จันทร์ 23 เม.ย.2555--eFinanceThai.com :
RSมาแรงกลุ่ม MEDIA
 
ประกาศท้ายักษ์ใหญ่TRUE-แกรมมี่ชิงพรีเมียร์ลีก
หุ้น MEDIA ได้ฤกษ์เฮ หลังงบโฆษณาเดือน มี.ค.55 พุ่งกระฉูดเฉียดหมื่นล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ฟาก กูรู ชู RS แจ่มสุดในกลุ่ม หลังเปิดช่องกีฬาใหม่ ลาลีกา สเปน เป็นจุดขาย หวังโกยรายได้ 2 พันลบ.ใน 3 ปี แถมท้าชนทุกสำนัก แย่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดพรีเมียร์ลีก ด้าน GRAMMY เดินหน้าลุยตลาด TV ดาวเทียม แย่งส่วนแบ่ง TRUE ฝั่งฟรี TV ทั้ง BEC - MCOT โดดเด่น ขณะที่ MAJOR ไม่ยอมน้อยหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ "เมกาซีนีเพล็กซ์" โกยค่าโฆษณาฝั่งโรงหนัง
         นับเป็นอีกหนึ่งช่วงกอบโกยของวงการสื่อโฆษณา และบันเทิงอีกครั้ง หลังจากที่ล่าสุด ทาง Nielsen ได้รายงานงบโฆษณา (ADEX) ของไทยในเดือน มี.ค.2555 ที่ผ่านมา ว่ามีเม็ดเงินสูงถึง 9,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% YoYและ 17.7% MoM และถือเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 นับจากเดือน พ.ย. 54 ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสื่อที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุด คือ สื่อในห้างและร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 60% YoY มูลค่า 173 ล้านบาท รองลงมา คือ สื่อในโรงภาพยนตร์ เพิ่มขึ้น 46% YoY มูลค่า750 ล้านบาท ขณะที่สื่อทีวียังคงเป็นสื่อกระแสหลักมีส่วนแบ่งตลาด 61% เพิ่มขึ้น 3% มูลค่า 5,991 ล้านบาท ส่วนสื่อนิตยสารยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ลดลง 26% YoY มูลค่า 375 ล้านบาท รวมงวดQ1/55 งบโฆษณาเท่ากับ 26,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY
         จากตัวเลขงบโฆษณาที่ออกมาดีต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกัน ส่งผลให้หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อทั้งหลาย เริ่มขยับปรับเปลี่ยนรูปแบบกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อหวังจะกอบโกยเค้กชิ้นใหญ่นี้มาเข้ากระเป๋าตัวเองให้ได้มากที่สุด ในขณะที่โบรกเกอร์ต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจกับหุ้นในกลุ่มสื่อและบันเทิง ในเชิงบวกมากขึ้น
         โดยวันนี้หุ้นกลุ่ม Media ที่สำคัญปิดการซื้อขายดังนี้
         BEC ปิดการซื้อขายที่ระดับ 52.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.97% มูลค่าการซื้อขาย 83.04 ล้านบาท
         GRAMMY ปิดการซื้อขายที่ระดับ 19.90 บาท ลดลง 0.10บาท หรือ -0.50% มูลค่าการซื้อขาย 2.31 ล้านบาท
         MAJORปิดการซื้อขายที่ระดับ 19.80 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 133.10 ล้านบาท
         MCOTปิดการซื้อขายที่ระดับ 28.25 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -1.74% มูลค่าการซื้อขาย 38.97 ล้านบาท
          RSปิดการซื้อขายที่ระดับ 3.36 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 38.97ล้านบาท
*** RS ท้าชน TRUE-GRAMMY แย่งลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก
         นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาร์เอส ในฐานะผู้บริหารจัดการสิทธิ์ การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล ลาลีกาสเปน (Laliga Spain, 2012-’15 Season) 3 ปีซ้อน พร้อมเปิดช่องกีฬา อาร์เอส สปอร์ต ลาลีกา (RS SPORT LALIGA) แซทเทลไลท์ ทีวี ช่องใหม่ล่าสุดในเครืออาร์เอส โดยได้จับมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำไม่ว่าจะเป็น ช่อง 7 สี และ ดีแทค พร้อมทำให้การถ่ายทอดสดลาลีกาสเปน ในครั้งนี้เดินหน้าเข้าถึงคอบอลได้ทุกที่ ทุกเวลา สดครบ 380 แมตช์ ตลอดฤดูกาล ภายใต้การบริหารจัดการของอาร์เอส ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจบันเทิงและกีฬาแบบครบวงจรโดย อาร์เอสจะเดินหน้าธุรกิจกีฬาในโปรเจกต์ RS SPORT LALIGA
         โดยแฟนบอลสามารถรับชมการถ่ายทอดสด ได้จาก จานรับสัญญาณดาวเทียม เคเบิ้ลท้องถิ่น และ DTAC Online โดยตั้งเป้ายอดสมาชิกฤดูกาลแรกอยู่ที่ประมาณ 2 แสนราย และปิดฤดูกาลสุดท้ายที่ 8 แสนราย ด้วยการจ่ายเงินค่าบริการเบาๆเพียง 100 บาทต่อเดือนและสามารถรับชมฟุตบอลสเปนได้ครบทุก 380 แมตช์
         อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สนใจที่จะเข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษในฤดูกาลหน้า (2012-2013) โดยคาดว่าจะมีการประมูลลิขสิทธิ์ดังกล่าวในช่วงเดือนกรกฎาคม 2555 ทั้งนี้จะร่วมประมูลกับพันธมิตรรายอื่นๆ โดยกำลังอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรเข้าร่วมประมูล
         ด้านนางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.อาร์เอส กล่าวว่า สำหรับโปรเจกต์ใหญ่ ลาลีกา สเปน อาร์เอส ตั้งเป้ารายได้ทั้ง 3 ฤดูกาลไว้กว่า 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จาก สปอนเซอร์หลัก 20 % รวม 4 ราย รายละ 20 ล้าน รายได้จากค่าสมาชิก (Subscription) 70 % และอีก 10 % มาจากการบริหารสิทธิ์ในรูปแบบต่างๆและคาดว่าในฤดูกาลแรกจะสามารถทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจนปิดรายได้ตามที่ตั้งเป้ารายได้ 3 ฤดูกาลไว้ที่ 2,000 ล้านบาท บริษัทได้มีการสำรวจตลาดอย่างละเอียดชัดเจนหลายครั้ง ทำให้เชื่อมั่นว่าการเริ่มฤดูกาลที่จำนวนสมาชิก 2 แสนรายน่าจะทำได้ และด้วยพลังของแคมเปญทางการตลาดอีกมากมายที่จะทยอยออกมาเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด จะทำให้สามารถปิดฤดูกาลสุดท้ายด้วยจำนวนสมาชิกไม่ต่ำกว่า 8 แสนราย
         ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าตามสัญญาณทางเทคนิคของราคาหุ้น RS พบว่าแนวโน้มราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำ New High ได้ จึงแนะนำนักลงทุนเก็งกำไร โดยให้แนวรับไว้ที่ 3.36 บาท ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 3.60 บาท
*** ให้กลุ่ม MEDIA ที่ "เท่ากับตลาด" ยก RS เป็นTop Pick
         บทวิเคราะห์ของบล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่าแม้มีแนวโน้มว่าผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม MEDIA งวด Q1/55 จะออกมาเติบโตโดดเด่นตามการฟื้นตัวของงบโฆษณาที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน มี.ค. 55 และหน้าหนังก็ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่ของระดับราคาหุ้นจะพบว่าราคาหุ้นของหลายบริษัทในกลุ่มได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสะท้อนแนวโน้มดังกล่าวแล้ว และมีราคาใกล้เคียงกับราคาเหมาะสมที่เราประเมิน ในขณะที่หุ้นหลักของกลุ่มอย่าง BEC นั้นมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อทีวีในประเทศไทย ทีวีดาวเทียม/เคเบิลทีวี กำลังเข้ามาแย่งส่วนแบ่งผู้ชมจากสื่อฟรีทีวีแบบดั้งเดิม จึงยังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่ม MEDIA ที่เท่ากับตลาด (Neutral)
         ทั้งนี้แม้จะให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่ม MEDIA ที่เท่ากับตลาด แต่อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มMEDIA ยังมีหุ้นที่น่าสนใจ คือ RS เนื่องด้วยโอกาสการเติบโตจากธุรกิจทีวีดาวเทียม ปัจจุบัน RS มีช่องทีวีดาวเทียมออกอากาศอยู่ทั้งสิ้น 4 ช่อง ประกอบด้วย สบายดีทีวี (เพลงลูกทุ่ง) YOU Channel (เพลงสตริง) ช่อง 8 (ละครผลิตใหม่และบันเทิงวาไรตี้) และ YAAK TV (รายการวัยรุ่น) และกำลังจะเปิดเพิ่มอีก1 ช่อง คือ ช่องกีฬาฟุตบอลลาลีกาสเปน ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ (23 เม.ย. 55) ในเบื้องต้นเราประเมินว่าช่องดังกล่าวจะเป็นแหล่งรายได้และกำไรที่สำคัญในอนาคตให้ RS และราคาหุ้นRS ยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่เราประเมินเท่ากับ 4.30 บาท (P/E 15 เท่า by Gordon Growth Model) มีUp-side Gain 28% เราจึงเลือก RS เป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่ม MEDIA และแนะนำ ซื้อ
*** งบโฆษณาช่อง 3 และ Modern 9 ยังเด่นในกลุ่ม TV
         จากรายงานของ Nielsen ชี้ว่างบโฆษณาสื่อทีวีช่อง 3 (BEC) เติบโตมากที่สุด 6% YoY มูลค่า 1,651 ล้านบาท รองลงมาเป็นช่อง 5 เพิ่มขึ้น 4% YoY มูลค่า 1,052 ล้านบาท และช่อง 7 เพิ่มขึ้น 2% YoY มูลค่า 1,827 ล้านบาทอย่างไรก็ตาม หากเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) ช่อง Modern 9 (MCOT) มีอัตราการเพิ่มขึ้นมากที่สุดกว่า 41% MoM มูลค่า 1,288 ล้านบาท ตามมาด้วยช่อง NBT เพิ่มขึ้น 39% MoM มูลค่า 175 ล้านบาททั้งนี้ หากพิจารณาในแง่ส่วนแบ่งคนดู เดือน มี.ค. 55 ช่อง 7 มีส่วนแบ่งคนดูเพิ่มขึ้น 1.6% MoM เป็น47.1% ช่อง Modern 9 มีส่วนแบ่งคนดูเพิ่มขึ้น 0.5% เป็น 8.8% ขณะที่ช่อง 3 กลับมีส่วนแบ่งคนดูลดลง1.2% MoM เป็น 31.9% ซึ่งเรามองเป็นสัญญาณไม่ดีนักต่อแนวโน้มงบโฆษณาของช่อง 3
*** TRUE สะเทือนหลัง GMM จับมือ CTH แย่งกลุ่มลูกค้า
         บทวิเคราะห์ของบล.เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า ณ สิ้นปี 2554 TRUE Vision มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 1.64 ล้านราย ลดลงเล็กน้อยจากปี 2553ที่มีสมาชิกจำนวน 1.71 ล้านราย โดยจำนวนสมาชิกของ TRUE Vision นั้นทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.6-1.7ล้านรายมาแล้ว 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากการเข้ามาแข่งขันของ ทีวีดาวเทียม/เคเบิลทีวี ที่ไม่มีการคิดค่าบริการรายเดือนหรือค่าบริการถูกกว่าทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ขณะที่ในปี 2555 ตลาดทีวีแบบบอกรับสมาชิกจะมีผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาอีก 2 ราย คือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) GRAMMY โดย GMM Z และการรวมกลุ่มของผู้ให้บริการเคเบิลทีวีทั่วประเทศโดยบริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (CTH) ซึ่ง GMM Z ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. 55 ที่ผ่านมา มีจุดเด่นจากความสามารถในการผลิตContent บันเทิงและการมีลิขสิทธิ์รายการกีฬาสำคัญหลายรายการ เช่น EURO 2012, Bundesliga(ฟุตบอลเยอรมนี) และช่องกีฬา ASN เป็นต้น ส่วน CTH มีจุดเด่นจากค่าบริการถูกและมีโครงข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ดังนั้นเราจึงคาดว่าการแข่งขันในตลาดทีวีแบบบอกรับสมาชิกในประเทศไทยในปี 2555 จะมีความรุนแรงมากขึ้นจากปีก่อนซึ่งจะส่งผลต่ออัตราการทำกำไรในธุรกิจดังกล่าว
         โดยก่อนหน้านี้ CTH ดึงแกรมมี่เป็นพันธมิตรรุกธุรกิจเคเบิลทีวีทั่วประเทศในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศกว่า 200 ราย ได้ประกาศโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ โดยมีนายวิชัย ทองแตง เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 25%, นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล ถือหุ้น 25%, บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 20% และผู้ถือหุ้นซีทีเอช เดิมถือหุ้น 30% โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการรวมตัวดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายประเมินว่า ทาง GRAMMY จะเข้าประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่ง TRUE เป็นเจ้าตลาดมาหลายฤดูกาล
         ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ถือ” และให้ติดตามสถานการณ์ช่วงบอลยูโร โดยมองว่าการเข้าสู่ธุรกิจ Platform Operator (GMM Z) ของ GRAMMY ในปี 2555 มีเป้าหมายที่ท้าทายมาก ให้ติดตามสถานการณ์ยอดขายกล่อง GMM Z และยอดสมาชิกในช่วงการแข่งขันบอลยูโร 2012 (มิ.ย.-ก.ค. 55) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นหนึ่งในตัวตัดสินว่าการเข้าสู่ธุรกิจ Platform Operator ของ GRAMMY ครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 21.60 บาท โดยถ่วงน้ำหนักจากกรณี Base Case 50% และ Bad Case 50% ทั้งนี้ เราประเมินราคาเหมาะสมกรณี Base Case เท่ากับ 26.20 บาท (1.5 ล้านกล่อง สมาชิก 2.7 แสนราย) และกรณี Bad Case เท่ากับ 16.90 บาท (1 ล้านกล่อง สมาชิก 1.4 แสนราย)
*** ธนชาต ให้ “OVERWEIGHT” กลุ่มบันเทิง
         บทวิเคราะห์ของบล.ธนชาตเปิดเผยว่า เม็ดเงินโฆษณารวมเดือน มี.ค.12 เติบโตอย่างน่าประทับใจ โดยทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี สาเหตุมาจากความต้องการที่แข็งแกร่ง ผลักดันโดยการกลับมาดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม และธุรกิจ หลังน้ำท่วมในช่วง 4Q11 คาดว่าผู้ประกอบการสื่อจะรายงานกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งในช่วง 1Q12 BEC จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเวลาออกอากาศโฆษณาที่เต็ม และการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณา ขณะที่ MCOT จะได้ประโยชน์จากอัตราค่าโฆษณาของช่องที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเวลาออกอากาศโฆษณายังไม่กลับมาดีขึ้นเท่าระดับก่อนเกิดวิกฤตน้ำท่วม
         นอกจากนี้ ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมจะมีการดำเนินงานที่ดีขึ้นเช่นกัน แต่ช้ากว่าผู้ประกอบการ free-TV โดย RS และ GRAMMY น่าจะได้ประโยชน์จากอัตราค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นในช่วง 1Q12 แต่เวลาออกอากาศโฆษณายังไม่เพิ่มขึ้นเช่นกันเนื่องจากผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมทั้งนี้ยังคงให้น้ำหนักลงทุนเป็น “OVERWEIGHT” กลุ่มสื่อและบันเทิง
*** MAJOR คาดรายได้ Q1/55 ดีกว่าปีก่อน รับค่าแรง 300 บ.
         นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดให้บริการแบรนด์ใหม่ คือ เมกา ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ 6 ต่อจากพาราไดซ์ ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อปี 2554 โดยใช้งบลงทุน 400 ล้านบาท โดยตั้งอยู่ที่ เมกะบางนา โครงการช้อปปิ้งมอลล์ ขนาดที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 3 พ.ค.นี้ ทั้งนี้เมกาซีนีเพล็กซ์มี 15 โรงภาพยนตร์ โบว์ลิ่ง 24 เลน คาราโอเกะ 25 ห้อง และไอซ์สเก็ตขนาดใหญ่ ทั้งนี้ MAJOR เปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ 6 แบรนด์ คือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ อีจีวี พารากอนซีนีเพล็กซ์ เอสพลานาดซีนีเพล็กซ์ พาราไดซ์ซีนีเพล็กซ์ และเมกาซีนีเพล็กซ์ รวม 54 สาขา 398 โรง
         นอกจากนี้รายได้ไตรมาสแรกปีนี้ทาง MAJOR คาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงซัมเมอร์ของสหรัฐฯ ทำให้มีหนังใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ดังนั้นทั้งปีมั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 15% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
         ส่วนผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง 300 บาท/วันของรัฐบาล น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจภาพยนตร์ เนื่องจากรัฐบาลต้องการที่จะกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนเพื่อสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งในอดีตไทยพึ่งพาการส่งออก
         ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง John Carter เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ Box Office สูงสุดในเดือน มี.ค. 55 ทำรายได้ BoxOffice ไปประมาณ 70 ล้านบาท และช่วงกลางเดือน มี.ค. มีภาพยนตร์ทำรายได้ Box Office สูงเข้าฉายอีก 1 เรื่อง คือ The Hunger Games ล่าสุดทำรายได้ Box Office ไปแล้วประมาณ 60 ล้านบาท ขณะที่หากเปรียบเทียบหน้าหนังงวด Q1/55 กับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่าหน้าหนังงวด Q1/55 ทำรายได้Box Office ได้ดีกว่า มีหนังทำรายได้ Box Office มากกว่า 50 ล้านบาท ขึ้นไป 7 เรื่อง ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมี 6 เรื่อง อย่างไรก็ตาม ในช่วง Q2/55-Q3/55 เป็นช่วงที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ เนื่องจากมีกิจกรรมกีฬาระดับโลก 2 รายการ (EURO 2012 และ Olympic 2012) ที่อาจเป็นปัจจัยลบต่อความถี่ในการเข้าชมภาพยนตร์ ขณะที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนก็มีภาพยนตร์ทำรายได้ BoxOffice สูงหลายเรื่อง เช่น Transformer3, Harry Potter7.2 และพระนเศวร ภาค 3-4 เป็นต้น
         ทางบล.ฟินันเซียไซรัส เปิดเผยว่า ราคาหุ้น MAJOR ดีดผ่านแนวต้านที่เคยแนะนำให้ขาย short ไว้แถว 18.50 บ.ได้แรงดี แต่ยิ่งทำให้อยู่ในภาวะ Over Bought มากขึ้น ดังนั้นยังน่าขาย short เพื่อรอซื้อคืนเมื่อราคาปรับย้อนลงหาแนวรับต่างๆ อีก ให้แนวรับ 19-18.50, 18 บาท แนวต้าน 20-21 บาท