พุธ 25 เม.ย.2555--eFinanceThai.com :
PTTEPกำไรโค้งแรกแจ่มโต64%
 
โบรกฯ เชีย์ร์ซื้อ ให้เป้า 198-225 บ.
PTTEP โชว์กำไรโค้งแรกปี 55 พุ่ง 64% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท จาก 1.09 หมื่นล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน หลังรายได้รวมเพิ่มกว่าหมื่นล้านบาท จากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ล่าสุดยุติโครงการ M7 แต่ยังเดินหน้าสำรวจในพม่าอีก 4 โครงการ ส่วนโครงการมอนทารา เริ่มผลิตQ4/55 ล่าสุด Shell ประกาศเป็นคู่แข่งซื้อกิจการ Cove Energy โบรกฯ แนะซื้อ ให้ราคาเป้าหมายตั้งแต่ 198-225 บาท
        เมื่อวานนี้ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2555 มีกำไร 18,288.325 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 10,978.835 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่คนในวงการคาดการณ์ไว้
        ขณะที่ ล่าสุด Shell Exploration and Production (XL) B.V. (Shell) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่สุดของยุโรป เห็นชอบเรื่องการซื้อกิจการ บริษัท Cove Energy โดยเพิ่มราคาเสนอซื้อเป็น 1.12 พันล้านปอนด์ (1.8 พันล้านดอลลาร์) หรือ 220 เพนซ์ต่อหุ้น จากเดิมที่ 195 เพนซ์/หุ้น เพื่อให้เท่ากับราคาที่เสนอโดย PTTEP ด้านไมเคิลบลาฮา ประธานบริหารของ Cove ระบุในแถลงการณ์ว่า Shell ถือเป็นหุ้นส่วนที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุม รวมทั้งมีประสบการณ์ด้านการดำเนินงานและการตลาดในอุตสาหกรรมก๊าซแอลเอ็นจี
        ส่วนความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTTEP เมื่อวานนี้ พบว่าราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายช่วงเปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 179.50 บาทและแตะระดับสูงสุดที่ระดับ 180.00 บาท
        อย่างไรก็ตามระหว่างการซื้อขาย ราคาหุ้นอ่อนตัวลงและแตะระดับต่ำสุดที่ระดับ 175.50 บาท ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 176.50 บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 0.56% มูลค่าการซื้อขาย 929.68 ล้านบาท
        ขณะที่ SET Index ปิดตลาดที่ระดับ 1201.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.50 จุดหรือ 0.13% มูลค่าการซื้อขาย 31,395.47 ล้านบาท
***ASP แนะ ซื้อลงทุนระยะยาว สำหรับ PTTEP ให้ มูลค่าพื้นฐาน 225.06 บาท***
        ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส (ASP)คาดการณ์กำไรสุทธิงวด Q1/55 เท่ากับ 1.74 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3%qoq เนื่องจาก 1) คาดราคาขายเฉลี่ยปิโตรเลียมปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.4%qoq โดยเป็นผลจากทั้งราคาขายก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 8.2%qoq มาเฉลี่ยอยู่ที่ 7.17 เหรียญฯต่อล้านบีทียู จากโครงการอาทิตย์ที่มีการทบทวนราคาขายในสัญญาใหม่ให้สะท้อนราคาตลาดในปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าในสัญญาเดิมราว 2 เหรียญฯต่อล้านบีทียู มาอยู่ที่ 6-7 เหรียญฯต่อล้านบีทียู โดยมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2555 รวมถึงโครงการยาดานา และเยตากุนที่มีการปรับราคาขายทุกไตรมาส เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่คาดในงวด Q1/55 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 8.8%qoq มาเฉลี่ยอยู่ที่ 111.71 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่คาดปริมาณจำหน่ายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 1.2%qoq มาอยู่ที่ 2.54 แสนบาร์เรลต่อวัน เพราะถูกกดดันจากกำลังการผลิตที่หายไปของโครงการอาทิตย์เหนือตามสัญญาซื้อขายที่สิ้นสุดลงตั้งแต่ปลายปี 2554 รวมถึงโครงการยาดานา และเยตากุน ที่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในช่วง 1-6 ม.ค. 2555 และ 2) คาดการบันทึกการตัดจำหน่าย (write-off) ลดลงอย่างมีนัยฯเหลือเพียง 100 ล้านบาท จาก 1 พันล้านบาท ในงวด 4Q54 และ 3) คาดบันทึกรายการพิเศษรวมราว 2.3 พันล้านบาท จากกำไร FX และสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในออสเตรเลีย
        ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ ภายใต้สมมติฐานราคาขายก๊าซธรรมชาติในปี 2555 ที่ 6.2 เหรียญฯต่อล้านบีทียู ซึ่งอาจต่ำกว่าที่เกิดขึ้นจริงที่อาจสูงถึง 7-7.5 เหรียญฯต่อล้านบีทียู แต่ทั้งนี้ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ไว้เช่นเดิม ภายใต้หลักความระมัดระวัง เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในการบันทึกการตัดจำหน่ายมูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านบาท จากโครงการในประเทศออสเตรเลีย (Maple) หากไม่คุ้มในการผลิตเชิงพาณิชย์ อีกทั้งโครงการมอนทารามีโอกาสเลื่อนผลิตเชิงพาณิชย์ออกไปเป็นต้นปี 2556 เนื่องจากสภาพอากาศและระยะเวลาการตรวจสอบการผลิตจากภาครัฐ รวมถึงอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการเพิ่มทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับแผนการขยายการลงทุนในอนาคตที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะส่งผลให้เกิด Dilution Effect ต่อ EPS และทำให้ Fair Value ใหม่ปรับตัวลดลงจากปัจจุบัน ภายใต้สมมติฐานและประมาณการปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2555 (DCF) เท่ากับ 225.06 บาทต่อหุ้น
        ส่วนกรณีที่Shell อาจซื้อกิจการCove Energy นั้น มองว่า ในระยะสั้นประเด็นดังกล่าวอาจถือเป็นประเด็นบวกต่อผู้ถือหุ้น เพราะจะเป็นการผ่อนคลายความกังวลในเรื่องการเพิ่มทุนในระยะอันใกล้ลงได้ แต่ในระยะยาวฝ่ายวิจัยยังคงเชื่อว่า PTTEP จะยังคงเดินหน้าหาโครงการลงทุนใหม่ๆอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของ PTTEP ในการเพิ่มปริมาณการผลิตให้ได้ 9 แสนบาร์เรลต่อวันภายในปี 2563 (จากปัจจุบันทที่ 2.8 แสนบาร์เรลต่อวัน) ซึ่งจะนำมาสู่การเพิ่มทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
        อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท Cove Energu Plc. ของ PTTEP ยังไม่สิ้นสุดลง เพราะการตอบรับตามประกาศดังกล่าวนั้นไม่ถือเป็นการประกาศการทำคำเสนอซื้อหุ้นตามข้อบังคับข้อที่ 2.7 ตาม Takeover Code ของสหราชอาณาจักรนอกจากนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าจะมีการยื่นข้อเสนอสุดท้ายโดย PTTEP ต่อไปหรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีระยะเวลาให้ Third Party ทำคำเสนอซื้อได้ภายใน 48 วันทั้งนี้ PTTEP กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางและจะประกาศอีกครั้งในภายหลังฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำซื้อ โดยเน้นการลงทุนระยะยาว ภายใต้มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2555(DCF) เท่ากับ 225.06 บาทต่อหุ้น โดยยังมี Upside จากราคาตลาดอีกทั้งหากพิจารณา PER ปัจจุบันที่ 11.2 เท่า พบว่ายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 12.5 เท่า
*** บล.เกียรตินาคิน แนะซื้อเก็งกำไร PTTEP ให้ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 198 บาท***
        ฝ่ายวิจัย บล.เกียรตินาคิน คาดว่า PTTEP จะมีกำไรสุทธิ Q1/55 เพิ่มขึ้น จากปัจจัยบวกราคาน้ำมันดิบที่แข็งแกร่ง พิจารณาปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบเพิ่มเป็น 110 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 55 เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 23.5% เป็น 59,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32%yoy ส่งผลให้ราคาเป้าหมายใหม่อยู่ที่ 198 บาท แม้ PTTEP อยู่ในช่วงของการขยายธุรกิจทำให้ยังมีความเสี่ยงต่อประเด็นการเพิ่มทุน แต่ประเด็นผลประกอบการที่แข็งแกร่งมากถือเป็นจุดแข็งในระยะสั้นของบริษัท จากราคาเป้าหมายใหม่ ยังถึอว่ามี Upsideจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อเก็งกำไร”
*** บล.กรุงศรี แนะ เก็งกำไร PTTEP มองผลงานปี 55 โต รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบ-ราคาก๊าซฯทยอยปรับขึ้น ให้มูลค่าพื้นฐาน 200 บาท ***
        ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี ประเมินว่าแม้ว่าผลของการปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบจะส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 55 ปรับเพิ่มขึ้น 38% เป็น 59,060 ล้านบาท (+32%YoY) มูลค่าพื้นฐานเพิ่มขึ้น 16% เป็น 200 บาท (DCF, WACC 10.9%, Terminal growth rate 2%) และซื้อขายที่ระดับ 9.8x P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 11.5x แต่คาดว่าราคาหุ้นยังมีโอกาสถูกกดดันจากความไม่แน่นอนของการจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการแสดงเจตนาทำคำเสนอซื้อบริษัท Cove Energy ที่ผ่านมา ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการยื่นคำเสนอซื้อและยังไม่สิ้นสุด ซึ่งหาก PTTEP เป็นผู้ชนะ มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องเพิ่มทุนซึ่งจะส่งผลให้เกิด Dilution effect ต่อผู้ถือหุ้นขณะที่หากใช้วิธีการกู้เงินอาจทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงกว่าระดับปกติของธุรกิจที่ 0.5x (4Q54 เท่ากับ 0.4x) ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น จึงแนะนำเพียง เก็งกำไร ให้มูลค่าพื้นฐาน 200 บาท
        อย่างไรก็ตามประเมินว่าการปรับเพิ่มราคาเสนอซื้อของ Shell ดังกล่าว อาจเป็นผลบวกต่อราคาหุ้น PTTEP ในระยะสั้นเนื่องจากตลาดอาจเล็งเห็นว่าหาก PTTEP เข้าซื้อกิจการ Cove Energy ไม่สำเร็จ จะเป็นการปลดล็อกความเสี่ยงราคาหุ้นที่ถูกกดดันต่อเนื่องจากความเป็นไปได้ในการเพิ่มทุน
        อย่างไรก็ดีคาดว่ากระบวนการเสนอซื้อที่ยังไม่สิ้นสุดยังคงถือเป็นความเสี่ยง เนื่องจาก PTTEP อาจมีการปรับเพิ่มราคาการทำคำเสนอซื้อจากเดิมที่ 220 เพนซ์ /หุ้น ซึ่งหากเป็นผู้ชนะจะทำให้มีความต้องการใช้เงินทุนเพิ่มขึ้นจากเดิม (ที่ประเมินไว้ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท) คงหนีไม่พ้นการเพิ่มทุนหรือก่อหนี้เพิ่มเช่นกันหรือหาก PTTEP ไม่สามารถเข้าซื้อกิจการ Cove Energy ได้ คาดว่าจะส่งผลต่อภาพการขยายการเติบโตของบริษัทในอนาคต
        แนะนำ เก็งกำไร มูลค่าพื้นฐาน 200 บาท (DCF, WACC 10.9%, Terminal growth rate 2.0%) ด้วยเหตุผลแนวโน้มผลประกอบการปี 55 ที่เติบโต 32%YoY เป็น 59,060 ล้านบาท ผลจากระดับราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูงและราคาก๊าซธรรมชาติที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ยังคงมีความเสี่ยงทางฐานะการเงินอยู่
***FSS เชียร์ ซื้อ PTTEP ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 215 บาท รับราคาน้ำมันดิบยืนเหนือ 100ดอลลาร์/บาร์เรล ***
        ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซียไซรัส (FSS)ระบุว่า PTTEP เป็นหุ้น Growth Stock ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากระดับราคาน้ำมันดิบที่สามารถจะยืนสูงเหนือระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลต่อเนื่องจะส่งผลให้ ธุรกิจผลิตและสำรวจปิโตรเลียมสามารถทำกำไรได้ในระดับสูงเพราะเป็นธุรกิจที่มี Gross Margin สูงถึง 40-50% ในแหล่งผลิตเดิมที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน PTTEP ก็ขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยการเติบโตที่มีนัยสำคัญของ PTTEP ในอนาคตจะมากจากแหล่งพม่า คือ M9 คาดจะเริ่มผลิตได้ในปี 2014 และ M3 ในปี 2016 นอกจากนี้ก็จะมาจากแหล่งก๊าซในออสเตรเลียซึ่งปัจจุบัน PTTEP มีสัญญาสัมปทานกว่า 500 สัปทาน ที่ต้องดำเนินการสำรวจและขุดเจาะ ส่วน KKD oil sand คาดว่าจะผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 16,000 เป็น 20,000 บาร์เรล/วัน สิ้นปี 2012 ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside Gain กว่า 19.7% และ Div. Yield 4-5% แนะนำ ซื้อ
        คงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายใหม่ 215 บาท (DCF@WACC 9.5%และไม่รวม KKD) หลังปรับเพิ่มสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบและทำให้ประมาณการกำไรปี 2012 เพิ่มขึ้น ที่สำคัญ PTTEP เป็นหุ้น Growth Stock ที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูง
***MBKET คงคำแนะนำ ถือ PTTEP ให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 181 บาท***
        ด้านฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)(MBKET)คาดว่าผลประกอบการ Q1/55 ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ โดยคาดว่าผลประกอบการ Q1/55 ของ PTTEP จะปรับเพิ่มขึ้น 59.3% YoY และ 15.4% QoQ เป็น 17,488 ล้านบาท กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ เกิดจากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตามราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยราคาขายเฉลี่ยในไตรมาสนี้คาดเพิ่มขึ้น 32.3% YoY และ 6.6% QoQ เป็น 65.3 เหรียญต่อบาร์เรล นอกจากนั้นยังไม่มีการตัดจำหน่ายหลุมแห้งอย่างมีนัยยะสำคัญใน Q1/55 เทียบกับ 35 ล้านเหรียญใน Q1/54 และ 30 ล้านเหรียญใน Q4/54 ปริมาณขายลดลง 6.4% YoY แต่เพิ่มขึ้น 1.2% QoQ เป็น 253,858 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน (BOED) เนื่องจากการผลิตที่แหล่งอาทิตย์ลดลงตามสัญญา อีกทั้งแหล่งอาทิตย์เหนือสิ้นสุดการผลิตตามสัญญาใน 4Q54 นอกจากนั้นยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนรวมอีก 1,499 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินเหรียญ33.6% ของประมาณการปี 2555 ของเราที่ 52,073 ล้านบาท แต่ยังคงประมาณการไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน และค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายหลุมแห้งที่อาจมีการบันทึกเข้ามาในไตรมาสถัดๆ ไป
        ยังคงคำแนะนำ ถือ PTTEP ด้วยราคาเป้าหมาย 181 บาท แม้ว่าผลประกอบการมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ราคาหุ้นยังคงถูกกดดันจากประเด็นการเพิ่มทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอนาคต ในกลุ่มน้ำมันขั้นต้นยังคงชอบ PTT มากกว่า PTTEP ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์อาจเปลี่ยนไปถือหุ้น PTT ที่มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 402 บาท อยู่อีก 17.2% และซื้อขายด้วย PER เพียง 8.3 เท่า
*** PTTEP แจงกำไรโค้งแรกปีนี้พุ่ง 64% เผยยุติโครงการ M7 ในพม่าแต่เดินหน้าสำรวจในพม่าอีก 4 โครงการ ส่วนมอนทารา เริ่มผลิตQ4/55 ***
        นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2555 ว่า ปตท.สผ. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสนี้รวม 589 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 18,288 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 229 ล้านดอลล่าร์ สรอ. หรือร้อยละ 64 เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จำนวน 359 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 10,979 ล้านบาท)
        ผลการดำเนินงานของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อยในไตรมาส 1 ปีนี้ ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ จำนวน 538 ล้านดอลล่าร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 195 ล้านดอลล่าร์ สรอ. คิดเป็นร้อยละ 57 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้วซึ่งมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน343 ล้านดอลล่าร์ สรอ. และกำไรจากรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติ (Non-Recurring) จำนวน 51 ล้านดอลล่าร์ สรอ. ซึ่งมาจากภาษีเงินได้ที่เกิดจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับรายได้รวมของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อยในไตรมาสนี้ มีจำนวน 1,627 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 50,448 ล้านบาท) เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 1,310 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 40,011 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 317 ล้านดอลล่าร์ สรอ. คิดเป็นเป็นร้อยละ 24 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่เป็นเงินดอลล่าร์ สรอ. เพิ่มขึ้นเป็น 64.79 ดอลล่าร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาขายผลิตภัณฑ์ของไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 49.36 ดอลล่าร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ถึงแม้ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1 ปี 2555 ลดลงเป็น 253,411 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1 ปี 2554 ที่ 271,292 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
        ปริมาณการขายที่ลดลงส่วนใหญ่เนื่องมาจากโครงการอาทิตย์เหนือได้หยุดการผลิตตามการสิ้นสุดอายุสัญญา FPSO ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2554 ประกอบกับการส่งมอบก๊าซฯ ของโครงการอาทิตย์ลดลงตามสัญญาซื้อขาย
        อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายน้ำมันดิบในโครงการเวียดนาม 16-1 เพิ่มขึ้นเนื่องจากเริ่มมีการขายน้ำมันดิบในไตรมาส 3 ปี 2554 โดยในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ สามารถผลิตน้ำมันได้ในอัตราเฉลี่ย 30,854 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซฯ 20 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน นอกจากนี้ ปริมาณการขายน้ำมันดิบโครงการเอส 1 เพิ่มขึ้นจากหลุมผลิตใหม่และจากการใช้เทคนิคเพิ่มการผลิต ณ วันที่ 31 มีนาคม 2555 ฐานะการเงินของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 14,971 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 461,742 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 840 ล้านดอลล่าร์ สรอ. เมื่อเปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ซึ่งมีสินทรัพย์รวมจำนวน 14,131 ล้านดอลล่าร์ สรอ. (เทียบเท่า 447,842 ล้านบาท)
        สำหรับความก้าวหน้าในการดำเนินงานในไตรมาสแรกปีนี้ แหล่งบงกชใต้ได้เริ่มทดสอบการผลิตและส่งก๊าซฯ เข้าระบบท่อของ ปตท. แล้วในอัตราประมาณ 50 - 70 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มการผลิตได้ถึงปริมาณการผลิตต่อวันตามสัญญาซื้อขาย (Daily Contract Quantity: DCQ) ที่ 320 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และคอนเดนเสท 9,000 บาร์เรลต่อวันภายในไตรมาสที่ 2
        ส่วนโครงการพม่า M7 บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ยุติการสำรวจและคืนพื้นที่แปลงสำรวจในโครงการพม่า M7 ภายหลังจากได้ดำเนินการตามภาระผูกพันเสร็จสิ้น พร้อมกับยุติการลงทุนไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.55 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพม่า 4 โครงการ ได้แก่ โครงการยาดานา,เยตากุน, ซอติก้า และโครงการ M3,M11 โดยในส่วนโครงการM3,M11 ถือหุ้นอยู่ 100% สำหรับโครงการพีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย การพัฒนาแหล่งมอนทารานั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขุดเจาะหลุมผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในไตรมาสที่ 4/55
        ส่วนการเรียกร้องค่าชดเชย จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลจากแหล่งมอนทารา โดยรัฐบาลอินโดนีเซียนั้น ยังคงมีการเจรจากับรัฐบาลอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการที่จะพิสูจน์หลักฐานและผลกระทบที่อาจมี โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ต่อไป
        รายงานข่าวยังกล่าวถึง โครงการแคนาดา ออยล์ แซนด์ เคเคดี แหล่ง Leismer อัตราการผลิตเฉลี่ยในไตรมาส 1/55 อยู่ที่ประมาณ 16,450 บาร์เรล/วัน และสามารถผลิตบิทูเมนได้ครบ 5 ล้านบาร์เรลในเดือนมี.ค. ขณะที่ได้เริ่มร่างแผนงานการขยายกำลังการผลิต (Leismer Expansion) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอัตราการผลิตให้เป็น 4 หมื่นบาร์เรล/วันในปี 58 ในส่วนของแหล่ง Corner จะสามารถเริ่มงานออกแบบทางวิศวกรรมเบื้องต้น(FEED)ได้ในไตรมาส 3/55 ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดทำสัญญาการก่อสร้าง (EPC) ในกลางปี 56และคาดว่าจะสามารถเริ่มการผลิตได้ปี 59