พุธ 28 มี.ค.2555--eFinanceThai.com :
ส่องหุ้น upside สูง

* RAIMON-STEC-BANPU-IVL-HEMRAJ แจ่ม
        กูรู เผยหุ้น Upside สูง ชู RAIMON-STEC-BANPU-IVL-HEMRAJ แจ่มแถมกระแสเชิงบวกสนับสนุน แนะซื้อยกก๊วน ระบุ RAIMON มีUpside 12%หลังคาดผลงาน2H55พลิกกำไร ส่วน STEC มี backlog สูงเป็นประวัติการณ์ คาดรายได้ปีนี้โต 28% ด้านBANPU ปัจจัยพื้นฐานแจ่ม ขณะที่ IVL เฮรับอานิสงส์ราคา Cotton Futures เพิ่มขึ้นกว่า 6% ในรอบ 2 สัปดาห์ และHEMRAJ มีลุ้น เซ็นสัญญาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 7 โครงการ
*กูรู เผยหุ้น Upside สูง ชู RAIMON-STEC-BANPU-IVL-HEMRAJ แจ่ม
        บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า SET Index ที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30% นับจากต้นเดือน ต.ค.2554 เป็นต้นมา ขณะที่ EPS Growth ของตลาดในปี 2555 คาดว่าจะเติบโต19.6% หลังจากที่ปี 2554 ที่ผ่านมามีการเติบโต 4.6% การปรับเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของ EPS ดังกล่าวข้างต้นทำให้ค่า PER ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยที่ระดับดัชนีปัจจุบันมีค่า PER ณ สิ้นปี 2555 ที่ 13.25 เท่า ใกล้ระดับ PERเป้าหมายที่ 13.5 เท่า กลยุทธ์การลงทุนที่ปลอดภัย และมีโอกาสทำกำไรดีที่สุด จึงเป็นลักษณะของการขายทำกำไรในหุ้นที่ราคาวิ่งขึ้นมาแตะ Fair Value และให้นำเงินทุนบางส่วนกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นที่ยังเหลือ Upside กว้าง และมีปัจจัยขับเคลื่อนราคาที่ดี ซึ่งหากกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำว่าหุ้นที่จะเลือกลงทุนต้องมี Upside จาก Fair Value ไม่น้อยกว่า 25%
        หุ้นที่ฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีความโดดเด่นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมประกอบด้วย กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย โดย RAIMON (Fair Value ก่อน XW 2.65 บาท) โดยมีประเด็นเรื่องการพลิกกลับมาทำกำไรใน 2Q55 เป็นแรงหนุ้น, กลุ่มรับเหมาฯ STEC (Fair Value 18.62 บาท) นับเป็นผู้รับเหมาฯ ใหญ่รายเดียวที่มีกำไร, มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และมีโอกาสได้รับงานเพิ่มอีกมาก , กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี เป็นกลุ่มที่ Laggard ซึ่งหุ้นที่เหลือ Upside สูงได้แก่ BANPU (FairValue 962.81 บาท) โดยเชื่อว่าราคาถ่านหินน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นนำหน้าไปแล้ว และ IVL(Fair Value 52 บาท) ซึ่งน่าจะได้แรงหนุนจากราคา Cotton ที่ปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งหุ้นเด่น ได้แก่ HEMRAJ ( Fair Value 3.41 บาท) มีความเป็นไปได้ที่ยอดขายที่ดินใหม่งวด 1H55 จะสูงถึง 1 พันไร่ และใน 2Q55 จะมีรายได้จาก Gheco-one เข้ามาทำให้กำไรเติบโตก้าวกระโดด
* เซียนหุ้น ชู RAIMON มีUpside 12% แนะซื้อ คาดผลงาน2H55พลิกกำไร
       บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า RAIMON ประกาศเพิ่มทุน PP จำนวน 325 ล้านหุ้น (ยังไม่กำหนดราคา) และจะออก RAIMON-W3 ในอัตราส่วน 4: 1 จำนวน 893 ล้านบาท (ราคาใช้สิทธิ 2.75 บาท) ระยะเวลา ใช้สิทธิ 3 ปี ซึ่งการออก Warrant จะเกิดขึ้นหลังดำเนินการในส่วนของการเพิ่มทุน PP แล้วเสร็จ ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,250 ล้านหุ้น เป็น 3,575 ล้านหุ้น
        ทั้งนี้ การเพิ่มทุนมีผล Dilution Effect เพียง 9% จากการเพิ่มทุน PP จำนวน 325 ล้านหุ้น ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,250 ล้านหุ้น เป็น 3,575 ล้านหุ้น Dilution Effect 9% ราคาที่เหมาะสมปี 2555 ที่เราประเมินไว้ 2.14 บาท (อ้างอิง APER 4.85 เท่า) จะลดลงเหลือ 1.94 บาทต่อหุ้น สำหรับ การแปลงRAIMON-W3 อาจยังไม่เกิดในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากราคาใช้สิทธิค่อนข้างสูงที่ 2.75 บาท โดยเรามองการเพิ่มทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินบางส่วน โดยมองการออก Warrant คาดหวังการเติบโตของฐานกำไรในระยะยาวมากกว่า
        Backlog สูง 3.2 หมื่นล้านบาท เป็นหลักประกันรายได้ 2 – 3 ปี ยอดขายที่ต่อเนื่องของโครงการ The River ซึ่งปัจจุบันขายได้ 75% ของมูลค่าโครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท โครงการ 185 Rajadamri 51% จาก 9.6 พันล้านบาท และโครงการ Zire wongamat 59% ของ 2.8 พันล้านบาท รวมถึงโครงการเปิดตัวใหม่ UNIXX 19% จาก 2.9 พันล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับพอควร ทำให้งานในมือของ RAIMON อยู่ระดับสูงถึงระดับ 3.2 หมื่นล้านบาท ทำได้ดีกว่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งจะสร้างรายได้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2555 –2557 คาดปี 2556 รับรู้รายได้ของโครงการ The River ต่อเนื่อง และเริ่มเห็นรายได้จากโครงการ 185 Rajadamri สำหรับปี 2557 จะเป็นโครงการ ZIRE wongamat และ UNIXX
        RAIMON มีความน่าสนใจจาก การพลิกกลับของผลประกอบการใน 2H55 จากโครงการ The River ปัจจุบันโครงการ The River มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท มียอดขายไปแล้วกว่า 76% ขณะที่การก่อสร้างแล้วเสร็จไป 82% เราคาดว่า RAIMON จะมียอดรับรู้รายได้จากโครงการนี้ตั้งแต่ 2H/55 เป็นต้นไป หรือรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2555 ซึ่งจะปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลประกอบการของ RAIMON ฟื้นตัวและกลับมามีกำไรได้ โดยระดับราคาตลาด ยังมี Upside 12% โดยคาดว่าแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการ RAIMON ยังมีความน่าสนใจ จากงานในมือระดับสูงที่ 3.2 หมื่นล้านบาท ที่รองรับรายได้ใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยเสี่ยงจาก ผลขาดทุนสะสมสูงถึง 2 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนหนึ่งของ RAIMON เมื่อเทียบกับกลุ่มฯที่ทำให้ยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ ให้ราคาเป้าหมาย1.94 บาทแนะนำ ซื้อ
* STEC มี backlog 49 พันลบ.สูงเป็นประวัติการณ์ คาดรายได้ปีนี้โต 28%
        บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ระบุว่า ความกังวลต่อการที่รัฐบาลชะลอโครงการโครงสร้างพื้นฐานส่งผลให้เราประมาณการ backlog ใหม่เพียง 33 พันลบ. ในปี 2012 และ 17 พันลบ. ในปี 2013 แต่อย่างไรก็ตาม backlog ณ ปัจจุบันมูลค่า 49 พันลบ. โดยที่41% เป็นงานที่มีอัตรากำไรสูง คาดจะยังคงสามารถเติบโตได้ในหลายปีข้างหน้าถึงแม้มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แนะนำ “ซื้อ”
        เรามองเชิงลบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมหลังมีความกังวลต่อการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่ล่าช้าออกไป เนื่องจากสถานะทางการเงินของรัฐบาลขาดดุล ดังนั้น เนื่องจากไม่มีโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เราประมาณการให้มูลค่าสัญญาโครงการใหม่ลดลงจาก 42.6 พันลบ. ในปี 2011 เป็น 32.8 พันลบ. ในปี 2012 ซึ่งรวมการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสัญญาที่ 1 สายสีแดง มูลค่า 17.5 พันลบ. และ 16 พันลบ. ในปี2013 แต่อย่างไรก็ตาม หากรวมกับมูลค่า backlog ในปัจจุบัน 49 พันลบ.เราประมาณการให้รายได้ STEC เติบโต 28% ในปีนี้และ 12% ในปีหน้า ในขณะเดียวกัน คุณภาพของ backlog ซึ่งเน้นรับงานที่มีอัตรากำไรสูงเป็นสัดส่วน 41% ของทั้งหมด ช่วยให้สามารถรองรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ในเดือนหน้า และ STEC รวมค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในการประมูลโครงการใหม่แล้ว เราประมาณการให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 7.6% (จาก7.0%) ในปี 2012 เป็น 8.3% (จาก 7.5%) ในปี 2013
        เนื่องด้วยปริมาณ backlog ที่สูงเป็นประวัติการณ์และความสามารถในการควบคุมต้นทุน STEC สามารถรับรู้ประโยชน์จาก Economy of scale ที่สูงกว่าคาด ในขณะที่อัตราส่วน SG&A/sales ลดลงเป็น 3.2% ในปี 2011 จาก4.7% ในปี 2010 ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการอัตราส่วน SG&/salesเป็น 3% ในปี 2012 และ 2.8% ในปี 2013 (จาก 3.6% ในปี 2012-13) เราปรับประมารการกำไรขึ้น 41-69% ในปี 2012-14 และราคาเป้าหมายปรับเป็น 16 บาท/หุ้น จาก 12.5 บาท/หุ้น เราคงคำแนะนำ STEC “ซื้อ”
        จากผู้ประกอบการผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ทั้งสามของประเทศ STECเป็นเพียงบริษัทเดียวที่ยังคงสามารถมีผลประกอบการกำไรได้อย่างต่อเนื่องในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลัก 3 ประการ ประการแรก คุณภาพงานbacklog ของ STEC ดีที่สุด มีทั้งงานภาคเอกชนที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงงานภาครัฐมูลค่าสูง แต่อัตรากำไรต่ำ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นและได้เปรียบในแง่ของ economy of scale ประการที่สอง STEC มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุด สถานะเงินสดเป็นบวกสุทธิเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านการก่อสร้างโครงการอัตรากำไรต่ำจึงน้อยกว่าค่อนข้างมาก ประการสุดท้าย STEC เน้นการดำเนินงานธุรกิจภายในประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า
        นอกเหนือจากการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง มูลค่าหุ้น STEC ไม่แพงพร้อมการเติบโต EPS CAGR 16% ในช่วง 2012-2015F อัตราส่วน EV/backlogยังคงอยู่ในช่วงต่ำของค่าเฉลี่ยในอดีต 0.26-0.49 เท่า ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ PE 16.6 เท่า และ 15 เท่า ในปี 2012-13F เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่10-24 เท่า
*BANPU ปัจจัยพื้นฐานแจ่ม ไม่ได้รับผลกระทบนโยบายลงทุนถ่านหินในอินโดฯ
        บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า นายชนินทร์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU เปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมออกกฎหมายใหม่โดย ให้บริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนเหมืองถ่านหินถือหุ้นไม่เกิน 49% โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายเฉพาะ ซึ่งไม่น่าจะมีผลย้อนหลัง แต่เชื่อว่าจะกระทบต่อผู้ลงทุนรายใหม่มากกว่า
        ปัจจัยเสี่ยง ณ ปัจจุบัน กระทบ BANPU ไม่มาก จากบทสัมภาษณ์ของผู้บริหาร BANPU สอดคล้องกับข้อมูลที่เรามี ซึ่งจากการติดตามข้อมูลในช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยกระทบธุรกิจเหมืองถ่านหินจาก 1) การเก็บภาษีเหมืองแร่ 30% จากกำไรของเหมืองถ่านหินในออสเตรเลีย และ 2) มาตรการจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียได้ไม่เกิน 49% ซึ่งเราประเมินว่า จะกระทบ BANPU น้อยมาก เนื่องจากมาตราจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลอินโดนีเซียจะกระทบเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่เท่านั้นและไม่มีบังคับใช้ย้อนหลัง ซึ่งจะยิ่งเป็นผลดีและจำกัดการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ ขณะที่การเก็บภาษีเหมืองแร่ 30% ของรัฐบาลออสเตรเลีย กระทบบริษัทลูก (Centennial) เล็กน้อย ขณะที่ Centennial ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า ยังมีแผนขยายการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งบริษัทสามารถนำเงินลงทุนมาหักภาระภาษีดังกล่าวได้เต็มจำนวน
        ราคาถ่านหินอ่อนตัว แต่ไม่กระทบราคาขาย BANPU เนื่องจากมีการทำสัญญาล่วงหน้า ราคาถ่านหินในตลาดโลกได้รับแรงกดดันจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของราคาก๊าซฯ ในสหรัฐฯ ทำให้ Demand ถ่านหินในประเทศลดลง แต่เรายังเชื่อว่า Demand ในจีนที่แข็งแกร่ง (Figure 2) รวมทั้งการนำเข้าที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนระดับราคาถ่านหินในตลาดโลก อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าราคาขายถ่านหินของ BANPU จะไม่น้อยกว่า 103 เหรียญต่อตัน เพิ่มขึ้น 7% yoy แม้ปัจจุบันราคาถ่านหินในตลาด BJI จะปรับตัวลดลง (รูป 1) ส่วนหนึ่งมาจากการทยอยทำสัญญาขายถ่านหินอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการทำสัญญาถ่านหินขายสำหรับปี 55 ไปแล้วกว่า 87% เป็นสัญญาขายถ่านหินที่ระบุราคาแน่นอนแล้ว 51% เหลือเพียง 18% ที่ยังไม่มีสัญญาขาย (ประมาณ 4.86 ตัน)
        ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ประเด็นข่าวดังกล่าวไม่กระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ที่เราคาดไว้ว่าจะเติบโต 74% เป็น 14,952 ล้านบาท จุดแข็งมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย 8% yoy อยู่ที่ 43 ล้านตัน (จากอินโดนีเซีย 27 ล้านตัน +8% yoy และจากออสเตรเลีย 16 ล้านตัน +7% yoy) ขณะที่ราคาขายถ่านหินของ BANPU ไม่ได้ลดลงตามตลาดโลก เชื่อว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนความกังวลจากนโยบายของภาครัฐของอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ซึ่งเราเชื่อว่าผลกระทบที่จำกัดจากมาตรการ ขณะที่ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโต จะทำให้ BANPU มีความน่าสนใจในการลงทุน ทำให้เรายังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 754 บาท เช่นเดิม
*IVL เฮ! รับอานิสงส์ราคา Cotton Futures เพิ่มขึ้นกว่า 6% ในรอบ 2 สัปดาห์
        บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่าจากการสำรวจราคา Futures ของ Soft Commodities เช้านี้ โดยทีมกลยุทธ์เชิงปริมาณของฝ่ายวิจัย ASP พบว่าราคา Cotton Futures (ตลาด NYBOT) ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นต่อเนื่องตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราว 6.25% ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 92.59 เหรียญฯ ต่อ LBS(ปอนด์) หรือเป็นการปรับตัวขึ้นเหนือระดับแนวต้าน 92 เหรียญฯ ต่อ LBS(ปอนด์) ตามคาด ซึ่งน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ สะท้อนการกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งของของราคา Cotton
        โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคา Cotton น่าจะขยับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 100 เหรียญฯ ต่อ LBS (ปอนด์) ในช่วง 1 สัปดาห์นับจากนี้ ปัจจัยหนุนหุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL (ผลิตภัณฑ์เส้นใยโพลีเอสเตอร์ ของ IVL เป็นผลิตภัณฑ์ทดแทน Cotton) และจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างราคา Cotton Futures และ ราคาหุ้น IVL พบว่ามีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันค่อนข้างสูงราว 80% ดังนั้นในสถานการณ์ที่ราคา Cotton Future ส่งสัญญาณกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำลงทุนในหุ้น IVL ที่ราคาหุ้นยังคง Laggard ทรงตัวตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
* บล.ทิสโก้ เผย HEMRAJ มีลุ้น เซ็นสัญญาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 7 โครงการ
        บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า HEMRAJ ได้รายงาน ตลท. ว่าได้เซ็นสัญญาลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 126 MW กับ Gulf JP NLL (GNLL) โดยจะถือหุ้น 25.01% ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 381 ล้านบาท และจะทำการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ EGAT และลูกค้านิคมอุตสาหกรรมHEMRAJ ยังมีโครงการเช่นนี้ที่มีโอกาสในการเซ็นสัญญาอยู่อีก 7 โครงการ ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใกล้เคียงกันกับโรงไฟฟ้า SPP ข้างต้น หากอ้างอิงจากประมาณการก่อนหน้าของเรา ในกรณีที่ HEMRAJ เซ็นสัญญาทั้ง 8 โครงการ จะทำให้มีมูลค่าใกล้เคียงกับหุ้น 35% ที่ HEMRAJ ถืออยู่ในโครงการ GHECO-One ซึ่งมีกำลังการผลิต 660 MW ทั้งนี้ HEMRAJ ระบุว่าโรงไฟฟ้า SPP ที่เข้าไปลงทุน 25.01% ได้เริ่มก่อสร้างโครงการแล้ว และคาดว่าจะพร้อมดำเนินงานในปี 2557
        เราให้มูลค่าที่เหมาะสมของ HEMRAJ ที่ 2.8 บาท ด้วยวิธี SOTP (GHECO-One มีมูลค่า 0.94 บาท และ การดำเนินงานของธุรกิจ HEMRAJ 1.85 บาท) ซึ่งยังไม่รวมมูลค่าของโครงการโรงไฟฟ้า SPP อีก 8 โครงการ ซึ่งถือเป็น upside จากการประเมินของเรา ทุก ๆ 1 โรงไฟฟ้าที่เข้ามา จะช่วยเพิ่มมูลค่าแก่หุ้น HEMRAJ สูงขึ้น 0.12 บาท/หุ้น