อังคาร 27 มี.ค.2555--eFinanceThai.com :
ลดพอร์ตถือหุ้นแค่ 40%

* ดัชนีฯ เหมาะสมอยู่ที่ 1,180 จุด
          กูรู แนะนักลงทุนทยอยปรับพอร์ต ลดสัดส่วนการถือหุ้นให้เหลือ 40% พร้อมกลับมาถือหุ้น Global Play เหตุเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าเอเชียเริ่มมีทิศทางผันผวน หลังมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่อง 4 เดือนติดต่อกันแล้ว หวั่นถูกแรงขายระยะสั้นหากดัชนีขึ้นยืนเหนือ 1,200 จุดอีกครั้งจะมีมากขึ้น ด้วยความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยที่ถูกขับเคลื่อนจาก PER 11 เท่าช่วงต้นปี 2555 มาอยู่ที่ระดับ 13 เท่ากว่าๆ ในขณะนี้ ระบุดัชนีฯ ระดับเหมาะสมควรอยู่ที่ 1,180 จุด
          ดัชนีตลาดหุ้นไทยประจำวันที่ 27 มีนาคม 2555 ปิดที่ระดับ 1,207.29 จุด เพิ่มขึ้น 18.97 จุด หรือ 1.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 33,176.64 ล้านบาท
* เม็ดเงินต่างชาติลงหุ้นเอเชียเริ่มผันผวน
          ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส (ASP) เปิดเผยว่า จากกรณีที่วันที่ 26 มี.ค.55 นักลงทุนต่างชาติพักการซื้อสุทธิต่อเนื่อง 2 วัน โดยเปลี่ยนมาเป็นขายสุทธิวานนี้ 449 ล้านเหรียญฯ โดยพบว่า ตลาดที่มีแรงขายสุทธิอยู่ที่ 2 ตลาดคือ ไต้หวัน (ขายสุทธิ 484 ล้านเหรียญฯ หลังจากที่เคยซื้อสุทธิมา 3 วันติดต่อกัน) และเกาหลีใต้ ขายสุทธิ 45 ล้านเหรียญสหรัฐ (เปลี่ยนจากการซื้อสุทธิ 47 ล้านเหรียญฯ)
          โดยอีก 3 ตลาด มียอดซื้อสุทธิ ได้แก่ อินโดนีเซีย และตลาดหุ้นไทย โดยทั้ง 2 ตลาดมียอดซื้อสุทธิ 12 วันติดต่อกันราว 37 และ 36 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 27% และ 144% ตามลำดับ และฟิลิปปินส์ ซื้อสุทธิ 3 วันติตต่อกัน แต่ยอดซื้อกลับเบาบางเพียง 8 ล้านเหรียญฯ ลดลง 20% โดยภาพรวมคาดว่า Fund Flow ไหลเข้าในตลาดเอเซีย แต่น่าจะเริ่มมีทิศทางผันผวนหลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่องมายาวนานถึง 4 เดือน และหากพิจารณาตลาดหุ้นไทยพบว่ามียอดซื้อสุทธิ 8.99 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นสถิติสูงมากปีหนึ่ง หากเปรียบเทียบกับยอดซื้อสุทธิสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา และแม้เชื่อว่า Fund Flow รอบนี้มีโอกาสแตะ 1 แสนล้านบาท และมีโอกาสดันดัชนีฯ ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดของปีที่ 1,241 จุดก็ตาม
* เสี่ยงดัชนีฯ ถูกแรงเทขายเมื่อยืนเหนือ 1,200 จุด
          แต่เชื่อว่าความเสี่ยงที่ดัชนีจะถูกแรงขายระยะสั้นหากดัชนีขึ้นยืนเหนือ 1,200 จุดอีกครั้ง จะมีมากขึ้นตามลำดับ ด้วยความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยที่ถูกขับเคลื่อนจาก PER 11 เท่า ตอนต้นปี 2555 มาอยู่ที่ระดับ 13 เท่ากว่าๆ ในขณะนี้
          นอกจากนี้ หากพิจารณาหุ้นรายตัวพบว่ากว่า 60% ของหุ้นที่ ASP ดูแลราคาตลาดแพง หรือใกล้เคียง Fair Value ปี 2555 ทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นค่อนจำกัด แต่ยังแนะนำกลยุทธ์ Selective Buy เลือกหุ้นกลุ่มที่ Laggards และมี Upside เกิน 10% ได้แก่ PTT, BANPU และ PTTGC
* ดัชนีฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 21% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา
          นอกจากนี้ เนื่องจากดัชนีตลาดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 21% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (29 พ.ย. – 20 มี.ค. 2555) พบว่า มีดัชนีอุตสาหกรรมอยู่ 5 กลุ่มที่สามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาด (Outperform) พร้อมกับราคาหุ้นรายตัว ได้เข้าใกล้หรือแพงกว่า Fair Value ปี 2555 แล้ว ได้แก่หุ้นในกลุ่มพาณิชย์ (ค้าส่ง/ค้าปลีก) ให้ผลตอบแทน 38% ธ.พ. 33% บันเทิง 29% ขนส่ง 27% รถยนต์ 24% (ยกเว้น STANLY, SAT)
          ส่วนกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงตลาด แต่พบว่าราคาหุ้นรายตัวแพงแล้วทั้งสิ้นได้แก่ อสังหาฯ 22% สื่อสาร 20% โรงพยาบาล 17% ทำให้นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง และวันนี้นักวิเคราะห์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้ปรับลดคำแนะนำ PF เป็นถือ จากเดิม ซื้อ
          เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นเกิน Fair Value และอยู่ในระดับที่ทำให้แผนการเพิ่มทุนที่แขวนถูกนาน จะถูกนำประกาศใช้อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ โดยแผนเพิ่มทุนจะจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม 6 หุ้นต่อ 1 หุ้นใหม่ ซึ่งคาดว่าราคาไม่ต่ำกว่า 1 บาท และจะแจก Warrant 1 หน่วยต่อ 2 หุ้นใหม่
          นอกจากนี้ มีแนวโน้มที่นักวิเคราะห์กลุ่มโรงแรม จะปรับลดคำแนะนำ CENTEL จากปัจจุบันซื้อ เนื่องจากราคาตลาดใกล้เคียงกับ Fair Value และแนะนำให้ Switch จากหุ้น CENTEL มายังหุ้น MINT เนื่องจากหุ้น MINT ยังมี upside สูงกว่า
* ลดพอร์ตการลงทุนเหลือ 40%
          โดยกลยุทธ์นับจากนี้ แนะนำให้ทยอยปรับลดพอร์ตการลงทุน โดยให้หันมาสะสมหุ้นที่ราคาหุ้นยัง Underperform (แพ้ตลาด) และยังมี upside สูง ได้แก่ กลุ่มอาหาร (ให้ผลตอบแทนเพียง 19%) ได้แก่ CPF, TUF ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (18%) มี DELTA กลุ่มปิโตรเคมี (18%) เช่น PTTGC, IVL และพลังงาน (PTT, BANPU, RATCH, GLOW) เป็นต้น
          ทั้งนี้ แม้ว่า ASP ได้กำหนดดัชนีฯ เป้าหมายปี 2555 จะแตะระดับสูงสุดที่ 1,241 จุด แต่อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ต้องมี Fund Flow แตะ 1 แสนล้านบาท ขณะที่ขณะนี้มี Fund Flow ไหลเข้าแล้ว 9 หมื่นล้านบาท
* บล.ธนชาต มองดัชนีฯ ระดับเหมาะสมควรอยู่ 1,180 จุด
          ด้านนางอัศวินี ไตลังคะ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1,200 จุดได้ เนื่องจากเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติสนับสนุนในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ดีระยะกลางถึงยาวยังน่าเป็นห่วง เพราะภาพรวมของจีดีพีของไทยปีนี้โตเพียง 5% และมี Earning Growth 8% จึงมองเป้าหมายตลาดหุ้นไทยปีนี้เพียง 1,180 จุด
          "กลุ่มที่น่าลงทุนปีนี้ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก domestic อาทิ ROBINS, BIGC, MAKRO, ADVANC และ DTAC" นางอัศวินี กล่าว