อังคาร 24 เม.ย.2555--Technical View :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

SET : มีโอกาสดีดกลับ
SET Index     แนวรับ 1,178 จุด       แนวต้าน 1,213 จุด
ประเด็นวิเคราะห์ :
       * ดัชนีขึ้นแตะ 1,200 จุด ได้ไม่นานก็เข่าทรุดลงต่ำกว่า 1,190 จุด อีกครั้ง
       * SET หดตัวด้วย Value ไม่มากแค่ 2.4 หมื่นล้านบาท วันนี้ไม่ลงต่ำกว่า 1,178 จุด ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะดีดกลับเพิ่มขึ้นทดสอบ 1,213 จุดยังมีสูง
       * ระดับ 1,190 จุด มีนัยสำคัญค่อนข้างมาก เพราะเป็นระดับ 61.8% ของ 1,151 - 1,213 จุด ถ้าดัชนีวนกลับไปยืนเหนือระดับนี้ได้ ผลต่อเนื่องที่จะตามมา ดัชนีมีโอกาสที่จะขึ้นต่อจนไปทดสอบ High เดิม 1,213 จุด สูงมาก และผ่านยอดสุงสุดนี้ไปได้ ก็ว่ากันยาวถึง 1,224 จุด แต่ถ้าระดับ 1,190 จุด
       * ในทางตรงกันข้าม ถ้าวันนี้ 1,190 จุด ดันมาแสดงความแข็งแกร่งในวันนี้ ดัชนีไม่สามารถขึ้นไปยืนเหนือได้ ความเสี่ยงที่ดัชนีจะหดตัวก็มีพอสมควร ก็ต้องไปติดตามกันต่อที่ระดับ 1,178 จุด
สรุป : 
       ดัชนีร่วงด้วย Value ไม่มาก วันนี้มีโอกาสดีดกลับไปยืนเหนือ 1,190 จุดอีกครั้ง
-----------------------------------------------------------------------

อังคาร 24 เม.ย.2555--Market Talks :
ที่มา : บมจ.หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส

กลยุทธ์การลงทุน
       ตลาดหุ้นโลกปรับฐานหลังติดแนวต้านสำคัญ และให้น้ำหนักการตัดลดงบประมาณในประเทศสมาชิกยุโรป กดดัน GDP โลก ขณะที่ SET ยังติดแนวต้าน 1,200 จุด Expected PER 13 เท่า กลยุทธ์ยังให้ปรับพอร์ตถือเงินสด 60% Top pick วันนี้คือ PS(FV@18.75) เพราะยอดขายและโอนบ้าน (ทั้งในและนอกพื้นที่น้ำท่วม) เดือน มี.ค. ดีกว่าคาดมาก ส่วนหุ้นที่แนะนำให้เลือกซื้อสะสมคือ: RATCH, STANLY, CPF, ROJNA, TTW, DRT
       ความสัมพันธ์ระหว่าง SET Index กับ  Fund flow (ขาออก)
SET Index               1,189.35         
เปลี่ยนแปลง (จุด)             -5.25         
มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท)     24,800.84         
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)          
นักลงทุนต่างชาติ              796.68         
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์           -471.31         
นักลงทุนสถาบันในประเทศ      -151.59         
นักลงทุนรายย่อย             -173.78         
* ต่างชาติยังซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยแต่ชะลอตัว และสลับขายหุ้นเอเซียบางประเทศ 
       วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดภูมิภาค เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน แต่ยอดขายสุทธิลดลง 85% เหลือ 33 ล้านเหรียญฯ หลักๆเป็นการขายสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 111 ล้านเหรียญฯ ลดลง 63% และเป็นการขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แล้ว ตามด้วยตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่เปลี่ยนสถานะจากการซื้อสุทธิมาเป็นการขายสุทธิแต่เพียงเล็กน้อยราว 7 ล้านเหรียญฯ  ตรงกันข้ามตลาดหุ้นที่กลับมาซื้อสุทธิมากที่สุดคือ ไต้หวันราว  46 ล้านเหรียญฯ หลังจากถูกขายสุทธิในวันก่อนหน้า ตลาดหุ้นไทยที่ยังคงถูกซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ด้วยยอดซื้อ 26 ล้านเหรียญฯ แต่ลดลง 35% และ ฟิลิปปินส์  ถูกซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ราว 13 ล้านเหรียญฯ แต่ลดลง 84% โดยสรุป นับตั้งแต่ต้นปี 2555 จนถึงวานนี้  นักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยราว  8.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 3.64  หมื่นล้านล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อ 219 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4.7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังเชื่อว่าต่างชาติยังน่าจะมีแนวโน้มขายสุทธิมากกว่าซื้อ หลังจากที่ซื้อต่อเนื่องมานานกว่า 4 เดือน ความเสี่ยงต่อการปรับพอร์ตขายของนักลงทุนต่างชาติยังมีอยู่ จึงยังแนะนำให้ถือเงินสด 60% ต่อไป และมีเงินส่วนน้อยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นบวกสนับสนุนช่วงสั้น  ๆ พร้อมกับยังมี PER ต่ำ และ upside สูง
* ราคาน้ำมันดิบโลกอ่อนตัวลง กดดันหุ้นพลังงาน และ SET ปรับฐาน 
       ราคาน้ำมันดิบดูไบ ยังคงส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนับจากกลางเดือน มี.ค. 2555 ถึงปัจจุบัน พบว่าปรับฐานลงมาแล้วถึง 7.7% ลงสู่ 115.10 เหรียญฯ ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน และคาดว่าระยะสั้นยังคงมีโอกาสทรงตัวในระดับต่ำราว 115 เหรียญฯต่อบาร์เรล บวก/ลบเล็กน้อย จากสาเหตุหลักๆ ดังนี้
       - ความกังวลจากปัญหาหนี้ในยุโรป ที่กลับมากดดันเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำมันดิบโลก โดยเฉพาะในช่วงหลัง การรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยุโรปสร้างความน่าผิดหวังดังกล่าวข้างต้น
       - สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นในวันพุธนี้ ซึ่งคาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันกลั่นอาจปรับขึ้น 3 แสนบาร์เรล  ยกเว้นเพียงสต็อกน้ำมันเบนซินที่อาจลดลง 7 แสนบาร์เรลปัจจัยดังกล่าวน่าจะกดดันต่อหุ้นในกลุ่มปิโตรเลียม ให้ทรงตัวในระดับต่ำต่อ แม้ว่าจะเป็นกลุ่มฯ ที่ราคาหุ้นยังคง Under Perform ตลาดตั้งแต่ต้นปี (SETENERG +7.6% ขณะที่ตลาดให้ผลตอบแทนกว่า 16% ในช่วงเดียวกัน) ก็ตาม ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อ SET ให้แกว่งตัวในทิศทางปรับฐานต่อ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปิโตรเลี่ยม และ ปิโตรเคมี (BANPU, PTT, PTTGC)  ต้องซื้อ เพื่อถือลงทุนระยะยาว
* ตลาดหุ้นไทยปรับฐานต่อ สอดรับกับตลาดหุ้นโลก หลัง SET Index ไม่ผ่าน 1,200 จุด
       วานนี้ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวแตะ 1,200 จุด หรือที่ Expected PER 13 เท่า อีกครั้ง (แต่ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดรอบที่ผ่านมาที่ 1,214 จุด หรือ Expected 13.3) ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับฐานในลักษณะเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งติดแนวต้านสำคัญ ๆ ดังที่ได้กล่าวไปเมื่อวานนี้ เช่นกัน ทั้งนี้สาเหตุหลักน่าจะเกิดจากตลาดหุ้นโลกขาดปัจจัยหนุนใหม่ ตรงกันข้ามปัญหาเดิม ๆ ยังกลับวนเวียนมากดดันตลาดอีกครั้ง  โดยเฉพาะการตัดลดงบประมาณ ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (Euro zone) นอกจากนี้ดัชนีอุตสาหกรรมและบริการ ใน Euro zone ล่าสุด ประสบกับภาวะตกต่ำสุดในรอบ 5 เดือน (อยู่ที่ระดับ 47.4 จุด เทียบกับค่ากลางที่ 49.3 จุด จากการสำรวจนักเศรษฐกิจของ Bloomberg) ทั้งนี้แม้ล่าสุด IMF ได้ออกรายงานฉบับใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ปรับเพิ่ม GDP Growth ของโลกขึ้นจากเดิม 3.3% เป็น 3.5% โดยหลัก ๆ เกิดจากการปรับเพิ่ม GDP Growth ของประเทศในกลุ่ม Euro zone จากเดิมที่คาดไว้ -0.5% ขึ้นเป็น  -0.3% ขณะที่เยอรมันปรับเพิ่มจากเดิม 0.3% เป็น 0.6% ฝรั่งเศส จาก 0.2% เป็น 0.5% และ อิตาลีจากเดิม -2.2% เหลือ -1.9% (ยกเว้นสเปน ที่ถูกปรัดลด GDP จากเดิม -1.7% เป็น -1.8%) สถานการณ์นี้จึงทำให้ตลาดหุ้นยังคงอยู่ในภาวะปรับฐานต่อไป  โดยมีแนวรับถัดไปคือ 1,187-1,176 จุด
-----------------------------------------------------------------------