ผลประกอบการ Q2/55 ที่ทรุดหนักกว่าคาดทำให้ต้องปรับลดประมาณการกำไรทั้งปี 2012 และ 2013 ลง 19% และ 10% เป็น 24,376 และ 27,322 ล้านบาท ตามลำดับ และผลจากปรับลดประมาณการดังกล่าวกระทบต่อราคาเป้าหมายที่ประเมินด้วยวิธี DCF@WACC 9.5% ทำให้ได้ราคาเป้าหมายใหม่เป็น 380 บาท ลดลงจาก 400 บาท/หุ้น
*** DBSV เชียร์ 'ซื้อ' มองตลาดไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ดี ของ SCC ให้ราคาพื้นฐาน 390.00 บาท
         บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า SCC ได้เน้นถึงกลยุทธ์การขยายตลาดในอาเซียน และจำหน่ายสินค้า-บริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA: high-value added) ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า commodity grade ถึง 5-10% โดยการลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดภายในบริษัท ด้วยความคาดหวังอัตราผลตอบแทนที่ 15% จากการลงทุน สำหรับตลาดอาเซียนนั้นมีความน่าสนใจในประเด็นการมีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากถึง 600 ล้านคน ดังนั้นจึงเป็นที่คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะเป็นไปอย่างแข็งแกร่งใน 5-10 ปีข้างหน้า ดังนั้น SCC จึงอยู่ในตำแหน่งทางธุรกิจซึ่งจะสามารถตักตวงการเติบโตได้เป็นอย่างดี ขณะที่ความเสี่ยงนั้นอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
         คาดว่าอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดในQ1/55 ไปแล้ว โดยใน Q1/55 ส่วนต่างกำไร (spread) นั้นลดลงต่ำกว่าต้นทุนเงินสด (cash cost) เสียอีก แต่อัตรากำไรก็ได้มีการฟื้นตัว อีกทั้งอุปทานที่เพิ่มขึ้นก็จะไม่ทันกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งถึงปี 58 นอกจากนี้การขยายธุรกิจปิโตรเคมีในต่างประเทศคือ พม่า และอินโดนีเซีย ก็จะแล้วเสร็จใน H2/55 นี้แล้วนอกจากนี้ยังไม่เห็นข้อคุกคามจากคู่แข่งประเภทก๊าซที่มาจากหิน (shale gas) ซึ่งมีก๊าซ methane อยู่ (ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า) และ 10% เป็น ethane และ propane ที่เป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี SCC ได้ประเมินว่าจะมีการผลิตethylene ได้เพียง 11 ล้านตันจาก shale gas ในปี 60 หรือ 6% ของกำลังการผลิตจากทั่วโลก
         คงคำแนะนำ ซื้อ เชื่อว่าตลาดยังไม่ได้สะท้อนเรื่องปัจจัยพื้นฐานที่ดีของ SCC ซึ่งติดลำดับดีที่สุดในภูมิภาคแล้ว ไม่ใช่แค่ประเทศไทย เพราะ SCC เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการบริหารดีที่สุดใน SET บริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง และเป็นเพียงบริษัทไทยแห่งเดียวที่ได้คำนวณ Dow Jones Sustainability Indexแนะนำ 'ซื้อ' ราคาพื้นฐาน 390.00 บาท
***บล.ทรีนีตี้ มอง ครึ่งปีหลัง SCC ฟื้นตัวโดดเด่น ให้ราคาเป้าหมาย 390บาท
         บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าครึ่งปีหลังSCC จะฟื้นตัวโดดเด่น คงคำแนะนำ ซื้อ ลักษณะลงทุน : สเปรดในธุรกิจปิโตรเคมี PE-Naphtha และ PP-Naphtha ปัจจุบันปรับดีขึ้นอย่างมากถึง 100เหรียญ/ตัน จากค่าเฉลี่ยในไตรมาสสอง คาดจะทำให้กำไรธุรกิจปิโตรเคมีพุ่งขึ้นมีกำไรสูง ยังมีมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะยาว จากมีเงินสดและกระแสเงินสดสูง ตั้งเป้าลงทุนต่อเนื่องอีก 1.5 แสนล้านบาทระยะ 5 ปีนี้ คงคำแนะนำ ซื้อ ในลักษณะลงทุน ประเมินราคาเป้าหมาย 390 บาท เท่ากับ ค่าเฉลี่ย Forward P/BV
***KGI เชียร์ ซื้อ SCC รับแผนลงทุนระยะยาว 5 ปี มูลค่า 2 แสนลบ. ให้ราคาเป้าหมาย 395 บาท
         บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า SCC* เตรียมพิจารณาแผนลงทุน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2560 เป็นจำนวนมูลค่ามากถึง200,000 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัทจะเน้นการลงทุนในต่างประเทศ และลงทุนใน5 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ ปิโตรเคมี ซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง กระดาษ และการจัดส่งผลิตภัณฑ์ เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรปและปริมาณเงินสดที่มีอยู่ในระดับสูง สร้างโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ราคาถูกทั้งในยุโรปและเอเซียน โดยที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนเป็นจำนวนมากในอินโดนีเซียและเวียดนาม คิดเป็นเงินลงทุนเท่ากับ 970 และ 380 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสินทรัพย์ในอาเซียนประมาณ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ คิดเป็น 15% ของสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ประเมินการลงทุนดังกล่าว จะเริ่มสร้างผลกำไรในระยะยาวและให้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ต่ำกว่า 10-15% ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานบริษัทในอนาคตอย่างมั่นคง ดังนั้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 395 บาท
***ASP เชียร์ ซื้อ มองระยะยาวพื้นฐานแข็งแกร่ง พลิกฟื้นโดดเด่นในปี 56 ให้ราคาเหมาะสม 415 บาท
         ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า การรับรู้ผลขาดทุนสต็อกจำนวนมากในงวด Q2/55 ทำให้ฐานราคาวัตถุดิบสำหรับงวด Q3/55 ถูกปรับลงไปอยู่ในระดับต่ำ โดย Spread ของธุรกิจปิโตรเคมี ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเดือน ก.ค. จึงมีโอกาสที่จะเห็น gross margin ของธุรกิจปิโตรเคมีในงวด Q3/55 ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับโรงงาน BST ซึ่งรับ Feed Stock Mix-C4 จาก บริษัท Rayong Olefin แม้จะยังไม่ได้รับอนุญาต จากกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้กลับมาเปิดดำเนินงาน แต่ SCC ได้แก้ไขด้วยการติดตั้งระบบท่อสำหรับการส่งออก Mix-C4 โดยตรง จึงช่วยลดผลกระทบส่วนนี้ไปได้ ส่วนธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เริ่มได้รับอานิสงส์จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ สำหรับการฟื้นฟูประเทศจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่มีมากขึ้น โดยราคาถ่านหินที่ปรับลงต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยลดต้นทุนการผลิตของธุรกิจซีเมนต์และกระดาษลงด้วย
         ทั้งนี้ผลประกอบการงวด Q2/55 ที่คาดว่าจะปรับลดลงหนัก อาจสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้นในระยะสั้น และมีโอกาสที่ฝ่ายวิจัยจะปรับลดประมาณการกำไรปี 2555 ลง หลังการประกาศงบ Q2/55 แต่พื้นฐานในระยะยาวของ SCC ที่ยังคงแข็งแกร่ง และมีโอกาสที่กำไรจะพลิกฟื้นอย่างโดดเด่นในปี 2556 หลังธุรกิจปิโตรเคมีผ่านพ้นช่วงจุดต่ำสุดในปี 2555 ฝ่ายวิจัยจึงคงคำแนะนำ ซื้อ โดยกำหนด Fair Value ด้วยวิธี DCFจะให้ราคาเหมาะสมที่ 415 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ
***บอร์ดSCC ไฟเขียวทุ่ม 1.32 พันลบ. ลงทุนในสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ของธุรกิจซิเมนต์และกระดาษ
         นอกจากนั้น บอร์ด SCC ได้อนุมัติเงินลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 1,320 ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนของ SCC ในสินค้าและบริการทีมีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ของธุรกิจซิเมนต์และกระดาษ ดังนี้ 5ธุรกิจซิเมนต์: โครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตปูนสำเร็จรูปของบริษัทสยามมอร์ตาร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด โดยจะมีกำลังการผลิตเพิมขึ้น5 อีก 1 ล้านตันต่อปี ทีโรงงานแก่งคอยจังหวัดสระบุรี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2556 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตของสยามมอร์ตาร์เพิมขึ้น ถึง 3.1 ล้านตันต่อปี และจะช่วยเพิมความแข็งแกร่งให้กับการเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดปูนสำเร็จรูปปูนสำเร็จรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับงานก่ออิฐและงานฉาบผนัง มีคุณสมบัติลดการแตกร้าว สะดวกต่อการใช้งาน และใช้ในงานก่อ-ฉาบอิฐมวลเบาซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงใน ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา